เปิดรอบพิเศษ 13 – 16 เมษายน รอบสองทุ่มเป็นต้นไป ฉายจริง 17 เมษายน 2019 ในโรงภาพยนตร์ 
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/LaLloronaMovieThailand
คลิปตัวอย่างและ TV Spot ต่าง ๆ https://www.youtube.com/playlist?list=PL7AYIIr1AzMThI7cVryymsZfmoM8MGOAj

ผลงานจากนิวไลน์ ซีเนม่าและผู้อำนวยการสร้างฯ เจมส์ วานสู่ภาพยนตร์เรื่อง “The Curse of Weeping Woman คำสาปมรณะจากหญิงร่ำไห้” ที่ถ่ายทอดตำนานเรื่องดังของลาตินอเมริกาในรูปแบบภาพยนตร์สยองขวัญ ซึ่งเป็นผลงานการกำกับฯ แรกของไมเคิล ชาเวส ผู้สร้างภาพยนตร์ที่อยู่เบื้องหลังหนังสั้นที่ได้รับรางวัลเรื่อง “The Maiden”

ภาพยนตร์เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในลอส แอนเจลิสปี 1973 โดยมีแอนนา เทต-การ์เซีย (ลินดา คาร์เดลลินี) นักสังคมสงเคราะห์และคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องรับผิดชอบทั้ง 2 หน้าที่นั้นในเวลาเดียวกัน แม้จะกำลังเสียใจกับการจากไปของสามี

เธอคอยตั้งข้อสงสัยในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้มีความเชื่อ แอนนาต้องพบกับเรื่องผีสางและความเชื่อทางไสยศาสตร์มากมายจากการทำงาน เธอมักจะพบกับผู้คนที่โดนผีสิงอยู่บ่อย ๆ ฉะนั้นเมื่อเธอถูกเรียกตัวให้ไปบ้านของแพทริเซีย อัลวาเรซ (แพทริเซีย วีลาสเควซ) และพบว่าลูกชายทั้ง 2 คนถูกขังอยู่ในตู้เสื้อผ้า เธอจึงคิดว่าพวกเขาถูกแม่ทำร้ายและขังเอาไว้

แม้ว่าแอนนาจะตั้งใจช่วยเหลือแพทริเซียตามที่เธอต้องการ แต่สิ่งแรกที่เธอให้ความสนใจคือความปลอดภัยของเด็ก ๆ แต่เนื่องจากเธอกำลังเผชิญกับความชั่วร้ายที่ไม่เคยพบมาก่อน แอนนาไม่รู้ว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการปลดปล่อยความชั่วร้ายหรือเป็นการสร้างความเสียหายกันแน่ เมื่อเธอตัดสินใจใช้หลักจิตวิทยาเยียวยาแม่ของพวกเขา และนำตัวเด็ก ๆ มาอยู่ภายใต้การคุ้มครอง

ในช่วงกลางดึกมีเสียงร้องไห้ดังขึ้นตรงทางเดินบริเวณบ้านของเด็ก ๆ ที่นอนหลับอยู่ เมื่อร่างของทั้งคู่ถูกลากขึ้นมาจากแม่น้ำ แม่ของพวกเขาได้โทษว่าเป็นความผิดของแอนนา และฝากคำเตือนชวนหลอนไว้กับเธอว่า ลาโยโรนาเอาตัวลูกของเธอไปแล้ว ลูกของแอนนาอาจเป็นรายต่อไป

เมื่อความมืดเข้าคืบคลานและลูก ๆ ของเธอได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้หญิง แอนนาต้องจำใจเผชิญหน้ากับสิ่งที่แพทริเซียเตือนเอาไว้ เกี่ยวกับตำนานของวิญญาณที่หลอกหลอนเด็ก ๆ ในลอส แอนเจลิส และลูกน้อยของเธอกำลังตกเป็นเหยื่อ

แอนนาไม่มีทางเลือกจึงมอบความไว้วางใจราฟาเอล โอลวีร่า (เรย์มอนด์ ครูซ) อดีตบาทหลวงที่ผันตัวมาเป็นหมอผี เขาเตรียมพร้อมรับมือกับสงครามนี้มาทั้งชีวิตของเขาแล้ว เขามีทั้งพลังแห่งศรัทธาและอาวุธที่ใช้ต่อสู้กับวิญญาณ ราฟาเอลร่วมมือกับแอนนาและลูก ๆ ของเธอปิดบ้านและปกป้องตัวเองเมื่อตกช่วงค่ำคืน ซึ่งเป็นเวลาที่ลาโยโรนาจะแสดงพลังเหนือธรรมชาติอันชั่วร้ายออกมา

ภาพยนตร์อำนวยการสร้างฯ โดยเจมส์ วาน (“Aquaman”), แกรี่ ดาวเบอร์แมน (ผู้เขียนบทฯ “IT” และภาพยนตร์แฟรนไชส์ “Annabelle”) และอีมิล แกลดสโตน (“Army of One”) กำกับฯ เรื่อง “The Curse of Weeping Woman คำสาปมรณะจากหญิงร่ำไห้” โดยไมเคิล ชาเวส ซึ่งนี่เป็นผลงานการกำกับฯ เรื่องแรกของเขา

ภาพยนตร์ฯ แสดงโดยลินดา คาร์เดลลินี่ (ภาพยนตร์ทาง Netflix เรื่อง “Bloodline,” “Avengers: Age of Ultron,”); เรย์มอนด์ ครูซ (ภาพยนตร์ทางทีวี “Major Crimes”) แพทริเซีย วีลาเควซ (ภาพยนตร์ทางทีวี “The L Word,” ภาพยนตร์ “The Mummy”) และมาริซอล รามิเรซ (ภาพยนตร์ทางทีวี “NCIS: Los Angeles”) ทีมนักแสดงยังรวมถึงฌอน แพทริค โธมัส (ภาพยนตร์ “Barbershop”, “Halloween: Resurrection”) เจย์นี-ลินน์ คินเชน (“Selfless”) และนักแสดงหน้าใหม่โรมัน คริสทู

ภาพยนตร์เขียนบทฯ โดย มิกกิ ดอห์ทรี้ และ โทเบียส ไอโคนิส (“Five Feet Apart”) อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยริชาร์ด บรีเนอร์, เดฟ นูสแตดเตอร์, วัลเตอร์ ฮามาดะ, มิเชล มอร์ริสซีย์ และ ไมเคิล เคลียร์ ทีมงานเบื้องหลังของชาเวส ได้แก่ ผู้กำกับภาพฯ ไมเคิล เบอร์เกส (ตากล้องจากเรื่อง “Aquaman”) ผู้ออกแบบฉากฯ เมลานี โจนส์ (“Insidious: The Last Key”) ผู้ลำดับภาพฯ ปีเตอร์ โกซ์ดาส (“The Purge”) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายฯ มีแกน สแปตซ์ (“Slice”) ประพันธ์ดนตรีโดยโจเซฟ บิชาร่า (ภาพยนตร์เรื่อง “Insidious”)

นิวไลน์ ซีเนม่า นำเสนอผลงานจาก An Atomic Monster/Emile Gladstone Production เรื่อง “The Curse of Weeping Woman” ภาพยนตร์มีกำหนดฉายในระบบธรรมดา ระบบ 3 มิติ ระบบ 4 มิติ ระบบ Dolby Cinema และ ScreenX ในโรงภาพยนตร์บางแห่งและระบบไอแมกซ์ จัดจำหน่ายทั่วโลกโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส

TheCurseofLaLlorona.net https://www.facebook.com/LaLloronaMovieThailand/

รายละเอียดการถ่ายทำ

ก่อนจะมีภาพยนตร์สยองขวัญที่สร้างความหลอนอย่างแพร่หลายทั่วโลก บางเรื่องได้กลายเป็นตำนานอมตะ ส่วนบางเรื่องได้กุมพลังความหลอนเอาไว้อย่างลาโยโรนา

คุณแม่ ผู้ญิงที่โดนดูถูก ฆาตกร ตำนาน.. เธอคือผู้หญิงร้องไห้ที่เดินไปตามแม่น้ำริมธารเรื่อย ๆ รอจนเวลาค่ำเพื่อลากตัวคุณไป หากคุณทำตัวไม่ดีหรือกลับบ้านช้า ซึ่งสิ่งสุดท้ายที่คุณจะได้ยินคือเสียงเธอร้องโหยหวน… โอ้ ลูก ๆ

ตัวละครหนึ่งที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในนิทานละตินอเมริกาคือลาโยโรนา ความหลอนของเธอ และการไล่ล่าเด็ก ๆ เพื่อเป็นตัวแทนลูก ๆ ของเธอที่จมน้ำตาย กลายเป็นฝันร้ายของเด็กทุกยุคและทำให้ชาวอเมริกันรู้จักเธอเป็นอย่างดี เรื่องราวการไล่ล่าคร่าชีวิตของเธอเป็นที่เล่าขานมานานนับหลายศตวรรษ แม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนในทุกรูปแบบละหลากหลายภาษา แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงเดิมคือการสร้างความหลอนในช่วงค่ำคืนให้ทุกคนที่ได้ยินเสียงนี้

“ครั้งแรกที่ผมมาอเมริกา หนึ่งในเรื่องราวแรก ๆ ที่ทุกคนพูดถึงและเล่าให้ผมฟังคือตำนานของลาโยโรนา” ผู้อำนวยการสร้างฯ เจมส์ วานกล่าว “ทุกคนดูหนังผมและเดาว่าผมรักเรื่องราวเกี่ยวกับภูตผี ซึ่งพวกเขาเดาถูก แต่ลาโยโรนา มีอะไรมากกว่านั้น มันเข้าถึงระดับความหลอนขั้นสุด และสั่นสะท้านความกลัวได้อย่างที่เราคาดไม่ถึงมาก่อน คุณจะเข้าใจเลยว่าทำไมมันถึงมีความสำคัญระหว่างที่พวกเขาโตขึ้นมา ผมรู้สึกติดใจกับเรื่องนี้และคิดว่า ‘เป็นเรื่องราวชวนหลอนที่น่าทึ่งต่อการถ่ายทอดสู่จอยักษ์’”

ผู้อำนวยการสร้างฯ อีมิล แกลดสโตนเองก็ไม่ต่างจากวานที่ได้สัมผัสกับเรื่องราวนี้ที่มีมานานหลายปี จนเหมือนตกอยู่ในคำสาปนั้นเป็นต้นมา “ที่สำคัญสุดคือผมรู้สึกทึ่งกับความเข้าข้นของเรื่องราว ความสะเทือนขวัญ และความน่าสนใจของตัวละครลาโยโรนา” เขากล่าว “ในฐานะของผู้อำนวยการสร้างฯ เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้ถ่ายทอดเรื่องแบบนี้สู่จอหนัง เพราะในภาพยนตร์ต้องทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง และตำนานเรื่องนี้ก็เล่นกับความรู้สึกได้อย่างเต็มที่”

ลาโยโรนาเป็นตำนานที่ในครอบครัวจะเล่าให้ลูก ๆ ฟังทุกยุคสมัย และการสืบทอดเรื่องราวนั้นคือแรงจูงใจที่ทำให้ผู้กำกับฯ ไมเคิล ชาเวสอยากนำเสนอสู่ผู้ชมในวงกว้างมากขึ้น “ในช่วงที่เราเตรียมรายละเอียดภาพยนตร์ ผมอยากคุยกับหลายคนที่มากับเรื่องเล่านี้ให้ได้มากที่สุด แม้แต่คุณย่าคุณยายที่เคยฟังเรื่องนี้สมัยที่ยังเป็นเด็ก เสน่ห์ของเรื่องอยู่ที่ไม่เคยมีการเล่าเหมือนเดิมเลยสักครั้ง ยิ่งเราได้พูดคุยกับผู้คนมากเท่าไหร่ก็ได้ฟังเรื่องที่แตกต่างกันไปทีละนิดละหน่อย แต่ทุกครั้งยังสัมผัสได้ถึงความสงสัยและความน่ากลัว ผมกลับมาพร้อมความรู้สึกซาบซึ้งใจที่พวกเขาเปิดใจเล่าให้ผมฟังอย่างหมดเปลือก และอยากสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยความให้เกียรติ”

สำหรับนักแสดงแพทริเซีย วีลาสเควซ แรงบันดาลใจสำหรับเรื่องนี้อยู่ใกล้บ้านเธอมาก “ช่วงเป็นเด็กฉันใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่เม็กซิโกและเวเนซูเอลาค่ะ โตมาพร้อมกับเรื่องของผู้หญิงร้องไห้เพราะสูญเสียลูกของเธอไป” เธอเล่าถึงตอนนั้น “ตอนที่เราเป็นเด็กก็จะได้ยินเรื่องนี้ตลอด เราต้องเป็นเด็กดีไม่งั้นลาโยโรนาจะมาจับตัวไป จนเราต้องเป็นเด็กดีและเชื่อเรื่องนั้นจริงๆ อยู่พักใหญ่เลยค่ะ

“และเชื่อฉันเถอะ” เธอเล่าต่อพร้อมยิ้มกว้าง “แม้แต่ตอนอายุขนาดนี้แล้ว ก็ยังมีเรื่องราวบางส่วนที่ฝังอยู่ในใจเราที่โตมาพร้อมกับเรื่องนั้นอยู่”

ซึ่งเธอไม่ได้รู้สึกแบบนั้นคนเดียว “สิ่งที่ทำให้เรากลัวในเรื่องนี้คือเราเชื่อว่ามันอาจเกิดขึ้นจริงก็ได้” เรย์มอนด์ ครูซ เพื่อนร่วมแสดงกล่าวเสริม “เราอาจใช้เรื่องนี้ทำให้เพื่อนกลัวหรือทำให้เด็ก ๆ เชื่อฟัง แต่เด็ก ๆ ก็ยังหายตัวกันอยู่ เข้าใจมั้ยครับว่าผมหมายถึงอะไร? มันมีอะไรที่มากกว่าเรื่องของสวรรค์กับโลกมนุษย์ อย่างที่เช็คสเปียร์ว่าไว้ มันเกินกว่าที่เราจะคาดฝันได้”

ลินดา คาร์เดลลินี่ ทีมนักแสดงได้กล่าวเสริมว่า “ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม มีบางอย่างในเรื่องที่ทำคุณหลอนเข้ากระดูกได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร อยู่ในช่วงชีวิตไหน เพราะทุกคนย่อมมีแม่ ทุกคนเคยเป็นเด็กและทุกคนมีลูกของตัวเอง”

ภารกิจในการสร้าง “The Curse of Weeping Woman คำสาปมรณะจากหญิงร่ำไห้” เริ่มขึ้นเมื่อผู้สร้างฯ แกลดสโตนขอความช่วยเหลือจากผู้เขียนบทฯ มิกกิ ดอห์ทรี และโทเบียส ไอโคนิสเพื่อเริ่มสร้างเรื่องราวคร่าวๆ ขึ้นมา จากนั้นเขาได้รับโทรศัพท์จากผู้ที่ทำให้โปรเจ็กต์ในฝันของเขาเป็นจริงขึ้นมา “ที่ผมได้ยินคือ ‘เจมส์ ผมตอบไปว่า ‘ครับ’ ก่อนที่จะได้ยินนามสกุลของเขาด้วยซ้ำ’” แกลดสโตนเล่าถึงตอนนั้นพร้อมหัวเราะ “หากมีเพื่อนร่วมงานสักคนที่คุณฝันว่าอยากร่วมงานในโปรเจ็กต์นี้ด้วย ซึ่งเป็นคนที่จะพัฒนามันได้ดีกว่าที่คุณจะนึกภาพได้ คนนั้นก็คือเจมส์ เขาไม่ได้เป็นแค่ผู้ชำนาญแนวนี้อย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่เขายังเป็นคนนิสัยดีมากและอยู่ด้วยมีความสุข ผมรู้สึกโชคดีมากที่ได้เขาเป็นผู้ร่วมทางในการผจญภัยครั้งนี้”

ในส่วนของวาน โอกาสที่ได้มันเกินกว่าความหลงใหลส่วนตัวที่เขามีต่อเรื่องเล่า “ลาโยโรนาเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม และเป็นที่ชื่นชอบของแฟน ๆ เรื่องสยองขวัญจากทั่วโลก พอโปรเจ็กต์นี้เกิดขึ้น สิ่งที่ผมอยากทำคือช่วยสร้างความโดดเด่นให้เรื่องนี้ เพื่อให้ทุกคนได้เห็นเรื่องราวที่ทุกคนรักเป็นรูปร่างขึ้นมาบนจอยักษ์”

เมื่อมีแกรี่ ดาวเบอร์แมนเข้ามาร่วมงาน ทีมผู้สร้างฯ จึงมีความสมบูรณ์เรียบร้อย และมาถึงขั้นตอนการหาผู้กำกับฯ แต่ช่วงที่หนังสั้นแนวสยองขวัญรูปแบบใหม่เรื่อง “The Maiden” ฉายออนไลน์วันแรก จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญก็ต่อได้อย่างลงตัว “พวกเรารู้สึกโล่งใจเลยครับ” ดาวเบอร์แมนเล่าถึงตอนนั้น “มีการกำกับฯ โดยผู้ที่ไว้ใจฝีมือได้ และบังคับให้เรากลัวได้โดยใช้กล้องตัว

เดียวกับเอ็ฟเฟ็กต์จริงอย่างละเอียด ดูตามความสวยงามแล้วพวกเราเดาว่าต้องเป็นผู้ที่รักหนังแนวเดียวกับที่เราสร้าง และเราก็เดาถูก”

ไมเคิล ชาเวสไม่ได้โตมาพร้อมความรักหนังเท่านั้น หนังโปรดบางเรื่องของเขายังกำกับฯ โดยวานอีกด้วย ฉะนั้นการที่เขาได้มาอยู่ร่วมห้องกับฮีโร่ด้านการสร้างภาพยนตร์ของเขา ถือเป็นประสบการณ์ที่เกินคาดมาก “ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย นี่เป็นประสบการณ์ในชีวิตของผมที่เหลือเชื่อที่สุดแล้ว ถือว่าเป็นเกียรติมากครับ” ชาเวสเล่าด้วยความประหลาดใจ “เจมส์เป็นผู้สร้างฯ ที่น่าทึ่งและให้การสนับสนุนอย่างเหลือเชื่อ ทุกขั้นตอนของการทำงานเขาจะมีแง่มุมดีๆ ที่เป็นเป้าหมายในการค้นหาเรื่องราวที่เราอยากถ่ายทอด และสิ่งที่ผู้ชมอยากเห็นในแต่ละช่วง อีมิลเป็นคนที่มีความมหัศจรรย์ครับ เขาให้ความช่วยเหลือและเป็นประโยชน์ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ส่วนแกรี่ก็มีสัญชาตญาณด้านการถ่ายทอดเรื่องราวและเป็นคนที่นิสัยดีมากด้วย”

ผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ ริชาร์ด บรีเนอร์รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้นำเรื่องราวของลาโยโรนาสู่จอภาพยนตร์ “ตำนานความหลอนที่เป็นอมตะของทั่วโลกได้สืบทอดสู่นิวไลน์ที่ถนัดด้านการสร้างหนังสยองขวัญจนสร้างความหลอนให้ผู้คน มีทั้งการเล่าเรื่องหลากรูปแบบและด้วยงบที่ต่างกัน แต่ทั้งหมดล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือสร้างความหลอนให้ผู้ชมทั่วโลก” เขากล่าว

สำหรับผู้สร้างภาพยนตร์หนุ่มที่มาทำหน้าที่ควบคุมเรื่องนี้ มันเป็นยิ่งกว่าฝันที่กลายเป็นจริง “ผมรู้สึกโชคดีและดีใจมากครับที่ได้ทำหนังเรื่องแรกร่วมกับทีมงานนี้ที่คอยแนะนำโปรเจ็กต์” ชาเวสยอมรับ “และผมมีทีมนักแสดงที่ฝันไว้มาถ่ายทอดเรื่องราว นำโดยลินดา เรย์มอนด์ และแพทริเซีย การแสดงของพวกเขาคือสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีความหดหู่และน่ากลัว”

จุดเทียนซะ

เรื่องราวของจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นจากการเล่าขานที่สืบทอดกันมานานนับศตวรรษ “The Curse of Weeping Woman คำสาปมรณะจากหญิงร่ำไห้” เป็นการนำเรื่องราวของหญิงร่ำไห้มาสร้างขึ้น โดยเป็นฉากในลอส แอนเจลิสปี 1973 ผสมกับเรื่องราวของแอนนา เทต-การ์เซีย นักสังคมสงเคราะห์และแม่ม่ายเลี้ยงเดี่ยว ซึ่งเธอไม่เคยคิดว่าเรื่องราวในตำนานจะมารุกรานชีวิตครอบครัวของเธอได้

เมื่อเธอต้องมารับบทนี้ ลินดา คาร์เดลลินี่เล่าว่าเธอไม่อาจต่อต้านนางเอกที่มีความซับซ้อนซึ่งเป็นจุดเด่นของเรื่องได้เลย “ตอนที่ฉันอ่านบทฯ ฉันรักที่มันไม่ใช่เรื่องราวของการเป็นภรรยาหรือเป็นพี่น้องกับใครสักคน มันเป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องต่อสู้กับเรื่องประหลาดเพื่อปกป้องครอบครัวของเธอไว้ และเธอพร้อมจะปกป้องลูก ๆ ของเธอ ฉันรักที่เราได้เห็นเรื่องนี้ผ่านมุมมองของเธอ และบอกตามตรงว่าการได้มาอยู่ในหนังสยองขวัญอย่างเต็มตัวแบบนี้ถือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นด้วยค่ะ” เธอกล่าวพร้อมหัวเราะ

วานเองก็เป็นแฟนผลงานของเธอมาอย่างยาวนาน เขารู้สึกตื่นเต้นเมื่อคาร์เดลลินี่ได้ก้าวมาร่วมงานด้วย “ลินดาเป็นคนที่มีความสามารถมากครับ และมีการแสดงโดดเด่นบนหน้าจ เวลาที่ผมเห็นเธอในหนังผมลืมตัวตลอดเลยว่ากำลังดูลินดาอยู่ เพราะเธอทิ้งความเป็นตัวของตัวเองไปเลย เราโชคดีมากที่ได้เธอมาร่วมงานและเล่นหนังกับเราในเรื่องนี้”

แอนนาสูญเสียสามีจากการที่เขาถูกฆ่าระหว่างปฏิบัติงานนักสืบลอส แอนเจลิส ทำให้เธอต้องเลี้ยงลูกน้อย 2 คนคือ คริส (โรมัน คริสทู) และซาแมนธ่า (เจย์นี-ลินน์ คินเชน) เพียงลำพัง ขณะเดียวกันก็ต้องทำงานของตัวเองไปด้วย เธอทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อลูก ๆ และได้รับความช่วยเหลือจากอดีตคู่หูของสามีที่เสียชีวิตไปแล้วอย่างคูเปอร์ (ฌอน แพทริค โธมัส) เพื่อมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายในบ้านเมื่อพวกเขาไม่มีพ่อ

แอนนาทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ในระบบอันวุ่นวายของลอส แอนเจลิส ภารกิจของเธอคือการไปยังบ้านที่มีปัญหาเพื่อดูแลด้านสวัสดิการให้เด็ก ๆ ที่มีความเสี่ยง แม้ว่าเธอจะผ่านการรับมือกับเรื่องเลวร้ายที่สุดมาแล้ว แต่ก็ไม่มีทางพร้อมรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับแพทริเซีย อัลวาเรซที่บ้านได้

แพทริเซียรู้จักลาโยโรนาและกลัวเรื่องนี้มาทั้งชีวิต เธอรู้ว่าหญิงร่ำไห้อยากได้ลูก ๆ ของเธอ และจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะได้ตัวเด็ก ๆ ไป “ในหนังของเราลาโยโรนามาเยือนเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน” แพทริเซีย วีลาสเควซ ผู้รับบทนี้กล่าว “ทุกคืนจะยิ่งรุนแรงหนักหน่วงขึ้น.. และนี่คือคืนสุดท้ายของแพทริเซีย”

แม้ว่าฝันร้ายของแอนนาจะเพิ่งเริ่มขึ้น แต่สำหรับแพทริเซีย อัลวาเรซกลับรู้สึกหมดหวังจนถึงที่สุดแล้ว แกลดสโตนอธิบายว่า “ลูก ๆ ของแพทริเซียตกเป็นเป้าหมาย เธอเลยหาที่ซ่อนตัวลูก ๆ จากลาโยโรนาในตู้ แน่นอนว่าเมื่อแอนนาพบเด็ก ๆ ถูกขังอยู่ในตู้ เธอจึงทำตามหน้าที่เหมือนคนอื่น ๆ ในสายงานนี้ทำกันคือปล่อยตัวพวกเขาออกมา และพามาอยู่ในความคุ้มครองดูแล ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมากลับแย่ยิ่งกว่าเดิมมาก”

“พวกเขาพูดว่ามีการปูทางสู่ความหายนะด้วยเจตนาที่ดี” คาร์เดลลินี่กล่าว “ฉันคิดว่าแอนนามีเจตนาที่ดีนะคะตอนที่ช่วยครอบครัวแพทริเซีย แต่ผลลัพธ์ที่ตามมากลับนำไปสู่ความหายนะให้พวกเขาและตัวเธอเอง และนั่นเป็นเรื่องราวน่ากลัวที่ทุกคนต้องเผชิญ”

การได้ดูคาร์เดลลินี่กับวีลาสเควซแสดงร่วมกันในฉากถือเป็นเรื่องประหลาดของหนังเรื่องนี้สำหรับชาเวส “ลินดาและแพทริเซียต่างเป็นคุณแม่ในชีวิตจริง และนี่เป็นบทคุณแม่ที่ต้องพบกับความเจ็บปวด” เขาสังเกต “แต่ทั้งคู่กลับตีบทแตก! พวกเธอแสดงได้เป็นธรรมชาติ ดูปกติมาก ทำให้รู้สึกตะลึงและดูมีเสน่ห์ไปเลย

“ลินดาเป็นนักแสดงที่เก่งมากครับ แสดงร่วมกับนักแสดงเด็กของเราได้อย่างเป็นธรรมชาติ พอถึงช่วงที่เด็ก ๆ โดนคุกคาม เราจะเห็นสัญชาตญาณของเธอที่แสดงออกมาอย่างสมจริงและดูมีพลัง น่าประทับใจมาครับ” ผู้กำกับฯ กล่าวต่อ “ตัวละครแพทริเซียสะท้อนถึงตัวลินดาในอีกด้านหนึ่งของการผจญภัยครั้งนี้ เธอเป็นผู้หญิงที่ต้องสูญเสียลูก ๆ แพทริเซียต้องจมอยู่กับความหดหู่และมีแต่ความเศร้าสิ้นหวัง แต่พอเราสั่งคัท เธอก็กลับมาเป็นตัวเองที่น่ารักได้เหมือนเดิม ซึ่งนี่เป็นสุดยอดของการแสดงเลยครับ”

วีลาสเควซยอมรับว่าการผจญภัยของตัวละครของเธอทำให้เธอต้องทุ่มเทการแสดงอย่างเต็มที่ “แม้ว่านี่จะเป็นหนังสยองขวัญและไม่ใช่เรื่องจริง แต่สำหรับเราในฐานะของนักแสดง สิ่งที่เราแสดงออกมาต้องมีความสมจริงมากค่ะ การร่วมงานกับเด็ก ๆ ทำให้เรามีความใจอ่อนมาก มุมหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะมันช่วยในแง่การทำงานได้ แต่อีกมุมหนึ่งมันก็น่ากลัวมากค่ะ สิ่งที่ตัวละครนี้ต้องเจอและสิ่งที่ฉันต้องแสดงออกมาเพื่อความสมจริงมันมีความน่ากลัวมาก ฉะนั้นถือเป็นเรื่องที่วิเศษมากค่ะที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับฯ ที่เรารู้สึกไว้วางใจ ไมเคิลยังอายุน้อยมากแต่เขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร จะทำงานยังไง เขาไม่กลัวที่จะเอ่ยปากขอ สำหรับฉันในฐานะนักแสดงรู้สึกอุ่นใจมากค่ะ”

คาร์เดลลินี่เล่าเสริมอีกว่า “มีบางช่วงในหนังที่คนเป็นพ่อแม่ยากจะทำใจดูได้ลง ไมเคิลเป็นผู้กำกับฯ ที่มี จินตนาการและเปิดรับไอเดียต่าง ๆ ที่เป็นความสร้างสรรค์ในการทำงานร่วมกัน เขาอยากถ่ายทอดความรู้สึกจริงที่เรามีต่อเรื่องนี้ออกมา ทำให้การแสดงฉากน่ากลัวกลับสนุกสนานอย่างเหลือเชื่อค่ะ”

สิ่งที่ตามมาจากความสูญเสียอย่างน่าเศร้าของแพทริเซีย ทำให้บ้านมีบรรยากาศที่หดหู่และการเฝ้าหาคำตอบของเธอยิ่งทำให้เธอวนเวียนอยู่กับตำนานหลอนนี้ลึกลงไปมากยิ่งขึ้น “มันฟังเหมือนเป็นเรื่องเล่าของชาวบ้าน” ชาเวสกล่าว “ฟังดู

แล้วเหมือนเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีสาง แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เห็นได้ชัดว่าลาโยโรนามีตัวตนจริง.. และเธอมาตามล่าลูก ๆ ของแอนนา”

แต่เธอไม่มีทางได้ตัวพวกเขาไปง่าย ๆ แน่ “มันมีความยากอย่างที่คาดเอาไว้เลย” คาร์เดลลินี่กล่าว “และยิ่งเธอต้องเผชิญหน้ากับความกลัวมากเท่าไหร่ แอนนาก็ยิ่งไม่ยอมให้วิญญาณร้ายที่ตามคุกคามมาเอาตัวลูก ๆ ของเธอไป เธอยอมต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อปกป้องพวกเขาไว้ ที่โบสถ์ไม่สามารถช่วยเหลือเธอได้ และเธอรู้ว่าตำรวจคงไม่เชื่อเธอแน่ ในการเผชิญหน้ากับภัยครั้งใหญ่นี้ เธอต้องมีความแกร่งกล้ากว่าที่เธอคิดว่าตัวเองจะทำได้ ไม่งั้นเธอจะต้องสูญเสียลูก ๆ ไปตลอดกาล”

สิ่งที่เธอไม่รู้คือเธอยังมีเพื่อนร่วมทางในการต่อสู้ครั้งนี้อย่างคาดไม่ถึง… และเขาเดินทางมาพร้อมกับแผนการต่อสู้

หมอผี

ราฟาเอล โอลวีร่า เป็นอดีตบาทหลวงที่ออกจากโบสถ์เพื่อมารับใช้ชุมชนของเขา เขามีทั้งแนวทางการรักษาเยียวยาทางศาสนาและการปกป้องตามบทบาทของหมอผี ในช่วงที่แอนนาเดินเข้ามาในร้านของเขา ราฟาเอลอ่านสีหน้าและแววตาที่เศร้าหมองของลูกๆ เธอออกว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือมาก

“แอนนาเหมือนอยู่ท่ามกลางพายุทอร์นาโด ส่วนราฟาเอลเข้ามาช่วยให้เธอพ้นจากพายุนั้นได้” เรย์มอนด์ ครูซ ผู้รับบทนี้กล่าว “เธอเป็นผู้หญิงที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องประหลาด ลูก ๆ ของเธอกำลังตกเป็นเหยื่อ บ้านของเธอคือแหล่งซุ่มโจมตี ในการต่อสู้กับปีศาจร้ายนี้ เธอต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่มีความเชื่อในสิ่งที่เธอกำลังเผชิญอยู่”

สำหรับการรับบทที่เขาเรียกว่า “ผู้หันหลังให้พระเจ้า” ชาเวสนึกถึงเรย์มอนด์ ครูซตั้งแต่แรกเริ่ม “ผมอยากให้ราฟาเอลดูเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจ เป็นคนที่เราไม่แน่ใจว่าจะวางใจได้มั้ย แต่นั่นคือจุดที่แอนนาต้องก้าวผ่านความเชื่อมั่นให้ได้ในเรื่อง” ชาเวสกล่าว “และความน่าทึ่งในตัวเรย์มอนด์คือเขาเป็นคนใจดี เป็นคนง่าย ๆ จนเราไม่อยากเชื่อว่าเขาจะดูโหดเหี้ยมและอันตรายแบบนั้นได้ แต่เขากลับสวมบทนี้ได้อย่างแนบเนียน”

ความกระตือรือร้นของตัวผู้กำกับฯ ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งของครูซ “เราแสดงพวกฉากยาก ๆ ได้และผ่านไปได้ด้วยดีมาก” เขาเล่าถึงตอนนั้น “เราจะได้ยินเสียงไมเคิลทางด้านหลังมอนิเตอร์ตะโกนออกมา มันดูดีขนาดไหนระหว่างที่เรากำลังถ่ายทำอยู่ ความกระตือรือร้นของเขาแบบนั้นทำให้การทำงานทั้งหมดผ่านไปอย่างยอดเยี่ยมมากครับ”

แม้ว่าราฟาเอลจะสงสัยในจุดมุ่งหมายของแอนนา ไม่ต่างจากที่เธอเองก็สงสัยในวิธีการของเขา แต่เขาก็ถูกขอร้องให้เข้ามาช่วยอย่างไม่มีความลังเลใด ๆ “ราฟาเอลกำลังเผชิญหน้ากับลาโยโรนา” ชาเวสกล่าว “เขาไม่เคยเห็นเธอมาก่อน แต่เขาเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับเธอมานานแล้ว”

“พวกเขาพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องเด็ก ๆ เหล่านี้” ครูซกล่าว “ไม่ใช่แค่ทางร่างกาย จิตใจ และความรู้สึกเท่านั้น แต่ลึกลงไปถึงจิตวิญญาณเลยครับ นี่เป็นการต่อสู้เพื่อวิญญาณของพวกเขา และทางเดียวที่จะสู้กับอำนาจแห่งความชั่วร้ายนี้ได้คือการร่วมมือกัน”

นี่เป็นคืนที่ 3 ในวงจรการไล่ล่าของลาโยโรนา และเธอจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว

ลิมเปียส เอสปิริตัวเลส

ในการให้เกียรติเรื่องความเชื่อและขนบธรรมเนียมที่สร้างแรงบันดาลใจให้หนังเรื่องนี้ รวมถึงความตั้งใจที่จะไม่ฉวยโอกาสใด ๆ ก่อนจะทำการเดินหน้าถ่ายทำ ผู้สร้างภาพยนตร์ได้นำบาทหลวงและหมอผีมาที่กองถ่ายทำเพื่อทำพิธีปกป้องภูติผีในแบบของพวกเขา

หลังจากที่บาทหลวงได้ให้พรแล้ว หมอผีจะทำพิธีชำระล้าง โดยมีการใช้ควันที่ได้จากการเผาไหม้เซจปัดเป่าพลังชั่วร้ายในฉากและทุกคนที่อยู่ในกองถ่าย “นี่เป็นการทำพิธีครั้งแรกของผมเลยครับ” ชาเวสเปิดเผย “และสิ่งที่ตามมาคือความรู้สึกนิ่งสงบ ทุกคนสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ในพิธี จนกลายเป็นช่วงเวลาที่ได้สงบนิ่งสำหรับทุกคนในฉาก”

“มันรู้สึกดีมากค่ะที่มีคนมาทำอะไรดี ๆ ก่อนที่เราจะเริ่มการถ่ายทำ” คาร์เดลลินี่กล่าวเสริมว่า “หลายเหตุการณ์ในฉากหรือผู้คนที่เจ็บป่วย มันทำให้เกิดคำถามว่าตัวแปรเหล่านี้จะกระทบการถ่ายทำมากน้อยขนาดไหน ในหนังเรื่องนี้มีเรื่องของความชั่วร้าย ฉะนั้นมันรู้สึกดีมากค่ะที่มีการนำสิ่งที่เป็นทางสว่างเข้ามาก่อนจะเริ่มการผจญภัยครั้งนี้”

“The Curse of Weeping Woman คำสาปมรณะจากหญิงร่ำไห้” ถ่ายทำในสถานที่จริงทั้งในและรอบ ๆ ลอส แอนเจลิส พร้อมด้วยบ้านของแอนนาที่พบทางเขตเวสต์ อดัมส์ของเมือง มีการก่อสร้างฉากภายในและภายนอกที่สำคัญในพื้นที่อเนกประสงค์ที่อยู่ไม่ไกล

ผู้ที่มาร่วมงานกับชาเวสเพื่อสร้างเรื่องราวให้มีความเป็นยุค 1973 คือผู้กำกับภาพฯ ไมเคิล เบอร์เกส ผู้ออกแบบฉากฯเมลานี่ โจนส์ และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายฯ มีแกน สแปตซ์ “มันต้องอาศัยทีมงานเพื่อสร้างภาพยนตร์ขึ้นมาสักเรื่อง ผมเลยอยากให้หัวหน้าฝ่ายต่าง ๆ มีอิสระในการสร้างเต็มที่” ชาเวสกล่าว “ผมรู้สึกว่ายิ่งเราให้เขามีความสร้างสรรค์มากเท่าไหร่ ผลลัพธ์ยิ่งออกมาดีมากเท่านั้น และทุกคนก็ผลิตผลงานได้ออกมาอย่างเต็มที่ครับ”

“The Curse of Weeping Woman คำสาปมรณะจากหญิงร่ำไห้” เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เบอร์เกสทำหน้าที่ตากล้อง โดยเขามีความชำนาญด้านนี้และเพิ่งปิดกล้องจากการถ่ายทำเรื่อง “Aquaman” ตอนที่วานแนะนำเขาให้รู้จักกับชาเวส “ไมค์เป็นทั้งเพื่อนและผู้ร่วมงานที่นิสัยดีมากครับ” ผู้กำกับฯ กล่าว “นี่เป็นหนังเล็ก ๆ ที่มีตารางการทำงานกระชั้นชิมาก แต่เขาทำให้ดูยิ่งใหญ่ เขามีพรสวรรค์ในตัวเรื่องการจัดวางองค์ประกอบ เพื่อถ่ายทอดสถานที่หรือบรรยากาศสำคัญออกมาได้อย่างที่เราหวังไว้เลย”

เบอร์เกสเล่าว่า “นี่เป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์และผมตื่นเต้นกับโอกาสนี้มากครับ ไมค์ให้ความร่วมมือมากจนทำให้การทำงานสนุกสนานอย่างเหลือเชื่อ ช่วงก่อนทำการถ่ายทำเรานั่งอยู่ในห้องด้วกันทุกวันและคุยกันถึงเรื่องหนัง ฉากต่าง ๆ และการจัดแสง เขาทำงานด้านวิชวลและจะพูดด้วยภาษาที่เขาใช้ และมักมีเรื่องของการสร้างความรู้สึกให้ดูเหนือธรรมชาติขึ้นมา ช่วงเวลาที่ทุกอย่างดูไม่มีอะไรแต่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เราคุยกันเรื่องนั้นไม่หยุดเลยจนถึงตอนที่เราถ่ายทำกัน ทุกวันเราจะนั่งในห้องด้วยกันและพูดว่า ‘โอเค เราจะทำให้ทุกคนกลัวยังไงดี’” เขาหัวเราะ

สำหรับมาตรฐานของการสร้างภาพที่น่ากลัวของชาเวสและเบอร์เกสในหนัง สิ่งสำคัญอยู่ที่การจัดทิศทางการเคลื่อนไหวของแสงและการลดความสว่าง บ้านที่แอนนาอยู่ร่วมกับลูก ๆ ของเธอคือสถานที่สำคัญ ฉะนั้นการหาสถานที่ที่ เหมาะสมจึงเป็นภารกิจแรก

โชคดีที่ผู้ออกแบบฉากฯ มีลานี่ โจนส์ได้สำรวจตึกสไตล์วิคทอเรียน 2 ชั้นที่เขตเวสต์ อดัมส์ที่เหมาะสำหรับที.อีเวน โดยมีนักศึกษามหาวิทยาลัยอาศัยอยู่ที่ชั้น 2 ตลอดช่วงการถ่ายทำ “ตัวบ้านมีความเหมาะสมไร้ที่ติมากครับ โครงสร้างดูดีมากและไมเคิลส์ (ชาเวสและเบอร์เกสผู้เป็นตากล้อง) เองก็รักที่นั่น” โจนส์กล่าว “มันมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ เราจะเห็นบ้านไม้สีเข้ม

ทรงวิคทอเรียนจำนวนมาก แต่บ้านหลังนี้เป็นไม้โอ๊กสีทองสวยทั้งหลัง มันให้ความรู้สึกถึงความเป็นบ้าน ความอบอุ่น และเหมือนครอบครัวนี้มีการอยู่อาศัยมานานราว 20 ปี”

รายละเอียดแต่ละส่วนทางชาเวส โจนส์ และทีมงานของเธอต้องค้นหาจากนิตยสารและภาพถ่ายในยุคนั้น มีการดูฉากภาพยนตร์ในลอส แอนเจลิสช่วงต้นปี 70 กันอย่างมาราธอน “เรากำลังสร้างชีวิตของแอนนาและลูก ๆ ของเธอขึ้นมา” ชาเวสกล่าว “ทุกครอบครัวต้องมีของสะสมเกี่ยวกับลูก ๆ มีข้าวของสามี รายละเอียดของช่วงชีวิตหลายปีที่อยู่ทั่วทุกแห่ง เมลานีมาพร้อมความงดงามและสีโทนอบอุ่นที่สื่อถึงช่วงเวลานั้นและได้ความรู้สึกแบบที่ผมต้องการ มันควรมีส่วนที่ไม่สมบูรณ์แบบ เห็นรายละเอียด ซึ่งเธอก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างไร้ที่ติเลยครับ”

แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้สดใสไปซะหมด “ตัวบ้านต้องมีจุดที่เป็นมุมอับ” โจนส์อธิบาย “เมื่อความชั่วร้ายคืบคลานเข้ามา บ้านจะต้องเริ่มดูหลอนด้วยเสียงจากประตู เสียงพื้นลั่น เสียงลมพัดทางหน้าต่าง ซึ่งบ้านหลังนี้มีครบทุกสิ่ง”

ในส่วนที่เหลือมาจากการรวมพรสวรรค์ระหว่างเบอร์เกสและโจนส์ที่ผู้อำนวยการสร้างฯ ดาวเบอร์แมนเล่าว่า “ไมเคิล เบอร์เกสวาดภาพที่สวยงามมาก” เขากล่าว “ส่วนเมลานีและทีมงานของเธอคิดไอเดียเรื่องภาพที่สร้างความหลอนให้เราได้จากสิ่งที่เรามองไม่เห็น เวลาที่เราเดินเข้าไปในฉากนั้นจะรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านใครสักคนจริงๆ แต่เวลาปิดไฟจะรู้สึกแปลกใจว่ามีใครซ่อนอยู่ตามมุมมืดแล้วรอเวลาโผล่ออกมามั้ย ตัวบ้านต้องถ่ายทอดเรื่องราวได้ และต้องรู้สึกว่ามีการอยู่อาศัยจริง มีความปลอดภัย แต่แฝงไว้ด้วยความน่ากลัว”

ความรู้สึกหลอนที่ปกคลุมบ้านอาจจะมีส่วนช่วยเหลือได้อยู่เหมือนกัน “เจ้าของบ้านเชื่อว่าที่นั่นมีบางอย่างจริง ๆ จนกระทั่งถึงวันสุดท้าของการถ่ายทำ ทีมงานทุกคนก็ยังถูกโน้มน้าวให้เชื่อเรื่องนั้น” ชาเวสกล่าว “เราเจอเรื่องประหลาด

บางอย่างด้วย เช่น ได้ยินเสียงกระซิบ เสียงข้าวของเคลื่อนย้าย ถึงแม้ผมเป็นคนแรกที่พูดว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีจริงหรอก ผมกลับเป็นคนแรกที่พูดว่า ‘ผมว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้นนะ!’”

ในช่วงวันหนึ่งของฤดูร้อน ปีศาจที่อยู่ในบ้านก็เผยตัวตนออกมา “เรากำลังถ่ายทำกันอยู่ในห้องครัว อากาศในบ้านร้อนมาก” เขาจำได้ “อยู่ ๆ เราก็รู้สึกมีลมหนาวพัดเข้ามาในบ้าน มันไม่ใช่แค่ลมพัดโชย แต่มันเหมือนลมกรรโชกที่หนาวจัด เราทุกคนถึงกับหลอนกันไปเลยครับ ทุกอย่างเงียบสงบ แล้วก็มีเพื่อนคนหนึ่งหันมาคุยกับผมว่า ‘เราไม่ได้อยู่กันแค่นี้แล้วล่ะ’” เขาหัวเราะ “ใช่ครับ หลอนไปเลย…”

ครูซเอาของส่วนตัวบางอย่างมาเข้าฉากแสดงในบทหมอผีด้วย รวมถึงกำไลทัวร์มาลีนสีดำที่เขามีไว้เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ และปรากฏว่าเขาก็ต้องใช้มันจริง ๆ “เราถ่ายทำฉากที่ราฟาเอลพบลาโยโรนาเป็นครั้งแรก ซึ่งเราจะเห็นเธอมาแบบตัวเป็น ๆ ครั้งแรกเลย” ครูซเล่า “แล้วอยู่ ๆ กำไลก็หลุดออกจากมือของผม ลูกประคำกระจายไปทั่ว ชาเวสพูดขึ้นว่า ‘นั่นอะไรน่ะ?’ เรารีบช่วยกันเก็บลูกประคำ… ซึ่งมี 3 อันที่แตกครึ่ง ทั้ง ๆ ที่นี่เป็นกำไลที่ผลิตขึ้นอย่างดีด้วยลูกประคำแข็งนั้น ผมไม่ได้แตะต้องอะไรเลย มันเหมือนมีพลังบางอย่างในฉากนั้น”

ในฉากสำคัญของราฟาเอลและครอบครัวของแอนนา สถานที่หนึ่งที่มีการค้นหาช่วงแรก ๆ และมีความสำคัญมากต่อความสร้างสรรค์ทั้งหมดคือศิลปะการไล่ผีอย่างมีชั้นเชิง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้มาก สำหรับชาเวสแล้วมีหมอผีหลายคนที่เปิดร้านของตัวเองได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมพื้นบ้านให้ชาวลอส แอนเจลิสฟัง โดยที่เขาเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้สักเท่าไหร่ “ถ้าเราอยู่ที่ลอส แอนเจลิส จะพบหมอผีได้ทั่วทุกแห่ง” เขากล่าว “และทุกคนที่เราคุยด้วยก็วิเศษมากครับ ทุกคนเปิดใจคุยกับเราถึงเรื่องราวในอดีต ความเชื่อ ประสบการณ์ที่เคยเจอ เราถามพวกเขาด้วยซ้ำว่าจัดการเรื่องลาโยโรนายังไง พวกเขาช่วยจุดประกายในการสร้างตัวละครราฟาเอลและการแสดงของเรย์มอนด์ได้ดีมากครับ”

สำหรับครูซที่ต้องเจาะลึกเข้าไปในโลกของพวกเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะเปิดเผยให้ฟัง ถือว่าเป็นการใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่ามาก “ผมต้องรับผิดชอบเรื่องฉากในหนังอีกจำนวนมาก ซึ่งแต่ละอันมีความพิเศษในตัวว่าคืออะไรและจะใช้งานยังไง ทั้งคัมภีร์ไบเบิล ไม้กางเขน ลูกประคำ เสจ พาโล ซานโต ไข่ เมล็ดต้นเพลิง เราอยากให้ผู้ชมรู้สึกว่าเป็นการต่อสู้ที่สมจริง ของเหล่านี้เป็นอาวุธส่วนตัวของราฟาเอลที่ใช้รับมือกับปีศาจร้าย ฉะนั้นทุกอย่างจะต้องถูกต้องเหมาะสม”

ปลุกเรียกลาโยโรนา

สำหรับการรวมตัวกันของตัวละครที่เรียกความสนใจในหนัง สิ่งสำคัญสุดอาจเป็นสิ่งที่ท้าทายทีมนักแสดงที่สุดด้วยเช่นกัน “อย่างที่เจมส์พูดเอาไว้ว่าเราไม่มีทางเด่นไปกว่าสัตว์ประหลาดของเราได้” แกลดสโตนกล่าว “เราจะมีนักแสงที่เก่งขนาดไหนในเรื่องก็ได้ แต่ถ้าลาโยโรนาไม่มีบทบาทพอสำหรับตำนานที่นานนับศตวรรษแบบนี้ มันก็เท่ากับเราไม่มีหนังสักเรื่อง”

สิ่งที่พวกเขาไม่รู้คือเธอกำลังรอการตอบรับจากเทปออดิชั่นที่อยู่กับพวกเขา มาริโซล รามิเรซอ่านบทฯ ที่นึกถึงวีลาสเควซ แต่มันเห็นชัดเจนจากการที่พวกเขาสังเกตอีกครั้งว่าเธอเกิดมาเพื่อรับบทนี้ “การแสดงของมาริโซลมีความโหดเหี้ยมที่ทำให้เราถึงกับหายใจไม่ทั่วท้องเลย” ชาเวสจำตอนนั้นได้ “เธอมาออดิชั่นเพื่อรับบทแพทริเซีย แต่ความหดหู่และความดุร้ายในตัวเธอมีความเป็นลาโยโรนาอย่างชัดเจน”

แม้ว่าจะต้องมีการแต่งหน้า 3 ชั่วโมงและทำผมวันละ 2 ครั้ง แต่สำหรับรามิเรซการรับบทนี้เหมือนเป็นการทำตามความฝัน “ฉันอยากรับบทตัวละครที่น่ากลัวในหนังสยองขวัญมาตลอดเลยค่ะ” เธอกล่าว “การถูกชวนให้มารับบทตัวละครที่มีชื่อเสียงของตำนานที่เราโตมาด้วยกัน ถือเป็นความฝันอันสูงสุดเลยค่ะ”

ลาโยโรนามีชีวิตขึ้นมาจากการแสดงของรามิเรซบวกกับการร่วมงานของผู้ชำนาญและแผนกต่าง ๆ ที่สร้างสัตว์ประหลาดอย่างที่เราเห็นบนจอภาพยนตร์ และบุคคลสำคัญในการสร้างผลงานนั้นคือผู้ชำนาญด้านการแต่งหน้าสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ เกจ มันสเตอร์

สำหรับชาเวสที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ชำนาญทางด้านศิลปะ ได้สร้างผลงานด้านการออกแบบสัตว์ประหลาด การร่วมกับมันสเตอร์และวานถือเป็นความโดดเด่นอย่างหนึ่งในการถ่ายทำ “ตลอดเวลาผมเหมือนกับคนที่ขาดประสบการณ์” เขายอมรับ “เกจคือผู้ชำนาญอย่างแท้จริง ส่วนเจมส์ก็เป็นผู้สร้างสัตว์ประหลาดที่มีความโดดเด่น เรามีทีมงานด้านทรงผมและการแต่งหน้าที่มีชื่อเสียงมาก การได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมงานครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสดีที่หาได้ยากและเป็นการทำงานระดับผู้ที่มีความชำนาญเลยครับ”

แต่ในความร่วมมือกันของพวกเขาก็อยู่บนความเคารพในตัวปีศาจที่ครองใจใครหลายคนด้วย “นี่เป็นเรื่องราวที่มีความน่ากลัว” ผู้กำกับฯ กล่าวต่อ “ทุกคนที่โตมาพร้อมกับลาโยโรนาจะมีภาพของเธอในจินตนาการ และสำหรับคนที่ไม่รู้จักเธอ เรา ถือว่าเราได้เพิ่มสัตว์ประหลาดตัวใหม่เข้ามาในโลกของภาพยนตร์สยองขวัญ ไม่มีใครสร้างเธอขึ้นมาโดยขาดความใส่ใจ เราหวังว่าลาโยโรนาในจินตนาการของเราจะเคารพตัวตนของเธอ ระหว่างที่เรากำลังถ่ายทอดปีศาจชื่อดังแห่งยุคศตวรรษที่ 21 ออกมา”

บุคคลสำคัญที่จะถ่ายทอดตัวละครนั้นออกมาแน่นอนว่าต้องเป็นรามิเรซ เธอต้องเวลา 3 ชั่วโมงในการแปลงร่าง จากนั้นก็ทำการล้างเครื่องสำอาง ถอดฟัน มือ ของตกแต่งทรงผม เจล น้ำ คอนแทคเลนส์ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญโดยเธอเรียกว่า “เป็นสิ่งที่สร้างความหลอนได้มากขึ้นอย่างเหลือเชื่อค่ะ ไมเคิลเป็นคนที่เก่งมาก ใจดี และคอยให้กำลังใจ ส่วนเพื่อน

นักแสดงของฉันก็เก่งกันทุกคนเลย การแต่งหน้าและการทำผมต้องใช้เวลานานมาก แต่ก็แปลงร่างออกมาได้เนียนมาก สิ่งสุดท้ายที่เราใส่เข้าไปคือคอนแทคเลนส์ค่ะ ทันทีที่ใส่เข้าไปจะรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่อีกโลกหนึ่งเลยค่ะ”

“และเธอมีรอยยิ้มบนใบหน้าตลอด” ชาเวสกล่าว “สิ่งที่อยู่ภายใต้เครื่องสำอางนั้น เธอเป็นคนที่น่ารัก สนุกสนาน เป็นคนที่มีความอบอุ่นมากคนหนึ่งเลยครับ แต่พอเธออยู่ในฉาก… เธอน่ากลัวสุด ๆ เลย!”

หนึ่งในช่วงเวลาที่น่าจดจำในฉากคือวันแรกของรามิเรซ “เราถ่ายทำกันที่ลาติโน่ขนาดใหญ่ใกล้กับลอส แอนเจลิส เด็กๆ พากันออกมาเล่นทริคออร์ทรีทกัน” เธอจำตอนนั้นได้ “ฉันออกมาจากรถเทรลเลอร์ด้วยเสื้อผ้าครบชุด เด็กตัวเล็ก ๆ ถึงกับหนีไปจากแม่และเริ่มข้ามถนนไป ตอนนั้นมีรถกำลังวิ่งมาฉันเลยกระโดดไปคว้าตัวเขาไว้ก่อนที่เขาจะได้รับบาดเจ็บ ทุกคนถึงกับอ้าปากค้างและหยุดนิ่ง เด็กบางคนถึงกับกรี๊ดและแม่ของเด็กผู้ชายคนนั้นตะโกนออกมาว่า “ลาโยโรนา!’”

ส่วนประกอบที่สำคัญคือชุดของหญิงร่ำไห้ “ลาโยโรนาสวมชุดสีขาวธรรมดา” ชาเวสกล่าว “ชุดของเธอมีความเหมือนกับภาพในตำนานของเธอ มีแกน สแปตซ์นำภาพในจินตนาการหลายแบบมาให้ดู เพื่อเป็นการให้เกียรติและสร้างความประทับใจ ในขณะเดียวกันเธอต้องดูมีความสมจริงและมีความตราตรึงใจบนหน้าจอ”

สแปตซ์รู้สึกชื่นชมในความไว้วางใจและอิสรภาพที่ชาเวสมอบให้เธอในการผลิตชุดนี้ รวมถึงข้อมูลต่า งๆ ที่ทีมผู้สร้างภาพยนตร์ให้เธอมาด้วย “เราทุกคนอยากให้มันดูเป็นอมตะ ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจว่าผู้คนมีประสบการณ์กับลาโยโรนาในรูปแบบไหน” ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายกล่าว “ฉันได้แรงบันดาลใจจากวัฒนธรรม ศิลปะ และการออกแบบของชาวลาตินค่ะ ฉะนั้นเรื่องของชุดจะมีความคล้าย ‘แฟรงค์เกนสไตน์’ จากการอ้างอิงต่าง ๆ”

สำหรับการสร้างสิ่งที่ชาเวสอธิบายว่าเป็น “โคลนจากแม่น้ำที่มีอายุเป็นร้อยปี” ที่สามารถเกาะตามเสื้อผ้า เพื่อดึงไม่ให้เธอเดินบนแม่น้ำระหว่างการเดินทางไล่ล่าของเธอได้ สแปตซ์ได้แรงบันดาลใจจากพิพิธภัณฑ์ใต้น้ำของศิลปินเจสัน เดอคาเรส

เทย์เลอร์ “เขาได้สร้างรูปปั้นมนุษย์ขึ้นมาและนำไปจมไว้ใต้ทะเลค่ะ” เธออธิบาย “และปล่อยให้สิ่งมีชีวิตในทะเลเข้าไปอยู่อาศัย ฉะนั้นเราจะมีพวกรูปปั้นสวย ๆ ที่เต็มไปด้วยเปลือกหอย สาหร่ายและปะการัง จนรู้สึกเหมือนพวกเขาอยู่ที่นั่นมานานแล้ว”

ชาเวสเล่าถึงผลลัพธ์ที่ได้ว่า “ดูเรียบง่ายตามแบบฉบับที่คลาสสิค แต่มีการสื่อถึงความน่ากลัวที่บอกเราได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติขั้นรุนแรงเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่สวมชุดนี้”

และรามิเรซก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีส่วนร่วม เช่นเดียวกับคนอีกนับล้านที่ลาโยโรนาอยู่ในจินตนาการของเธอ “ฉันรู้สึกภูมิใจมากค่ะที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในหนังเรื่องนี้ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่ใครหลายคนโตมาพร้อมกับเรื่องนี้ให้ผู้ชมทั่วโลกได้รู้จัก” เธอกล่าว “และฉันหวังว่าผู้ที่คุ้นเคยกับตำนานของเธอดีจะได้เห็นลาโยโรนาของพวกเขาบนจอภาพยนตร์”

วีลาสเควซกล่าวต่อว่า “ลาโยโรนามีชีวิตและลมหายใจอยู่ในวัฒนธรรมของเรา สำหรับเราเธอมีตัวตนจริงและยังคงอยู่ที่นั่น สิ่งที่ฉันรักในหนังเรื่องนี้คือมันทำให้ผู้ชมที่เพิ่งรู้จักตัวละครนี้ ได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับเธออย่างปลอดภัยในโรงภาพยนตร์”

“แต่หากคุณไปดูหนังเรื่องนี้” ครูซพูดต่อว่า “คุณต้องการป๊อปคอร์นกับขนม? ได้เลย แต่เอาไม้กางเขนกับน้ำมนต์ไปด้วย ถ้าคุณมีกำไลทัวร์มาลีนสีดำก็เอาไปด้วย ลาโยโรนาสร้างความหลอนให้กับพวกเรามาทั้งชีวิตแล้ว คราวนี้ถึงตาของคุณบ้าง เตรียมพร้อมให้ดี!”

สำหรับคาร์เดลลินี่ แค่อะดรีนาลีนที่พุ่งพล่านนั่นก็คุ้มที่จะเสี่ยงแล้ว “ถ้าคุณอยากรู้สึกหลอน ฉันคิดว่าหนังเรื่องนี้จะต้องสนุกมากค่ะ เพราะเมื่อหนังเริ่มทำให้คุณหลอนได้แล้ว คุณก็จะหลอนต่อไม่หยุดจนกระทั่งถึงตอนจบ”

สำหรับไมเคิล ชาเวสนั่นคือไอเดียสำคัญเลย “The Curse of Weeping Woman คำสาปมรณรจากหญิงร่ำไห้” ไม่ได้ถ่ายทอดแค่เรื่องราวของชีวิต แต่ยังเป็นโอกาสครั้งแรกที่ผู้กำกับฯ จะได้สร้างหนังเกี่ยวกับเรื่องที่เขาโตมาด้วยกันและยังคงหลง

รักอยู่ “เวลาที่เราดูหนังสยองขวัญ มันจะกระตุ้นการต่อสู้ครั้งนี้หรือสัญชาตญาณการต่อสู้” เขากล่าว “ทุกคนจะรู้สึกตื่นตัวอย่างเต็มที่ แต่คุณจะมีช่วงที่รู้สึกเครียดจนรู้สึกเกร็งไปทั้งตัว ซึ่งมันยังไม่จบแค่นั้น.. จนกระทั่งเราไม่ทันตั้งตัว และมันสร้างความหลอนให้เราอย่างเต็มที่

“นั่นคือสิ่งที่ผมอยากให้ผู้ชมได้สัมผัส อยากให้พวกเขานั่งติดขอบเบาะตลอดเวลาและเดินออกจากโรงภาพยนตร์ด้วยรอยยิ้มและความสุข นั่นคือเหตุผลที่เราไปดูหนังแนวนี้ และเป็นเหตุผลที่ทำให้หนังแนวนี้มีความสนุกมาก”