ภาพยนตร์ภาคต่อจากผลงานที่ประสบความสำเร็จทั่วโลก เรื่อง “Godzilla” และ “Kong: Skull Island” สู่ภาพยนตร์เกี่ยวกับโลกของสัตว์ประหลาดภาคต่อจากวอร์เนอร์ บราเดอร์สและเลเจนดารี่ พิกเจอร์ส เรื่อง “Godzilla II: King of the Monsters – ก็อดซิลล่า 2 ราชันแห่งมอนสเตอร์” ผลงานแนวแอ็คชั่นผจญภัยสุดอลังการที่นำก็อดซิลล่ามาเผชิญหน้ากับเหล่าสัตว์ประหลาดที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์

ภาพยนตร์กำกับฯ โดยไมเคิล โดเฮอร์ตี้ (“Krampus”) นำแสดงโดยไคลย์ แชนเลอร์ (“The Wolf of Wall Street,” “Argo”) รวมถึงนักแสงผู้เข้าชิงรางวัล Oscar เวรา ฟาร์มิกา (“Up in the Air,” ภาพยนตร์เรื่อง “The Conjuring”) และมิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ (ภาพยนตร์ทางทีวี “Stranger Things”) ที่มาแสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรก รวมถึงนักแสดงชื่อดัง เช่น แบรดลีย์ วิทฟอร์ด (“Get Out,” “The Post” ) ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar แซลลี่ ฮอว์กินส์ (“The Shape of Water,” “Blue Jasmine”) ชาร์ลส แดนซ์ (ภาพยนตร์ทาง HBO เรื่อง “Game of Thrones” “The Imitation Game”) โธมัส มิดเดิลดิทช์ (ภาพนยนตร์ทาง HBO เรื่อง “Silicon Valley”) ไอชา ไฮด์ส (“Star Trek Into Darkness”) โอเชีย แจ็คสัน จูเนียร์ (“Straight Outta Compton”) ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar เดวิด สตราเธรน (“Good Night, and Good Luck,” “Godzilla”) ร่วมด้วยผู้เข้าชิงรางวัล Oscar เคน วาตานาเบ้ (“The Last Samurai,” “Inception,” “Godzilla”) และผู้เข้าชิงรางวัล Golden Globe จาง จื่อหยี (“Memoirs of a Geisha,” “Crouching Tiger, Hidden Dragon”)

ในภาคใหม่นี้เป็นเรื่องราวของความกล้าหาญ และความพยายามขององค์กรโมนาร์คที่ถอดรหัสสัตว์ดึกดำบรรพ์ เมื่อเหล่าสมาชิกต้องเผชิญหน้ากับกองทัพสัตว์ประหลาดที่มีขนาดใหญ่มหึมา รวมถึงก็อดซิลล่ายักษ์ที่ต้องสู้กับมอธร่า โรแดน และศัตรูตัวร้ายของเขาอย่างกิโดร่า 3 หัว เมื่อสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่คิดว่ามีเพียงในตำนานได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ พวกเขาต้องต่อสู้กันเพื่อชิงอำนาจ และความสมดุลแห่งความอยู่รอดของมนุษย์เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย

โดเฮอร์ตี้กำกับฯ จากบทภาพยนตร์ที่เขาเขียนร่วมกับแซค ชีลด์ส เนื้อเรื่องโดยแม็กซ์ โบเรนสเตน และ ไมเคิล โดเฮอร์ตี้ และ แซค ชีลด์ส สร้างอิงจากตัวละคร “ก็อดซิลล่า” “คิงกิโดร่า” มอธร่า” และ “โรแดน” ที่ครอบครองและผลิตโดย Toho Co., Ltd. อำนวยการสร้างฯ โดยแมรี่ แพเรนท์, อเล็กซ์ การ์เซีย, โธมัส ทุล, จอน แจชนี่ และ ไบรอัน โรเจอร์ส อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยแซค ชีลด์ส, แบร์รี่ วอลด์แมน, ฮิโระ มัตสึโอกะ, เคอิจิ โอตะ, แดน ลิน, รอย ลี, โยชิมิตสึ บันโนะ และ เคนจิ โอคุฮิระ ร่วมอำนวยการสร้างฯ โดยอาลี เม็นเดส และ เจย์ อาเชนเฟลเตอร์ให้กับเลเจนดารี่

ทีมงานเบื้องหลังฝ่ายสร้างสรรค์ของโดเฮอร์รี่ ได้แก่ ผู้กำกับภาพฯ ลอว์เรนซ์ เชอร์ที่มีผลงานชื่อดังอย่าง “Hangover” และ “Godzilla” ที่เขาทำหน้าที่ตากล้องเสริม ผู้ออกแบบฉากฯ สก็อตต์ แชมบลิส (“Guardians of the Galaxy Vol. 2,” “Star Trek Into Darkness”) ผู้ลำดับภาพฯ โรเจอร์ บาร์ตัน (“Pirates of the Caribbean: Dead Men Tell No Tales” ภาพยนตร์เรื่อง “Transformers”) ริชาร์ด แพร์สัน ผู้เข้าชิง Oscar (“United 93,” “Kong: Skull Island”) และบ็อบ ดัคเซย์ (“Godzilla,” “ Star Wars: Episode VIII – The Last Jedi”) ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายฯ หลุยส์ มินเก็นแบช (ภาพยนตร์เรื่อง “X-Men” และ “Hangover”) และผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์เจ้าของรางวัล Oscar กิลลอม โรเชอร์รอน (“Life of Pi,” “Godzilla”) ประพันธ์ดนตรีโดยแบร์ แม็คเครียรี่ (ภาพยนตร์ทางทีวี “The Walking Dead,” “10 Cloverfield Lane”)

ผลงานการนำเสนอจากวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์สและเลเจนดารี่ พิกเจอร์ส ร่วมกับ Toho Co., Ltd. สู่ภาพยนตร์โดยไมเคิล โดเฮอร์ตี้ เรื่อง “Godzilla: King of the Monsters” เริ่มฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลก 31 พฤษภาคม 2019 จัดจำหน่ายในระบบ 3 มิติ ระบบธรรมดา และระบบไอแมกซ์โดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ยกเว้นที่ประทศญี่ปุ่นซึ่งจะจัดจำหน่ายโดย Toho และจัดจำหน่ายที่ประเทศจีนโดย Legendary East

Godzilla-Movie.net

รายละเอียดการถ่ายทำ

เส้นทางของสัตว์ประหลาด

“นี่เป็นโลกของก็อดซิลล่า… เราเป็นเพียงผู้อาศัย”

– เจ้าหน้าที่ทัณฑ์บน บาร์นส

สำหรับเรื่อง “Godzilla II: King of the Monsters” ผู้กำกับฯ / ผู้ร่วมเขียนบทฯ ไมเคิล โดเฮอร์ตี้ได้รวบรวมสัตว์ประหลาดที่มีขนาดใหญ่สุดและโหดร้ายสุดมารวมตัวกันบนจอยักษ์เป็นประวัติศาสตร์ โดยไม่คิดถึงเรื่องข้อจำกัดสำหรับการต่อสู้ที่ขยายความยิ่งใหญ่สู่อนาคตของโลกใบนี้ ที่มีจุดเชื่อมโยงถึงชะตากรรมของสัตว์ประหลาดและมนุษยชาติ

“ก็อดซิลล่ามีการนำเสนอความรู้สึกของเรื่องราวในตำนานอยู่แล้ว” ดั๊กเฮอร์ตี้กล่าว เขาเป็นแฟนตัวยงผู้มาทำหน้าที่ควบคุมเรื่อง “Godzilla II: King of the Monsters” “ภาพยนตร์เกี่ยวกับก็อดซิลล่ามีความยิ่งใหญ่ สนุกสนาน แต่ก็เต็มไปด้วยความวุ่นวายและการทำลายล้าง หนังเหล่านี้มีการเปรียบเทียบให้เราได้เห็น นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ชาวญี่ปุ่นคิดค้นและถ่ายทอดตัวละครนี้ออกมา ผมคิดว่านี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ก็อดซิลล่ามีความเป็นอมตะอย่างยาวนาน”

ตั้งแต่จุดกำเนิดของเขาเมื่อปี 1954 มาจนถึงจุดกำเนิดใหม่อย่างยิ่งใหญ่เมื่อปี 2014 ก็อดซิลล่ามีบทบาทมากกว่าการเป็นสัตว์ประหลาด เขาเป็นทั้งผู้ทำลาย ผู้ช่วยชีวิต ผู้มีชื่อเสียง ผู้ปกครอง เขามีพัฒนาการและปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตัวเองตลอดช่วงเวลาหลายทศวรรษ ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง การอยู่ร่วมกับธรรมชาติจากผู้ทำลายธรรมชาติที่เดินได้สู่นักต่อสู้เพื่อธรรมชาติอย่างโดดเดี่ยว “นี่เป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ” ผู้กำกับฯ เล่าตอว่า “แต่ก็มีการเปรียบเทียบในเรื่องให้เห็น และจากที่หนังเรื่องนี้มีประเด็นที่เปลี่ยนไปในช่วงเวลาหลายปี จนฝากข้อคิดไว้ให้เราเรื่องเดียวกันคือหากเราทำลายธรรมชาติจนเกินไป ธรรมชาติก็จะกลับมาทำลายเรา”

“หนังเรื่องนี้จะพาเราเข้าไปอยู่ในชีวิตของสัตว์ประหลาดเหล่านี้” ผู้อำนวยการสร้างฯ แมรี่ พาเรนต์กล่าว “เวลาที่เราดูแล้วเห็นพวกเขาอยู่บนหน้าจอ ได้ยินเสียงคำรามที่กึกก้องจนโรงหนังสั่นสะเทือน เรารู้สึกว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้มีพลังอยู่ในตัว นี่เป็นหนังที่ควรดูในโรงภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุด”

“ผมคิดว่านี่เป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่สร้างความบันเทิงได้อย่างยิ่งใหญ่จากสมัยก่อน” นักแสดงในเรื่อง ไคล์ แชนด์เลอร์ ยืนยัน “ไมค์มาพร้อมกับจินตนาการของสัตว์ประหลาดสูง 500 ฟุตที่มาบุกรุกโลกและเนื้อเรื่องที่ทำให้เราสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกของมนุษย์บ้าง ผมตื่นเต้นมากที่ได้เห็นพวกเขามารวมตัวกัน ความคาดหวังสูงสุดของผมในหนังเรื่องนี้คือทุกคนนั่งในโรงหนัง ได้เห็นโลกอันยิ่งใหญ่ใบนี้และเชื่อว่ามันน่าจะมีอยู่จริง”

“หนังเรื่องนี้มีการผสมผสานกันสัตว์ขนาดใหญ่สายพันธุ์โบราณที่น่าเหลือเชื่อ ทุกคนจะได้สัมผัสกับฉากแอ็คชั่นและการผจญภัยที่จะทำให้อะดรีนาลีนพุ่งพล่าน” วีร่า ฟาร์ไมก้า ผู้ร่วมแสดงในเรื่องของเขากล่าว “แต่อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการถ่ายทอดเรื่องราวที่สะท้อนถึงแง่คิด ซึ่งฉันคิดว่าในเรื่องนี้มีสิ่งนั้น นั่นคือเหตุผลที่ก็อดซิลล่ายังเป็นตัวละครที่มีพลัง เขาสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งต่างๆ อย่างแท้จริง ใครบ้างที่จะไม่รักสัตว์ประหลาดที่มีลมหายใจเหมือนระเบิดปรมาณูขนาด 800 เมกะตันแต่ทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นมนุษย์มากๆ บ้าง?”

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คือบริษัท The Toho Co., Ltd. ของญี่ปุ่นได้รวมตัวกับทีมผู้สร้างภาพยนตร์ชาวญี่ปุ่นชื่อดังเพื่อสร้างสัตว์ประหลาดชนิดใหม่ขึ้นมา ปลุกให้มีชีวิตขึ้นมาผ่านชุดสัตว์ประหลาดจากกาวลาเท็กซ์และไม้ไผ่ มีการออกแบบโมเดลของโตเกียวขึ้นมาในขนาด 1/25 ส่วนอย่างพิถีพิถัน ก็อดซิลล่าได้ปรากฎบนจอภาพยนตร์ผ่านผลงานชิ้นเอกของอิชิโร่ ฮอนดะเรื่อง “Gojira” และได้สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่มีเสียงกึงก้องดังที่สุดและเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่สุดที่เคยปรากฎในภาพยนตร์

รอยเท้าของก็อดซิลล่าเหมือนใบเบิกทางของ Toho สู่โลกของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ในภาพยนตร์ซีรีส์ จนทำให้เกิดภาพยนตร์แนว kaiju eiga ที่สร้างความหลงใหลและความสนุกให้แฟนๆ หลายรุ่น แต่นอกจากก็อดซิลล่าแล้วก็ไม่มีสัตว์ประหลาดตัวไหนที่ปรากฎบนจอยักษ์นอกประเทศญี่ปุ่นเลย

จนกระทั่งตอนนี้

สำหรับการนำเสนอโลกของสัตว์ประหลาดบนจอภาพยนตร์รูปโฉมใหม่ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “Godzilla” เมื่อปี 2014 กำกับฯ โดยแกเรธ เอ็ดเวิร์ดส และภาพยนตร์ของจอร์แดน โวกท์-โรเบิร์ตส เรื่อง “Kong: Skull Island” เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ผู้สร้างภาพยนตร์ต่างรู้ว่าถึงเวลาแล้วสำหรับการสร้างผลงานที่เจาะลึกลงไปมากขึ้น “มอธร่า โรแดน และคิง กิโดร่าเป็นสิ่งมีชีวิตอีก 3 ตัวที่โด่งดังมากในโลกของ Toho” ผู้อำนวยการสร้างฯ อเล็กซ์ การ์เซียกล่าว “ฉะนั้นพอเราเริ่มจับพวกเขามารวมตัวกันในภาพยนตร์ ‘Godzilla’ ภาคที่ 2 นี้ เรารู้ดีว่าแฟนๆ จะตื่นเต้นขนาดไหนที่ได้เห้นพวกเขามีชีวิตขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมมีก็อดซิลล่าอยู่ในโลกที่มีบรรยากาศเสมือนจริงอย่างที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อหนัง 2 ภาคแรก”

ขณะเดียวกันการ์เซียรู้ดีว่ามันต้องมีความน่ากลัวด้วย “นี่เป็นตัวละครที่เป็นอมตะและเป็นที่รัก มีแฟนๆ ทั่วโลก ฉะนั้นการทำให้พวกเขามาอยู่ในต้นฉบับในรูปแบบใหม่ถือว่าต้องก้าวข้ามความน่าเชื่อถือ”

เพื่อยึดความตั้งใจนั้นไว้พวกเขาต้องการผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีจินตนาการโลกของสัตว์ประหลาดที่มีความทันสมัย ผสมกับความหลงใหลและการเห็นคุณค่าจากแฟนๆ ก็อดซิลล่า โชคดีที่พวกเขาไม่ต้องนึกภาพอะไรมากมาย

ไมเคิล ดั๊กเฮอร์ตี้เพิ่งสร้างภาพยนตร์ร่วมกับ Legendary ในผลงานแนวดาร์คคริสต์มาส เรื่อง “Krampus” และความสนใจในก็อดซิลล่าของขาคือสิ่งที่เขาคิดถึงมาก “ไมเคิลยังเก็บของเล่นก็อดซิลล่าสูง 18 นิ้วที่ได้มาตั้งแต่เด็กอยู่เลย” การ์เซียหัวเราะ

เมื่อดั๊กเฮอร์ตี้โตขึ้นพอที่จะเดินได้ เขาเริ่มเห็นก็อดซิลล่าส่งเสียงร้องคำรามในทีวีห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นซูปอร์ฮีโร่ตัวใหญ่ยักษ์ พ่นไฟได้ และมีเสียงคำรามที่แทบฉีกแก้วหูและหัวใจได้ “เขาไม่เหมือนกับไดโนเสาร์ที่ผมเคยเห็นมาก่อน” ดั๊กเฮอร์ตี้เล่าถึง

ตอนนั้น “เขาไมเหมือนไดโนเสาร์ด้วยซ้ำ เขาเหมือนสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่มาอยู่ในโลกปัจจุบัน ผมเลยรู้สึกหลงก็อดซิลล่าไปเลย ผมวาดรูปเขาไว้ที่ขอบสมุด และเอารูปเขามาใส่ในสมุดรายงานเกรดของผมด้วย แม่ชีจะต้องโกรธผมมากแน่ๆ”

หลังจากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ทั้งภาพยนตร์ สัตว์ประหลาด และตัวดั๊กเฮอร์ตี้เอง “ผมโตที่โคลัมบัส รัฐโอไฮโอมาพร้อมกับเด็กหลายเชื้อชาติ” เขาเล่า “พอได้รู้ว่าหนังที่น่าทึ่งเหล่านี้เกี่ยวกับสัตว์ประหลาดยักษ์ที่ชาวญี่ปุ่นเป็นคนสร้าง.. มันมีความหมายสำหรับผมมาก เขากลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยอย่างอุ่นใจ เพราะเขามีความเข้มแข็งและมีพลังมาก แถมเขายังมีจิตสำนึกและความคิดอยู่ในตัวอีกด้วย ก็อดซิลล่าเลยเป็นเพื่อนที่ดีของผมมานานแล้ว”

ดั๊กเฮอร์ตี้ยังให้เครดิตกับเจ้าตัวใหญ่ที่สร้างแรงบันดาลใจให้เขา ทำให้เขากลายเป็นผู้สร้างแอนิเมชั่นที่กลายเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ในเวลาต่อมาคนแรกอีกด้วย “ตอนที่ผมอายุประมาณ 10 ขวบ ครอบครัวของผมซื้อกล้องวีดีโอ Betamax มาและสิ่งที่ผมอยากทำคือสร้างหนังก็อดซิลล่าขึ้นมา ซึ่งสุดท้ายมันก็ดูเป็นภาพหยาบๆ แต่เป็นภาพยนตร์สต็อป-โมชั่นจากของเล่น Godzilla Shogun Warrior ที่ต่อสู้กับตัวหุ่นยนต์ของผม บางทีก็มี โทนี่ เต่าที่ผมเลี้ยงไว้เข้ามาช่วยด้วย” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม

นอกจากไดโนเสาร์ที่เขารักตั้งแต่เด็กแล้ว ก็อดซิลล่ายังทำให้ดั๊กเฮอร์ตี้นึกถึงเรื่องของมังกรที่รู้จักมาอย่างยาวนานอีกด้วย “แม่ของผมเป็นชาวเวียดนาม และผมยังมีความเป็นชาวไอริชและฮังกาเรียนอยู่ในตัว ผมโตมาพร้อมกับการอ่านตำนานเกี่ยวกับมังกรหลายแบบทั้งจากฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก” เขากล่าว “ตอนเด็กที่ได้ดูหนังก็อดซิลล่า ผมรู้สึกว่าได้เห็นตำนานเหล่านี้มีชีวิตขึ้นมา ผมไม่เคยเห็นมนุษย์สวมชุดที่ดูเหมือนยางทำลายล้างเมืองเลย ผมเห็นแต่สัตว์ในตำนานโบราณที่มีพลังต่อสู้เพื่อการปกครองและความโกรธแค้น”

สำหรับผู้กำกับฯ และผู้ร่วมเขียนบทฯ ที่ร่วมกันมานานอย่างแซค ชีลด์ส จุดเชื่อมโยงนั้นกลายเป็นการเปิดจักรวาลให้มีความยิ่งใหญ่ขึ้น ซึ่งใหญ่พอที่จะทำให้เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ระดับโลก ที่ไม่ใช่ของสัตว์ประหลาดยักษ์เพียงตัวเดียว แต่มีถึง 4 ตัว “สำหรับไมค์มันมีการจุดเชื่อมโยงกันตอลดเวลา” ชีลด์สกล่าว นอกจากจะร่วมเขียนบทฯ แล้วเขายังเป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ ด้วย “สำหรับผมเหมือนกับการสำรวจเรื่องราวครั้งใหม่ สำหรับไมค์เหมือนเป็นสิ่งที่อยู่ในดีเอ็นของเขาอยู่แล้ว ความแตกต่างของเราได้หล่อหลอมให้เกิดสัตว์ขนาดยักษ์ขึ้นมาในตำนานของเรา และมันน่าทึ่งมากที่ยิ่งเราแสดงออกมาให้เห็นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีความยิ่งใหญ่มากเท่านั้น เราอยากถ่ายทอดเรื่องนี้ออกมาในระดับ Old Testament Biblical มีทั้งเปลวเพลิง กำมะถัน และความเป็นธรรมชาติอย่างเต็มที่ และตำนานนั้นทำให้เรามีพื้นที่ในการเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดมากขึ้นและลึกซึ้งขึ้น”

อิสระในการเข้าไปสำรวจโลกของสัตว์ประหลาดต้องอยู่บนความเป็นไปได้ ทีมผู้เขียนบทฯ กลับมาพร้อมจินตนาการที่เซอร์ไพรส์ผู้ควบคุมผลงานคนอื่นๆ “ไมค์และแซคพบวิธีถ่ายทอดโรแดน มอธร่า และกิโดร่าสู่โลกใบนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนกับพวกเขามีตัวตนอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว” การ์เซียกล่าว “เรื่องราวติดต่อกันอย่างแนบเนียนตามแผนที่เราวางไว้มาอย่างยาวนานอย่างที่เราอยากสร้างหนังเหล่านี้ แต่มีความยิ่งใหญ่ขึ้น เป็นการผจญภัยที่ใหญ่ระดับโลกมากกว่าที่เราเคยเห็นมาก่อน”

พาเรนท์เล่าต่อว่า “เรื่อง ‘Godzilla II: King of the Monsters’ มีทุกอย่างที่เราต้องการจากหนังสัตว์ประหลาดยักษ์ มีทั้งเรื่องราวและตัวลละครอมตะที่เราคอยให้กำลังใจ และมีการต่อสู้ครั้งสำคัญเกิดขึ้นในเรื่องด้วย เราอยากรักษารายละเอียดสำคัญที่แฟนๆ ทั่วโลกหลงใหลเอาไว้ แต่ทำให้กลายเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่จะมอบพลัง ความแปลกใหม่ และความตื่นเต้นลงไปในเหล่าไททันสู่ผู้ชมยุคใหม่ ซึ่งไมเคิลก็ทำได้สำเร็จ”

“หนังเรื่องนี้จะอยู่ในมือของคนที่ไม่ได้เป็นแฟนไม่ได้เลย” โอ’เชีย แจ็คสัน จูเนียร์ นักแสดงและแฟนอย่างยาวนานกล่าว “ก็อดซิลล่ามีความหมายสำหรับชาวญี่ปุ่นมาก เราต้องสร้างเขาขึ้นมาด้วยความเคารพและทำออกมาให้ตรงตามจริง และสุดท้ายพอผมได้เห็นก็อดซิลล่าของเราอย่างสมบูรณ์แบบบ ผมรู้สึกว่า ‘ใช่เลย สร้างออกมาได้ถูกเป๊ะ’”

ภารกิจในการสร้างก็อดซิลล่า มอธร่า โรแดนและกิโดร่าให้ลุกขึ้นมาบนจอภาพยนตร์ ทำให้เกิดการร่วมงานกันครั้งสำคัญที่ต้องอาศัยผู้ร่วมงานที่มีความสร้างสรรค์จำนวนมาก หลานคนมีความผูกพันกับผลงานที่เป็นลิขสิทธิ์จาก Toho และทำให้เกิดผลงานที่เปิดโลกของสัตว์ประหลาด และทำให้องค์กรลับของรัฐบาลในนามโมนาร์คได้เปิดเผยตัวตนออกมา

“เราทำตามสิ่งที่กาเรธและจอร์แดนเคยสร้างเอาไว้ในเรื่อง ‘Godzilla’ and ‘Kong: Skull Island’ เพื่อพัฒนาและเจาะลึกโลกใบนี้มากขึ้นเท่าที่จะทำได้” ชีลด์สกล่าว “แต่ยังคงมีพื้นที่ในการสำรวจสัตว์ประหลาดโบราณและโมนาร์คมากขึ้นสมอ สำหรับแล้วเราได้สำรวจโลกปริศนาของโมนาร์คเป็นเหมือนความฝันที่เป็นจริง เหมือนได้เปิดประตูที่ล็อคเอาไว้ของ Area 51 เพื่อไปเจอกับสัตว์ประหลาดยักษ์หรือเหล่าไททันที่พวกเขารู้จักกันดีในโมนาร์ค มีใครบ้างที่ไม่อยากใต้ชุดนั้นปิดซ่อนอะไรเอาไว้บ้าง เวลาที่เราเข้าไปยังแล็บของพวกเขา และได้เห็นว่ามีการใช้เงินในโครงการนี้มากขนาดไหน มันทำให้เรารู้ว่าผู้มีอำนาจของโลกมีการสนใจอย่างลับๆ เรื่องการคุกคามครั้งนี้ขนาดไหน หมาป่าอยู่ตรงหน้าประตู ส่วนโมนาร์คอยู่ตรงเส้นกั้นบางๆ หลังจากนั้นก็มีเพียงก็อดซิลล่าเท่านั้น”

คุณอยากทำให้ก็อดซิลล่าเป็นสัตว์เลี้ยงของเรา

– วุฒิสมาชิกวิลเลียมส์

เปล่า เราต่างหากที่เป็นสัตว์เลี้ยง

– ดร.อิชิโร่ เซริซาวะ

สำหรับการทำให้สัตว์ประหลาดโบราณเผชิญหน้ากับมนุษย์ ดั๊กเฮอร์ตี้ได้รวบรวมทีมนักแสดงชื่อดังระดับโลกมาสวมบททีมนักวิทยาศาสตร์ กองทัพทหาร และเหล่าพลเรือนที่ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาด นำทีมโดยไคล์ แชนด์เลอร์, วีร่า ฟาร์ไมก้า และ มิลลี่ บ็อบบี้ ในบทมาร์ค เอ็มม่า และแมดิสัน รัสเซล สำหรับผู้กลับมารับบทเดิมที่แฟนๆ ชื่นชอบจากภาคแรก ได้แก่ เค็น วาตานาเบ้ในบทดร.อิชิโร่ เซริซาวะ แซลลี่ ฮอว์คินส์ในบทดร.วิเวียน กราแฮม และเดวิด สตราเธรนในบทนาวิกโยธินวิลเลียม สเตนซ์ และผู้มาร่วมทีมนักแสดงในฐานะของเจ้าหน้าที่ของโมนาร์ค ได้แก่ แบรดลีย์ วิตฟอร์ดและโธมัส มิดเดิลดิตช์ในบทดร.ริค สแตนตันและแซม โคลแมน รวมถึงจื่ออี้ จางในบทดร.ไอลีน เชน

กองกำลังที่มาควบคุมโมนาร์คซึ่งเรียกกันว่า จี-ทีม นำโดยไอชา ไฮด์สในบทนาวาเอกไดแอน ฟอสเตอร์; โอ’เชีย แจ็คสัน จูเนียร์ในบททหารสัญญาบัตรพิเศษบาร์นส; แอนโธนี่ รามอสในบทจ่าสิบตรีมาร์ติเนซ และ เอลิซาเบธ ลุดโลว์ในบทร้อยโทกริฟฟิน ชาร์ลส แดนซ์รับบทอลัน โจนาห์ ทหารรับจ้าง ซึ่งสร้างภัยคุกคามสู่วันสิ้นโลก

“สำหรับผู้ที่เชื่อว่าจะได้เห็นมังกรสีทอง 3 หัว 2 หางอยู่ในน้ำแข็งขั้วโลกใต้ เราต้องเชื่อในความรู้สึกของผู้คนที่เห็นภาพนั้นด้วย และทีมนักแสดงชุดนี้ต้องรับหน้าที่นั้น” ดั๊กเฮอร์ตี้ยืนยัน “ทุกคนสามารถถ่ายทอดจุดเด่น ความพิเศษ และความฉลาดออกมาได้ และพวกเขามาเรามาเจอกับเรื่องเหลือเชื่อที่รู้สึกสมจริงและมีความเป็นมนุษย์ได้ พวกเขาน่าทึ่งมากครับ ผมโชคดีมากที่มีพวกเขามาร่วมการผจญภัยครั้งนี้”

สำหรับการรับบทแสดงภาพยนตร์ครั้งแรก มิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ นักแสดงชื่อดังจาก “Stranger Things” รู้ดีว่านี่เป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ สู่การถ่ายทำอย่างมาราธอนที่ท้าทายร่างกายและอาศัยวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์อย่างหนักหน่วง “แต่ฉันยอมรับความท้าทายนั้นและชอบมันมากค่ะ”!” เธอกล่าว “ทุกอย่างที่เจอมีความน่าตื่นเต้นมาก ฉากแอ็คชั่นสนุกสุดๆ ทั้งที่ได้เห็นและได้แสดง ทุกอย่างมีความยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่ฉันเคยร่วมงานมา และไม่เคยคิดว่าจะได้ร่วมงานกับนักแสดงเหล่านี้เลยค่ะ ถ้าทุกคนคิดว่าฉันมาร่วมงานในเรื่องนี้โดยที่ไม่ใช่แฟน… ฉันนี่ละค่ะแฟนตัวยงเลย” เธอหัวเราะ

สำหรับไคล์ แชนด์เลอร์และวีร่า ฟาร์ไมก้าผู้มารับบทพ่อแม่ที่มีความบาดงหมางกันของบราวน์ ทั้งสามไม่ต้องใช้ความพยายามในการสร้างความผูกพันแบบครอบครัวขึ้นมา” เรามีช่วงเวลาที่ดีมากครับ” แชนด์เลอร์กล่าว “ในหนังทุกเรื่องผลลัพธ์สุดท้ายของหนังมีความสำคัญมาก แต่ในขั้นตอนการทำงาน ผู้คน และมิตรภาพคือสิ่งที่จะติดไปกับตัวรา เรามีทีมนักแสดงและทีมงานที่น่าทึ่งมากในเรื่องนี้ ผมไม่คิดว่ามีช่วงไหนที่เจออะไรไม่ดีในเรื่องนี้เลย”

“เป็นเรื่องง่ายมากที่จะสนิทกันและสัมผัสได้ถึงความรักที่ตัวละครมีต่อกัน” ฟาร์ไมก้ากล่าว “มิลลี่เป็นคนสนุกสนาน ร้องเพลงและเต้นตลอดเวลา เธอสอนการเต้นแบบ Fortnite ด้วยค่ะ”

“ฉันสอนเธอเรื่องเต้น ดูเท่มากเลยค่ะ” บราวน์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “และไคล์ก็เป็นคนที่น่าทึ่ง ฉันดู ‘Friday Night Lights’ ทุกตอนเลยเป็นแฟนมาตั้งแต่อายุ 11 ขวบ”

“สิ่งที่เราจะได้เห็นคือการกลับมาของสุดยอดสายพันธุ์ดึกดำบรรพ์ที่ถูกลืมไปแล้ว”

– แซม โคลแมน

โอ’เชีย แจ็คสัน จูเนียร์เองก็สนิทกับนักแสดง แต่ไม่ใช่กับเพื่อนนักแสดงที่เป็นมนุษย “ผมเป็นพวกเนิร์ดขั้นหนัก” เขาสารภาพ “ผมไม่มีอะไรที่น่ากลัวเมืองก็อดซิลล่าเลย เขาทั้งชอบบงการและทำลาย แต่เขาก็ให้การปกป้องด้วย พูดในฐานะแฟนตัวจรงคนหนึ่ง ผมเกลียดมนุษย์ที่ทำตัวเหมือนก็อดซิลล่าแต่ไม่รู้จักวิธีดูแลรักษามากเลย.. นี่จะเป็นหนังก็อดซิลล่าเรื่องแรกที่ผมใส่ใจเรื่องมนุษย์เป็นพิเศษ”

สำหรับทีมนักแสดงในจี-ทีมอย่างแอนโธนี่ รามอส ก็อดซิลล่าได้สร้างความตื่นเต้นในฉากที่เข้มข้น ช่วงที่ตัวละครของเขาต้องเผชิญหน้ากับราชันยักษ์ใหญ่ “พวกเราต่างกลัวตายและเขาก็หายไปจนรู้สึกว่า ‘โอ้ พระเจ้า เราไม่ตายแล้ว!’ จากนั้นก็ตูม! เขากลับมาทำให้เรากลัวอีกรอบ มันเหมือนเขาอยากทำให้เรารู้ว่าจัดการเราได้เหมือนเป็นแมลงเลยนะถ้าอยากอยากจะทำ” เขาหัวเราะ “ก็อดซิลล่านี่เจ๋งสุดๆ เลย”

แต่ก็อดซิลล่าเองก็ต้องเผชิญหน้ากับคู่ปรับตัวร้ายที่มีมาอย่างยาวนานของเขาด้วย การขยับหัวทั้ง 3 ที่สามารถพ่นสายฟ้าของกิโดร่า ซึ่งเป็นภัยอันใหญ่หลวง เป็นตัวละครหนึ่งที่มีความอันตรายและมีชื่อเสียงมากของ Toho แถมยังทำตัวน่ารังเกียจได้อย่างที่ใจต้องการอีกด้วย “กิโดร่าจะมี 3 หัว สร้างพายุขนาดยักษ์และทำลายล้างโลกได้” บราวน์กล่าว “ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวเพราะแต่ละหัวจะมีเอกลักษณ์และเสียงคำรามที่ต่างกันไป สำหรับผมแล้วกิโดร่าน่ากลัวที่สุดเลย”

ฝนแห่งความตายจากเบื้องบนคือการกล่าวถึงโรแดน สิ่งมีชีวิตที่มาจากหินลาวา มีท่าทางการเคลื่อนไหวที่ว่องไว มีพลังทำลายล้างสูงและผลิตพายุคลื่นลมที่โค่นถล่มเมืองได้ แต่เขาก็ไม่ได้น่ากลัวแบบนี้ตลอดเวลา “ในหนังภาคก่อนๆ เขาจะดูเสียเปรียบอยู่เสมอ” ดั๊กเฮอร์ตี้อธิบาย “แฟนๆ ก็อดซิลล่าจะรู้ดีและรักเขา ผมจะแสดงมุมที่อ่อนแอของเขาออกมาให้เห็นตลอด เพราะเขาดูค่อนข้างเกเร ผมคิดว่าเขามองว่าตัวเองอยู่เหนือสัตว์ประหลาดตัวอื่น ส่วนมอธร่าจะดูเป็นพวกเดียวกับมนุษย์”

ราชินีผู้มีปีก มีความละเอียดอ่อนและเมตตาที่มาพร้อมเรื่องราวที่น่าทึ่ง มอธร่าเป็นตัวละครโปรดของทั้งบราวน์และฟาร์ไมก้า ชีลด์สเล่าว่าแต่ถึงยังไงพวกเขาก็ไม่โดดเดี่ยวหรอก “ผมคิดว่ามอธร่าจะหาทางครองใจทุกคนได้ เธอเป็นแม่ทัพที่เราทุกคนต่างคิดถึง เธอคือต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตและจังหวะของธรรมชาติ”

เมื่อพูดถึงตัวละครโปรดของนักแสดงหลายคน แน่นอนว่าต้องเป็นก็อดซิลล่าเหมือนกับผู้กำกับฯ ของพวกเขา “ก็อดซิลล่าเป็นฮีโร่ของผมเลย เขาครองใจผมมานานหลายปีแล้ว” แจ็คสันยืนยัน “อย่างน้อยผมก็ยอมโดนกระแทกและมีแผลเพราะเขา”

ไคล์ แชนด์เลอร์เห็นด้วยว่า “ถ้าจะต้องมีเพียงตัวเดียว ก็ต้องเป็นตัวละครที่เก่าแก่อย่างก็อดซิลล่า เจ้าแห่งสัตว์ประหลาด!”

แม้ว่าตัวละครต่างๆ จะไม่เห็นหน้าตาในฉาก นักแสดงก็สัมผัสถึงลักษณะท่าทางของพวกเขาได้ ต้องขอบคุณการรวบรวมรายละเอียดของดั๊กเฮอร์ตี้ที่ทำให้พวกเขาจินตนาการภาพได้ว่า ในช่วงเวลานั้นบรรยากาศรอบตัวของพวกเขาจะเป็นอย่างไร มีหน้าตายังไง และมีความรู้สึกยังไง

สิ่งแรกคือการสร้างรายละเอียดภาพก่อนการแสดงขึ้นมา (หรือที่เรียกว่าพรีวิชวลไลเซชั่น เป็นภาพแอนิเมชั่นแบบคร่าวๆ ของฉาก) เขาจะแสดงให้เห็นก่อนถ่ายทำทุกฉาก ช่วยให้นักแสดงนึกภาพตามได้ว่ารอบตัวพวกเขาจะเป็นยังไง เขาต้องแสดงอยู่กับอะไรหรือกำลังวิ่งหนีอะไร มันอยู่ในระยะใกล้ขนาดไหน ต่อมาคือ “การสร้างเสียงคำราม” ขึ้นมาในฉาก ซึ่งเป็นการตัดต่อเสียงคำรามของสัตว์ประหลาดคลาสสิค มีเสียงดนตรีและซาวด์เอ็ฟเฟ็กต์ต่างๆ ซึ่งเขาต้องต่อเข้ากับลำโพงขนาดใหญ่ (ซึ่งเขาตัดต่อเสียง “The Behemoth” อย่างสนุกสนาน) แล้วนักแสดงก็จะสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของเพื่อนร่วมแสดงในช่วงเวลานั้นได้

เสียงคำรามที่ต้องมีความถูกต้องและพิถีพิถันของก็อดซิลล่าเหมือนเสียงดนตรีสำหรับหูของเค็น วาตานาเบ้ “ผมรู้สึกตื่นเต้นมากเวลาที่เขาส่งเสียงคำรามออกมา” เขากล่าว “มันมีความหนักแน่นเหมือนเสียงกรี๊ด แต่จะสัมผัสได้ถึงความเศร้าด้วยเช่นกัน เหมือนเขากำลังดูถูกในความโง่ของมนุษย์อย่างเรา”

องค์ประกอบที่ 3 คือผู้ช่วยผู้กำกับคนแรก คลิฟฟ์ แลนนิ่ง ที่สนุกกับการสื่อสารเรื่องจังหวะการแสดงในแบบที่ดั๊กเฮอร์ตี้ต้องการจากนักแสดง “เขาเหมือนกับผู้บรรยายของเราเลยค่ะ” ฟาร์ไมก้าอธิบาย “เขาทำให้เราเห็นฉากแอ็คชั่นและความรู้สึกต่างๆ ในฉากนั้น”

แชนด์เลอร์เป็นผู้ส่งต่อความรู้สึกของเขาออกมา “เอาล่ะ เอนไปทางซ้าย เอนไปทางซ้าย กิโดร่าอยู่ตรงนั้น! กิโดร่าอยู่ข้างบน ก็อดซิลล่าตัวใหญ่ขึ้นและเรารู้สึกกลัว!”

“เรื่องบลูสกรีนก็มีความท้าทายอยู่บ้าง” โธมัส มิดเดิลดิตช์เล่าต่อ “แต่ก็สนุกและเหมือนกับอยู่ในความฝัน มันเหมือนเราอยู่ในห้องนอนแบบตอนเด็กๆ นึกภาพว่าเรากำลังอยู่ในการผจญภัยสุดตื่นเต้นกับสัตว์ประหลาดอยู่”

โชคดีที่เขาอยู่ข้างเรา

– ดร.ริค สแตนตัน

สำหรับตอนนี้…

– ดร.ไอลีน เชน

สำหรับบรรยากาศนอกจอ การฟาดฟันระหว่างนักแสดงกับผู้สร้างภาพยนตร์เพื่อสร้างความสมจริงขึ้นมาก็ดุเดือดไม่แพ้กับในจอ…แม้ว่าจะไม่มีการเดิมพันเรื่องวันสิ้นโลกก็ตาม

“ในฉากมีบรรยากาศที่แกล้งกันรุนแรงมาก” บราวน์ยอมรับ “ไมเคิลเป็นคนจริงจังมากเวลาที่เขากำกับฯ แต่หลังจากนั้นเขาเป็นคนชอบแกล้งหนักมาก”

เริ่มจากหนูพลาสติกที่ดั๊กเฮอร์ตี้ใส่เอาไว้ในตู้เย็นบนรถเทรลเลอร์ของนักแสดงวัยรุ่น แล้วเธอก็เอาไปใส่ในกระเป๋าของฟาร์ไมก้า จากนั้นฟาร์ไมก้าก็เอาไปใส่ในรถเทรลเลอร์ของแชนด์เลอร์ “นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามชัดๆ” บราวน์กล่าว

“ไม่ใช่แค่วันเดียวที่ฉันปิดตู้เย็ฯแล้วเจอลูกบอลหลากสีหลายพันลูก หรือหนูหรืออะไรก็ตามโผล่เซอร์ไพรส์ออกมา” ฟาร์ไมก้าหัวเราะ “นี่น่าจะเป็นหนังที่ใหญ่สุดเท่าที่ฉันเคยร่มงานมา และก็มีความสนุกเพราะผู้คนที่ฉันได้ร่วมงานด้วย”

บรรยากาศเริ่มเข้มข้นขึ้นจนฟาร์ไมก้าเก็บทุกอย่างเอาไว้ในกางเกง… จกนระทั่งเธอเปิดประตูรถเทรลเลอร์และเจอกับตุ๊กตาผีขนาดเท่าเด็ก ซึ่งเป็นของขวัญจากผู้กำกับฯ ที่ทำให้เธอกลัวขึ้นสมอง บราวน์จำได้ว่า “สุนัขของเธอเห่าตุ๊กตาไม่หยุดเลย พอเธอเปิดประตูรถ มันก็หล่นลงมาและเธอถึงกับกรี๊ด! ผมถ่ายวีดีโอตอนนั้นไว้! มันแย่สุดๆ แต่ก็สนุกมาก”

“ในฉากมิลลี่เป็นคนที่อันตรายที่สุดแล้ว” แจ็คสันแซวเล่น

คนที่ทำให้ทุกอย่างรวมตัวกันได้คือแฟนพันธุ์แท้ผู้มาควบคุมโครงการนี้ “ไมค์คือคนสำคัญของผมเลยครับ” แจ็คสันกล่าว “ผมฉีดโฟมที่ปากให้เขาดู ส่งข้อความไปว่า ‘ดูเป็นไงบ้าง?’ เขาตอบว่า ‘เหมือนเป็นวันคริสต์มาสทุกวันเลย’”

รามอสได้เพิ่มความรู้สึกและความกระตือรือร้นเข้าในฉากที่ต้องรักษาตารางการถ่ายทำให้ทันเวลา “นี่เป็นผลงานของเขา การมีผู้กำกับฯ ที่รักอะไรสักอย่างมาก เราก็อยากช่วยเขาอย่างเต็มที่เพื่อให้ไปถึงฝันนั้น มันวิเศษมากที่ได้ร่วมงานกับคนที่มีความใส่ใจเรื่องความถูกต้องของผลงาน”

บราวน์ไม่เคยดูหนังก็อดซิลล่ามาก่อนเลยตอนที่ได้รับบทนี้ “แต่ฉันมีครูที่เก่งมาก ไมเคิลเป็นแฟนก็อดซิลล่าและเขารู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ประหลาด จากนั้นฉันได้ดูหนังและรู้สึกเซอร์ไพรส์มากที่ได้เห็นว่าพวกมันมีความยิ่งใหญ่ขนาดไหน ฉันนับถือในผลงานสุดทึ่งที่พวกเขาทำให้เราเชื่อเรื่องสัตว์ประหลาดพวกนี้”

“ผู้สร้างก็อดซิลล่าแบบดั้งเดิมได้พัฒนาสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ พร้อมทั้งเรื่องความงดงามและเทคนิคที่น่าตื่นเต้น แต่มีข้อจำกัดเรื่องเทคโนโลยีในยุคนั้น” ดั๊กเฮอร์ตี้กล่าว “ตอนเด็กที่ดูหนังก็อดซิลล่า เรามองไม่ออกหรอก เราเห็นแค่คอนเซ็ปต์และไอเดียของคนที่อยู่หลังชุดนั้น เห็นฉากขนาดใหญ่ถูกทำลายพัง ประเด็นสำคัญและอารมณ์ของหนังถูกถ่ายทอดออกมาให้เห็นตลอด เรากำลังดูเทพเจ้าสมัยดึกดำบรรพ์และสัตว์ประหลาดในตำนานต่อสู้กันเพื่อชิงการปกครอง นั่นคือสิ่งที่พยายามนำเสนอออกมาให้ดูสมจริง

“ตอนนี้ความทันสมัยด้านวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ทำให้เราสร้างผลงานได้ เราจะได้เห็นคอนเซ็ปต์เดิม ประเด็นสำคัญและความรู้สึกเดิมที่ถ่ายทอดออกมาในรูปแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน” ผู้กำกับฯ กล่าวต่อว่า “เราจะได้เห็นสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อย่างที่ควรจะเป็น และเข้าใจได้ว่าพวกเขาเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อน พวกเขาไม่มีบทพูดเหมือนตัวละครมนุษย์ แต่เราจะเข้าใจได้ว่าพวกเขามีความรู้สึกและมีความซับซ้อน ซึ่งมันก็สนุกและรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ทำอะไรแบบนั้น”

สิ่งที่ไม่เคยบอกคือดั๊กเฮอร์ตีไม่รู้สึกกดดันที่จะนำเสนอภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องโปรดที่มีอายุ 65 ปีสู่ศตวรรษที่ 21 เลย “เรากำลังคุยกันเรื่องหนังซีรีส์ที่มีอายุยาวนานหลายสิบปี ตัวละครที่ทั่วโลกรู้จัก ซึ่งผมเองก็รู้และหลงรักอย่างเต็มที่” เขากล่าว “มันเลยเป็นความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ มันมีความกดดันเรื่องการสร้างออกมาให้ถูกต้อง เพื่อตัวละครต่างๆ เพื่อผู้สร้างและแฟนๆ รวมถึงเด็กยุคใหม่ที่จะได้เจอพวกเขาเป็นครั้งแรกด้วย”


Godzilla II: King of the Monsters – ก็อดซิลล่า 2 ราชันแห่งมอนสเตอร์

เข้าฉาย 30 พฤษภาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/GodzillaMovieThailand