THE SHAPE OF WATER ผลงานภาพยนตร์จากนักเล่าเรื่องชั้นยอด กิลเลอร์โม เดล โตโร เป็นเรื่องราวเทพนิยายอันพิสดารอันมีฉากหลังเป็นอเมริกายุคสงครามเย็นช่วงปี 1962 ในห้องทดลองลับความปลอดภัยสูงของทางรัฐบาล เอไลซา (แซลลี ฮอวค์คินส์) ทำงานอยู่ที่นั่นและใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา แต่ชีวิตของเธอกลับพลิกผันไปโดยสิ้นเชิงเมื่อเธอและเพื่อนร่วมงาน เซลดา (อ็อกเทเวีย สเปนเซอร์) ได้ค้นพบการทดลองที่ถูกปิดเป็นความลับ นักแสดงรายอื่นๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้แก่ ไมเคิล แชนนอน, ริชาร์ด เจนคินส์, ดั๊ก โจนส์ และไมเคิล สตัลบาร์ก

Fox Searchlight Pictures ร่วมกับ TSG Entertainment ขอเสนอผลงานการสร้างของ Double Dare You เรื่อง THE SHAPE OF WATER กำกับโดย กิลเลอร์โม เดล โตโร จากบทภาพยนตร์โดย เดล โตโร และวาเนสซา เทย์เลอร์ เรื่องโดย กิลเลอร์โม เดล โตโร ผู้อำนวยการสร้าง ได้แก่ กิลเลอร์โม เดล โตโร, p.g.a. และเจ ไมล์ส เดล, p.g.a. ทีมงานเบื้องหลัง ได้แก่ ผู้กำกับภาพ แดน เลาสต์เซน, DFF, นักออกแบบงานสร้าง พอล เดนแฮม ออสเตอร์เบอร์รี, ผู้ตัดต่อ ซิดนีย์ โวลินสกี, ACE, ผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้าง เดเนียล เคราส์, ผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์ เดนนิส เบอราร์ดี, นักแต่งเพลง อเล็กซองดร์ เดส์ปลาต์, นักออกแบบเครื่องแต่งกาย ลูอิส เซเกียรา และคัดเลือกนักแสดงโดย โรบิน ดี คุก, CSA

“น้ำเปลี่ยนรูปทรงไปตามภาชนะที่ใส่ และถึงแม้ว่าน้ำอาจดูอ่อนโยน แต่มันก็เป็นพลังอันยิ่งใหญ่และยืดหยุ่นที่สุดในจักรวาล ความรักก็เช่นกันใช่ไหมล่ะครับ ไม่ว่าคุณจะใส่ความรักลงไปในรูปทรงใด มันก็จะกลายเป็นสิ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง หรือสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น”

–กิลเลอร์โม เดล โตโร กล่าวถึง THE SHAPE OF WATER

ในห้องทดลองลับของทางรัฐบาลระหว่างจุดสูงสุดของสงครามเย็น เรื่องราวจินตนาการอันงดงามน่าตื่นตาและท้าทายอารมณ์ได้ปะทุขึ้น นักเล่าเรื่องชั้นยอด กิลเลอร์โม เดล โตโร ร่ายเวทมนตร์อันประหลาดล้ำใน THE SHAPE OF WATER ด้วยการผสมผสานความสงสารเห็นใจและความสนุกตื่นเต้นตามแบบฉบับหนังสัตว์ประหลาดคลาสสิกเข้ากับความหม่นมืดแบบฟิล์มนัวร์ จากนั้นก็หยอดความเร่าร้อนของเรื่องราวความรักที่ไม่เหมือนใคร เพื่อสำรวจแฟนตาซีที่เราทุกคนต่างนึกฝัน ความลึกลับที่เราไม่อาจควบคุมได้ และความแปลกประหลาดผิดเพี้ยนที่เราต้องเผชิญ

เดล โตโร เปิดเรื่องด้วยฉากใต้น้ำลึก และนับจากนั้นหนังทั้งเรื่องก็กลายเป็นการดำดิ่งโดยไร้อากาศหายใจ ด้วยการพาผู้ชมไปสู่ยุคทศวรรษ 1960 ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งที่เราคุ้นเคยกันดี ไม่ว่าจะเป็นอำนาจ ความโกรธเกรี้ยว การไร้ขันติธรรม ไปจนถึงความเหงา ความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว และความผูกพันอันรุนแรงและฉับพลัน ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตสุดพิเศษที่เราไม่คุ้นเคย “ทรัพย์สิน” ทางชีววิทยาที่ไม่อาจอธิบายได้ของรัฐบาลสหรัฐ ภารโรงหญิงที่เป็นใบ้ เพื่อนรักของเธอ สายลับโซเวียต และการปล้นอันอุกอาจ ทั้งหมดล้วนรวมอยู่ในเรื่องราวโรแมนซ์อันมีเอกลักษณ์และก้าวข้ามขีดจำกัดทั้งมวล

สิ่งมีชีวิตครึ่งบกครึ่งน้ำอันเป็นปริศนานี้ไม่เพียงถูกดึงขึ้นมาจากห้วงน้ำลึกดำมืด แต่ดูเหมือนว่ามีคุณสมบัติพื้นฐานในการปรับตัวตามสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับน้ำ โดยรับเอาสภาพจิตใจของมนุษย์ทุกคนที่เขาได้พบ สะท้อนทั้งความก้าวร้าวและความรักอันไร้ที่สิ้นสุดกลับไป

ด้วยการเล่าเรื่องของเดล โตโร แนวคิดเรื่องความดีความชั่ว ความไร้เดียงสาและการคุกคาม เรื่องราวในอดีตและสิ่งอันเป็นนิรันดร์ ความงามและอสุรกาย ต่างประสานสอดคล้องเป็นเนื้อเดียวกัน ทั้งเผยให้เห็นว่าไม่มีความมืดใดที่อาจพิชิตแสงสว่างได้อย่างราบคาบ เดล

โตโร สรุปว่า “ผมชอบทำหนังที่ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ หนังที่บอกว่าคุณจะเป็นอะไรก็ได้ และดูเหมือนว่าในยุคนี้มันก็เป็นเรื่องที่ตรงประเด็นทีเดียว” นอกจากนี้การคัดเลือกนักแสดงที่ไม่ธรรมดาก็มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

เดล โตโร สนใจการสร้างบรรยากาศที่ทั้งหลอกหลอนและน่าหลงใหลไปพร้อมกันมานานแล้ว เขาเกิดในกัวดาลาฮารา ประเทศเม็กซิโก ในวัยเด็กเขาเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวลึกลับมากมายทั้งเรื่องผี หนังสัตว์ประหลาด และนิทานที่จุดประกายสร้างโลกแฟนตาซีสุดสร้างสรรค์ภายในตัวเขา เมื่อเขาเริ่มเขียนบทและกำกับหนัง อิทธิพลทั้งหมดนั้นก็ได้สอดประสานเข้าด้วยกันกลายเป็นงานภาพที่ถ่ายทอดอารมณ์จากภายในอันเป็นเอกลักษณ์คล้ายเจาะลึกเข้าไปในสภาวะจิตใจของมนุษย์โดยตรง

เดล โตโร มีชื่อเสียงจากหนังภาษาสเปนสามเรื่องที่นำขนบของหนังมาพลิกกลับและสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ อันได้แก่ หนังที่ชนะรางวัลออสการ์หลายรางวัล PAN’S LABYRINTH, CRONOS และ THE DEVIL’S BACKBONE แต่ละเรื่องเป็นภาพฝันอันแจ่มชัดที่เดินทางผ่านความเลวร้ายทางศีลธรรมและสถานการณ์อันตรายในโลกของการคดโกง อำนาจนิยม และสงคราม หนังแอ็คชั่นเหนือธรรมชาติของเขานั้นก็สร้างสรรค์ไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น BLADE II, หนังในซีรีส์ HELLBOY และ PACIFIC RIM รวมถึงหนังโกธิกโรมานซ์อย่าง CRIMSON PEAK

THE SHAPE OF WATER ดำเนินรอยตามแนวทางดังกล่าว แต่คราวนี้มาอยู่ในอเมริกายุคทศวรรษ 1960 ที่มีการแบ่งแยกทางสังคม สุ่มเสี่ยงต่อสงครามนิวเคลียร์ และเข้าใกล้การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมครั้งใหญ่ โดยเดล โตโร ได้นำเสนอภาวะปั่นป่วนของการตกหลุมรัก เมื่อหญิงสาวผู้เปล่าเปลี่ยวและมีอดีตอันบอบช้ำได้ค้นพบความรักอันทรงพลังที่ท้าทายความลังเลสงสัย ความหวาดกลัว และสภาพทางชีววิทยา

เดล โตโร ได้รวบรวมสุดยอดนักแสดงมาเล่นหนังเรื่องนี้ ทีมนักแสดงผู้มากความสามารถ ได้แก่ แซลลี ฮอว์คคินส์, ไมเคิล แชนนอน, ริชาร์ด เจนคินส์, ดั๊ก โจนส์, ไมเคิล สตัลบาร์ก และอ็อคเทเวีย สเปนเซอร์

การสำรวจแนวคิดเรื่องความรักและอุปสรรคของความรักทั้งภายในและภายนอกมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ เดล โตโร “ผมอยากสร้างเรื่องราวที่งดงามและสง่างามเกี่ยวกับความหวังและการไถ่ถอนความผิดเพื่อเยียวยาเราจากการมองโลกอย่างเย้ยหยันในยุคปัจจุบัน ผมอยากให้เรื่องนี้อยู่ในรูปของเทพนิยายซึ่งคุณจะได้เห็นมนุษย์ธรรมดาสามัญบังเอิญไปพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ยากหยั่งถึงยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในชีวิตของเธอ แล้วผมก็คิดว่าน่าจะดีถ้าเรานำความรักนั้นมาวางเทียบกับสิ่งที่เลวร้ายน่าเบื่อหน่ายอย่างความเกลียดชังระหว่างประเทศ ซึ่งก็คือสงครามเย็น และความเกลียดชังระหว่างผู้คนอันเกิดจากเชื้อชาติ สีผิว ความสามารถ และเพศ”

การที่หนังเรื่องนี้มีตัวละครนำที่ไม่พูดหรือไม่ได้สื่อสารตามแบบฉบับทั่วไปทั้งสองคนยิ่งช่วยขับเน้นเรื่องราวความรัก โดยตัดการสื่อสารที่ผิดพลาดซึ่งมักเป็นปัญหาระหว่างมนุษย์ออกไป “ความจริงข้อหนึ่งเกี่ยวกับความรักก็คือมันมีพลังอันยิ่งใหญ่ มันไม่จำเป็นต้องอาศัยถ้อยคำ” เดล โตโรกล่าว

เสน่ห์ของหนังสัตว์ประหลาด

ด้วยการผสมผสานหนังหลายแนวเข้าด้วยกัน ตั้งแต่หนังมิวสิคัลอันมีชีวิตชีวาไปจนถึงหนังฟิล์มนัวร์ชวนระทึก THE SHAPE OF WATER ได้พาเรากลับไปสำรวจและฟื้นเสน่ห์ของหนังสัตว์ประหลาดที่เล่นกับอารมณ์ดิบของเรา ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความรู้สึกถูกทอดทิ้ง และการสัมผัสถึงอันตราย รวมไปถึงความอยากรู้อยากเห็น ความเกรงขาม และความปรารถนา

เช่นเดียวกับหลายคน เดล โตโร เติบโตมากับมนตร์เสน่ห์อันหม่นมืดของสัตว์ประหลาดยุคคลาสสิกจาก Universal Studios ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หมาป่าผู้กลายร่างโดยไม่เต็มใจ แฟรงเคนสไตน์ผู้ไร้เดียงสาและถูกขับไล่โดยชาวบ้านผู้เกรี้ยวกราด แดรกคิวลาผู้เย้ายวนใจและมุ่งสนองความกระหายอันผิดบาปของตน และสัตว์ประหลาดจากบึงดำ สิ่งมีชีวิตครึ่งบกครึ่งน้ำยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่โผล่ออกมาจากทะเลเพื่อหาคู่

สัตว์ประหลาดเหล่านี้มีบางสิ่งที่ปลุกเร้าและเชื่อมโยงกับส่วนลึกของคนเราได้อย่างน่าแปลกใจ พวกเขาถูกรังแกโดยฝูงชนถือคราดเพียงเพราะแตกต่างจากคนอื่นและถูกบังคับให้ต้องหลบมุมอยู่ตามลำพังที่ชายขอบของสังคมในปราสาทอันห่างไกล ในป่า หรือในแม่น้ำ ทั้งหมดล้วนอยู่ในสภาวะเปลี่ยนผ่าน ครึ่งหนึ่งเป็นมนุษย์ อีกครึ่งหนึ่งเป็นอย่างอื่น ทุกคนที่รู้สึกถูกตัดขาดจากสังคมจะเข้าใจสภาวะแบบนี้ดี แต่ที่น่าทึ่งที่สุดคือพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งอ่อนไหวต่อสิ่งเร้าและไร้อำนาจที่จะต่อกรกับความต้องการอันไร้ที่สิ้นสุดของร่างกายและความคิดจิตใจของตนเอง

ในบรรดาสัตว์ประหลาดอันมีชื่อเสียงเหล่านั้น ตัวที่สร้างความซาบซึ้งสะเทือนใจมากที่สุดเห็นจะเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทปลาผสมสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่มีร่างคล้ายมนุษย์จาก CREATURE FROM THE BLACK LAGOON (1954) กำกับโดยแจ็ค อาร์โนลด์ นำแสดงโดยเบน แชพแมน (บนบก) และริคู บราวนิง (ใต้น้ำ) ในบทกิลล์แมนหรือมนุษย์ปลาผู้น่าเศร้าและเป็นสมาชิกตัวสุดท้ายของสายพันธุ์ยุคก่อน

ประวัติศาสตร์นี้ สัตว์ประหลาดที่อันตรายและเปล่าเปลี่ยว ถูกเกลียดชังและโหยหาความรัก ได้มอบทั้งความประทับใจและความกลัวให้แก่ผู้ชม

แนวคิดในการทำหนังเรื่อง THE SHAPE OF WATER เริ่มต้นขึ้นในปี 2011 เมื่อเช้าวันหนึ่ง เดล โตโรและเดเนียล เคราส์ ผู้ร่วมเขียนหนังสือเด็กเรื่อง Trollhunters กับผู้กำกับรายนี้ ได้นัดกินมื้อเช้าด้วยกัน เคราส์เอ่ยถึงแนวคิดสมัยเขาเป็นวัยรุ่น เกี่ยวกับภารโรงหญิงในอาคารของรัฐบาลที่แอบผูกมิตรกับคนครึ่งบกครึ่งน้ำที่ถูกจับไว้เป็นตัวอย่างในห้องทดลอง และเธอก็ตัดสินใจที่จะช่วยให้เขาเป็นอิสระ เดล โตโร ชอบแนวคิดนี้มากจนพูดออกมาทันทีว่าอยากนำมาทำเป็นหนังเรื่องต่อไป มันดูเป็นเรื่องราวแบบเทพนิยายซึ่งตรงกับที่เขาเสาะหามานาน จากการพบกันครั้งนั้น พวกเขาจึงได้ตกลงร่วมกันเขียนนวนิยาย และเดล โตโร จะเป็นผู้เขียนบทและกำกับหนัง ณ จุดนั้น เดล โตโร ยังคงทำหนังบล็อคบัสเตอร์เกี่ยวกับหุ่นยักษ์และสัตว์ประหลาดอย่าง PACIFIC RIM แต่เมื่อปลีกเวลามาอยู่ตามลำพังได้ เขาก็นำเอาอิทธิพลจากหนังสัตว์ประหลาดยุคคลาสสิกอย่าง THE CREATURE FROM THE BLACK LAGOON มาเขียนบทหนังซึ่งสะท้อนความสัมพันธ์อันลึกซึ้งและในที่สุดก็ได้ชื่อว่า THE SHAPE OF WATER

ในปี 2014 เดล โตโร ออกเงินทุนของตัวเองให้ศิลปินและประติมากรกลุ่มหนึ่งผลิตงานออกแบบและปั้นแบบจำลองเพื่อนำเสนอเรื่องราวจากต้นจนจบให้ค่าย Fox Searchlight ทางค่ายหนังตกลงร่วมงานทันทีอย่างไม่ลังเล

ในฤดูใบไม้ผลิต่อมา กิลเลอร์โมและ Fox Searchlight เริ่มค้นหามือเขียนบทที่จะมาเขียนบทภาพยนตร์ร่วมกับเขา สุดท้ายก็ได้ตกลงเลือก วาเนสซา เทย์เลอร์ ซึ่งมาทำงานร่วมกับกิลเลอร์โมอย่างใกล้ชิดทั้งในแง่โครงเรื่องและตัวละคร (โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวละครนำที่มีมิติซับซ้อนอย่างเอไลซา)

เดล โตโร ต้องการพลิกภาพของอสุรกายด้วยเรื่องราวความรักที่เปิดทางให้สัตว์ประหลาดเป็นตัวละครนำ ขณะที่กลุ่มมนุษย์ซึ่งต่อต้านเขากลายเป็นพลังดำมืดชั่วร้าย “ในหนังสัตว์ประหลาดยุค 50 ที่ชื่อ Strickland เจ้าหน้าที่รัฐบาลหน้าตาหล่อเหลาคมสันจะเป็นพระเอก ส่วนสัตว์ประหลาดก็เป็นตัวร้าย ผมต้องการพลิกขนบแบบนั้นครับ”

เดล โตโร ยังได้ตัดสินใจนำหนังสัตว์ประหลาดของเขาไปสู่อีกระดับหนึ่งด้วยการนำเสนอเรื่องความใคร่ เขาอยากให้ความปรารถนาทางกามารมณ์มาถ่วงดุลกับเรื่องราวแบบเทพนิยาย และนำเรื่องราวนี้ไปสู่ความเป็นจริงแบบผู้ใหญ่อย่างที่เราคุ้นเคยกัน

สำหรับผู้อำนวยการสร้าง เจ ไมล์ส เดล ซึ่งร่วมงานกับเดล โตโรมานานหลายปี เดล โตโร เป็นหนึ่งในผู้กำกับเพียงไม่กี่คนที่สามารถสร้างสัตว์ประหลาดซึ่งมีชีวิตจิตใจและแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์อย่างที่เราคุ้นเคย “กิลเลอร์โมสร้างสัตว์ประหลาดที่ไม่ถูกวิถีของโลก

มนุษย์มาทำให้แปดเปื้อน เราอาจมองว่าพวกมันเป็นเหมือนกระจกส่องให้เราเห็นภาพอุดมคติของตัวเอง” เดลกล่าว “หนังเรื่องนี้ไม่เหมือนอะไรก็ตามที่คุณเคยเห็นมาก่อน แต่ก็ยังให้ความรู้สึกว่าเป็นหนังของเดล โตโร เป็นน้ำเสียงของเขาอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็ยังแปลกใหม่และแตกต่าง”

สำหรับยุคสมัยในเรื่องนั้น เดล โตโร ตั้งใจเลือกยุคสมัยที่เกิดความหวาดกลัวไปทั่วสังคมอเมริกัน นั่นคือในปี 1962 เมื่อผู้คนกังวลกันอย่างหนักว่าจะเกิดสงครามนิวเคลียร์กับสหภาพโซเวียต ก่อนที่ความใฝ่ฝันถึงอุดมคติและโลกอนาคตในยุคประธานาธิบดีเคนเนดีจะถูกแทนที่ด้วยการเผชิญความเป็นจริงอันโหดร้าย ความหวั่นวิตกที่เพิ่มขึ้น และการลุกฮือทางสังคม “มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น” เดลกล่าว “มีสงครามเย็น การแข่งขันกันสำรวจอวกาศ และความเคลื่อนไหวด้านสิทธิพลเมือง ทั้งหมดนี้เป็นฉากหลังของเรื่องราวความรักที่คุณไม่เคยได้เห็นมาก่อน”

เดล โตโร มองว่ายุคนั้นมีความรุ่งเรืองปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ลืมคำนึงถึงความอยุติธรรมและความหวาดกลัวอันไร้สาระต่อความแตกต่างระหว่างมนุษย์ “สำหรับผมแล้ว ยุคนั้นเป็นยุคที่อเมริกาหยุดนิ่ง เป็นยุคของการเหยียดเชื้อชาติ ของความไม่เท่าเทียมกัน เป็นยุคที่ผู้คนพากันนึกถึงสงครามนิวเคลียร์ที่อาจเกิดขึ้น ในเวลาอีกไม่กี่เดือนประธานาธิบดีเคนเนดีจะถูกลอบสังหาร เพราะฉะนั้นในแง่หนึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายสำหรับความรัก” เขาให้ความเห็น “แต่ความรักก็เกิดขึ้นอยู่ดี”

ความก้าวหน้าล้ำยุคของอเมริกายุค 60 ช่วยขับเน้นความโดดเด่นของสิ่งมีชีวิตยุคดึกดำบรรพ์ จนชวนให้นึกถึงคำกล่าวของริลเคที่ว่า “สิ่งที่มาจากอดีตปรากฏขึ้นอีกครั้งราวกับมาจากอนาคต” เดล โตโร กล่าวว่า “สิ่งที่ผมสนใจก็คือปี 1962 เป็นยุคที่ทุกคนมองไปยังอนาคต ขณะที่สิ่งมีชีวิตนี้เป็นสิ่งมีชีวิตแบบโบราณจากอดีตอันไกลโพ้น ผู้คนลุ่มหลงกับสิ่งใหม่ๆ ทั้งเพลงโฆษณา ดวงจันทร์ เสื้อผ้าทันสมัย ทีวี แล้วในเวลานั้นกลับมีสิ่งมีชีวิตยุคโบราณ สัตว์ประหลาดผู้มีความรักได้มาปรากฏตัวท่ามกลางสิ่งเหล่านี้”

เสาะหานักแสดง

ทุกๆ บทบาทใน THE SHAPE OF WATER เขียนให้นักแสดงเฉพาะคน ซึ่งก็คือนักแสดงที่เดล โตโร ทาบทามให้มาเล่นหนังเรื่องนี้ “เขาปรับบทภาพยนตร์ให้เข้ากับน้ำเสียงของนักแสดง มากกว่าปรับนักแสดงให้เข้ากับบท” เจ ไมล์ส เดล ให้ความเห็น “ซึ่งเป็นวิธีการที่น่าตื่นเต้นครับ”

เดล โตโร ระบุว่า ไม่ว่าตัวละครในหนังเรื่องนี้จะมีสถานะทางสังคมเป็นอย่างไร ทุกคนต่างก็ต้องจัดการกับความรักในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน “มีความรักระหว่างเอไลซากับสัตว์ประหลาด แต่เจ้าหน้าที่รัฐบาล สตริคแลนด์ ก็พยายามมีความรักเช่นกัน แม้เราจะพบว่าความรักของเขานั้นโหดร้ายทารุณ จายล์ส เพื่อนบ้านของเอไลซา ก็มองหาความรักซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับกันในยุคนั้น ส่วนเซลดา เพื่อนสนิทของเอไลซา ก็ตกหลุมรักผู้ชายที่ไม่สมควรได้รับความรักจากเธอ แม้กระทั่งนายพลผู้ควบคุมดูแลห้องทดลองก็มีความรักแบบพ่อลูกกับสตริคแลนด์”

เมื่อนักแสดงได้รับการติดต่อ ทุกคนต่างตอบตกลง “หนังเรื่องนี้พิเศษมากค่ะ” แซลลี ฮอวค์คินส์กล่าว “การได้มีส่วนร่วมในหนังเรื่องนี้มีความหมายต่อฉันมาก เป็นเรื่องราวที่จะยังคงอยู่ในใจฉันตลอดไป”

ไมเคิล แชนนอนกล่าวว่า “ผมสนใจหนังเรื่องนี้เพราะมองว่ามันช่วยมอบความหวังที่อาจเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนอ่อนโยนต่อกันมากขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดหายไปในยุคปัจจุบัน เรื่องนี้บอกเราว่าการมีความรักเป็นสิ่งคุ้มค่าไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม บางครั้งความรักบังคับให้คุณต้องเผชิญความกลัวหรือเสียสละ แต่สุดท้ายแล้วมันก็คุ้มค่า”

สำหรับริชาร์ด เจนคินส์ หนังเรื่องนี้ไปไกลกว่าความคาดหวังที่ผู้ชมมีต่อเดล โตโรเสียอีก “กิลเลอร์โมมีวิธีการทำหนังที่ไม่เหมือนใคร แต่หนังเรื่องนี้ก็แตกต่างจากงานเรื่องก่อนๆ ที่เขาเคยทำมาด้วย” เขาระบุ

อ็อคเทเวีย สเปนเซอร์ รอรับการติดต่อจากเดล โตโรอยู่ “ฉันได้พบเขาก่อนอ่านบทและรู้สึกเหมือนรู้จักเขามาทั้งชีวิต” สเปนเซอร์เล่า “ในฐานะคนทำหนัง เขาเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ เขาเปลี่ยนประเด็นเรื่องมนุษย์ให้แปลกพิสดารออกไป”

ดั๊ก โจนส์ ผู้เคยทำงานกับเดล โตโรมาแล้วหกครั้งสรุปว่า “ใน THE SHAPE OF WATER กิลเลอร์โมย้อนกลับสู่รากเหง้าเดิมทางศิลปะและปล่อยให้ความคิดสร้างสรรค์ได้หลั่งไหลออกมาอย่างเต็มที่”

นักฝันผู้เปล่าเปลี่ยว

“สิ่งที่นำพาเอไลซาไปสู่ความลึกลับก็คือพลังแห่งความรัก”

–แซลลี ฮอว์คคินส์

การเดินทางของเอไลซาจากความเปล่าเปลี่ยวไร้พลังจนกลายเป็นวีรสตรีผู้กล้าเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญของ THE SHAPE OF WATER ทั้งหมดนี้พิเศษยิ่งขึ้นอีกเมื่อตัวละครนี้แทบไม่มีบทพูดเลย หลังจากเป็นใบ้เพราะความบอบช้ำทางจิตใจในวัยเด็ก เอไลซาสื่อสารโดยใช้ภาษามือแบบอเมริกัน (ASL) แต่เธอสามารถแสดงความรู้สึกได้อย่างพรั่งพรูเมื่อเธอพบสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดในน้ำที่ถูกเก็บไว้ในห้องทดลองของรัฐบาลที่เธอทำงานเป็นภารโรง

จิตใจอันกล้าหาญและเต็มเปี่ยมของเอไลซามีชีวิตขึ้นมาด้วยการแสดงอันเจิดจรัสของนักแสดงผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ แซลลี ฮอว์คคินส์ ผู้ขับเคลื่อนเรื่องราวไปข้างหน้าผ่านจุดหักเหต่างๆ “ผมส่งข้อความไปให้แซลลีเมื่อปี 2013 ว่ากำลังเขียนบทนี้ให้เธอ แล้วพอเราได้พบกัน เธอก็เล่าให้ผมฟังว่าเธอกำลังเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับผู้หญิงที่กลายเป็นปลา” เดล โตโรเล่า “เธอส่งเรื่องนั้นมาให้ผมและมันก็เต็มไปด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้ง”

ฮอว์คคินส์รับบทบาทอันมีเอกลักษณ์และพิเศษสุดมาแล้วหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นครูโรงเรียนผู้มองโลกในแง่ดีจาก HAPPY-GO-LUCKY ของไมค์ ลีห์ ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ ไปจนถึงบทบาทที่ทำให้เธอได้เข้าชิงรางวัลออสการ์จากการเล่นเป็นน้องสาวชนชั้นแรงงานของเคต บลานเช็ตต์ใน BLUE JASMINE ของวู้ดดี อัลเลน และล่าสุดในบทศิลปินโฟล์คที่มีชีวิตอยู่จริง ม็อด ลูอิส ใน MAUDIE

ฮอว์คคินส์รู้ทันทีว่าไม่เคยมีและจะไม่มีบทบาทเหมือนอย่างบทเอไลซาอีกแล้ว “น้อยครั้งมากที่คุณจะได้รับบทที่ขอให้คุณใส่ทุกอย่างที่คุณมี เป็นบทที่ต้องอาศัยการแสดงอารมณ์ที่บริสุทธิ์และถ้อยคำก็ไม่จำเป็น และคุณก็มีอิสระที่จะแสดงออกผ่านทางสายตา ลมหายใจ และร่างกาย นี่ล่ะค่ะบทเอไลซา”

ฮอว์คคินส์เป็นแรงบันดาลใจให้เดล โตโรขณะที่เขาเขียนเรื่องนี้ “เอไลซาไม่ได้ใช้ชีวิตที่เลวร้ายก่อนสิ่งมีชีวิตตัวนี้จะปรากฏตัวขึ้นมา เธอไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหราฟุ้งเฟ้อแต่เธอก็พอใจในสิ่งที่มีอยู่ ผมต้องการคนที่ถ่ายทอดความสุขแบบนั้น คนที่มีใบหน้าซึ่งสามารถถ่ายทอดอารมณ์ทั้งหมดได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด แซลลีมีพลังอันเป็นเอกลักษณ์แบบนั้น เพราะเหตุนี้ผมถึงเขียนบทนี้ให้เธอ แซลลีเป็นคนจริงใจไม่เสแสร้ง และผมคิดว่าเธอจะต้องรับบทที่ให้เธอได้ถ่ายทอดอารมณ์ที่แท้จริงออกมาเท่านั้น”

หลังจากอ่านบทจบรอบแรก ฮอว์คคินส์รู้สึกถึงพลังดึงดูดขั้นรุนแรงจนทำให้เธอรู้สึกกังวลอยู่บ้าง “มันน่าประทับใจมาก ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าแปลกใจแต่ก็ไม่เหมือนอะไรก็ตามที่ฉันเคยเจอมา ฉันรู้สึกว่าเอไลซาเป็นส่วนลึกในตัวฉันเหมือนกับว่าฉันเคยรู้จักเธอในอีกชีวิตหนึ่ง ฉันยังมองว่ามันเป็นสุดยอดเทพนิยายโรแมนติกด้วย ตอนแรกฉันคิดว่ากิลเลอร์โมเลือกผิดคนแล้ว” เธอยอมรับ “เพราะเป็นบทโรแมนติกที่ฉันไม่เคยคิดจะเล่น แต่สุดท้ายมันกลายเป็นของขวัญในฝันสำหรับฉันค่ะ”

ฮอว์คคินส์อาจมีความลังเลสงสัยที่ผลักดันให้เธอทำเกินความคาดหมายของตัวเอง แต่ทีมผู้สร้างไม่ได้ลังเลแต่อย่างใดเลย “สำหรับแซลลี สิ่งสำคัญอยู่ที่อารมณ์เบื้องหลังดวงตา” เดลกล่าว “กิลเลอร์โมรู้ว่าเขาต้องการนักแสดงที่มีสัญชาตญาณดีเยี่ยมเพื่อถ่ายทอดบทนี้ และแซลลีก็สามารถแสดงหลายสิ่งหลายอย่างออกมาผ่านสีหน้าท่าทางเพียงเล็กน้อย ด้วยท่วงท่าการเคลื่อนไหวหรือแม้กระทั่งด้วยลักษณะความเงียบของเธอ”

สำหรับฮอว์คคินส์ หนทางเดียวที่จะทำเช่นนั้นได้คือการดำดิ่งสู่ก้นบึ้งโดยปลดปล่อยอารมณ์ออกมาอย่างเต็มที่ เข้าไปสำรวจความกล้าหาญที่เพิ่งเติบโตในตัวเอไลซา รวมถึงโลกแฟนตาซีฟุ้งฝันที่จับต้องได้ขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ พร้อมด้วยผู้ร่วมทางที่ไม่คาดฝัน การทำงานกับเดล โตโรช่วยให้เธอปลดปล่อยได้เต็มที่และนำตัวเองดิ่งลึกลงไป “การรับบทเป็นเอไลซาเป็นการเดินทางที่น่าทึ่ง แต่กิลเลอร์โมก็ให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมและให้คุณค่ากับความคิดสร้างสรรค์ของเราด้วย ดังนั้นเขาจึงช่วยได้มาก” ฮอว์คคินส์อธิบาย “เขามีวิสัยทัศน์อันทรงพลังจนกระทั่งไม่ว่าคุณจะกลัวเรื่องอะไร เขาจะนำความกลัวนั้นออกไปและพูดว่า ‘เรื่องนั้นให้ผมกังวลแทนเถอะ’”

ความกลัวของเธอถูกขจัดไป แต่งานที่เธอทำก็ยังต้องอยู่ในมาตรฐานสูงสุดอยู่ดี “ถ้ากิลเลอร์โมไม่สามารถสัมผัสถึงจิตใจของคุณได้ เขาก็จะยังไม่พอใจ” ฮอว์คคินส์อธิบาย “เขาต้องการรู้สึกประทับใจในทุกๆ เฟรม แต่ฉันคิดว่านั่นกลับเป็นเรื่องดีสำหรับนักแสดง เขาเชิญให้คุณก้าวไปถึงระดับที่สูงมากในจินตนาการของเขา”

ฮอว์คคินส์ต้องฝึกฝนอย่างหนัก เธอเรียนภาษามือและเรียนเต้นรำก่อนที่จะเริ่มซ้อมการแสดงเป็นเวลานาน เธอเริ่มจับทางได้ว่าเอไลซาควรเคลื่อนไหวอย่างไร ควรมีท่วงท่าที่ล่องลอยแบบไหน “สำหรับฉันแล้วเธอดูล่องลอยตลอดเวลาเหมือนกำลังเต้นรำ ฉันก็เลยอยากนำเสนอความแปลกแตกต่างในลักษณะภายนอกของเธอ” เธอบรรยาย “ทุกสิ่งในตัวเอไลซามีความละเอียดอ่อน ฉันรู้สึกว่าแม้กระทั่งภาษามือที่เธอใช้ก็ยังละเอียดอ่อนลื่นไหลและดูสอดคล้องไปกับตัวตนของเธอด้วย”

เธอตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะต้องใช้ภาษามือได้อย่างคล่องแคล่ว “ฉันอยากเรียนให้มากพอสมควร เผื่อว่ากิลเลอร์โมต้องการลองไปทางอื่น เราจะได้ทดลองได้โดยอิสระและฉันก็จะได้เล่นออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ” เธออธิบาย

ภาษามือและท่วงท่าการเคลื่อนไหวเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่ฮอว์คคินส์กล่าวว่างานหินของบทนี้คือการค้นหา “เสียง” ของเอไลซาทั้งที่ไม่มีเสียงดังออกมาให้ผู้ชมได้ยิน เธอต้องหาวิธีการสื่อสารแบบดั้งเดิมที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อเอไลซาเป็นคนที่มีเรื่องให้พูดมากมาย

ฮอว์คคินส์เล่าว่า “ฉันต้องสำรวจความสัมพันธ์แบบต่างๆ ที่เธอมีต่อผู้คนซึ่งแตกต่างกันมาก ไม่ว่าจะเป็นจายล์ส เซลดา สตริคแลนด์ หรือสัตว์ประหลาด ซึ่งแต่ละคนก็มีลักษณะความสัมพันธ์แตกต่างกันไป…แต่จะต้องสำรวจโดยไม่เปล่งเสียงออกมา แล้วก็เข้าใจดีว่าจะต้องนำเสนออารมณ์นั้นอย่างบริสุทธิ์จริงใจ”

ความสมจริงทางอารมณ์ส่วนหนึ่งมาจากการสำรวจว่าเพราะเหตุใดเอไลซาจึงยอมเสี่ยงมากขนาดนี้เพื่อสิ่งมีชีวิตที่เธอไม่รู้อดีตและมีประสบการณ์ชีวิตอันลึกลับ รวมถึงการขุดค้นความกล้าหาญที่ถูกความรักปลดปล่อยออกมา ฮอว์คคินส์กล่าวว่า “เธอตัดสินใจแล้วว่าไม่มีอะไรจะมาขวางทางเธอได้ ทันทีที่เธอสัมผัสได้ถึงความผูกพัน การที่จะไม่ช่วยสิ่งมีชีวิตตัวนี้ก็คล้ายความตายสำหรับเธอ มันเข้าเกาะกุมจิตใจและเธอก็ไม่อาจขัดขืนได้ เธอรู้แค่ว่าต้องออกโรงจัดการเรื่องนี้ ฉันคิดว่าความรู้สึกนี้จะเข้าควบคุมคุณ เวลาที่คุณอยู่ในสภาวะแบบนั้น”

เอไลซาไปไกลเกินกว่าที่เธอนึกฝัน “ฉันคิดว่าเธอเองก็แปลกใจกับตัวเองเหมือนกันที่แข็งแกร่งได้ขนาดนี้” ฮอว์คคินส์ตั้งข้อสังเกต “เธอกลายเป็นคนอีกคนหนึ่งซึ่งเธอก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองเป็นแบบนั้น และเธอได้เห็นว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้บ้าง”

โลกของเอไลซาถูกสร้างขึ้นมาใหม่เมื่อเธอแอบเห็นสิ่งมีชีวิตตัวนี้ในตู้ขนส่งและรู้ทันทีว่ามีบางสิ่งที่มีชีวิตอยู่ภายในนั้น เรารู้รายละเอียดเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตตัวนี้ นอกจากเรื่องที่ว่าเขาน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์นี้ตัวสุดท้าย คนท้องถิ่นในอเมซอนเคารพบูชาเขา เขามีโครงสร้างปอดอันมีประสิทธิภาพที่ช่วยให้เขาหายใจได้เมื่ออยู่บนบกซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสำรวจอวกาศ กองทัพโซเวียตต้องการตัวเขาเช่นกัน และด้วยความไม่ไว้วางใจในสติปัญญาและร่างกายอันแปลกประหลาด คนที่จับตัวเขามาจึงเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อมนุษยชาติ

แต่เอไลซาไม่ได้มองเห็นสิ่งเหล่านี้เมื่อสายตาของเธอไปปะทะเข้ากับสิ่งมีชีวิตผู้เปล่งประกายงดงามที่ถูกล่ามโซ่เอาไว้ สำหรับเธอ เขาคือตัวแทนของความเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ซึ่งทำให้เขาควรค่าแก่การได้รับความสนใจจากเธอทันที

นักรบเลือดเย็น

ชายผู้ไล่ล่าสิ่งมีชีวิตครึ่งบกครึ่งน้ำที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าอเมซอนด้วยความตั้งใจแน่วแน่ไม่ลดละก็คือ ริชาร์ด สตริคแลนด์ เจ้าหน้าที่รัฐบาลผู้เด็ดเดี่ยว เด็ดขาด และทะเยอทะยาน ผู้มองว่าผลงานการล่าอันไม่ธรรมดาครั้งนี้ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสัตว์ร้ายที่ควรถูกปราบให้ราบคาบ และเป็นหนทางที่จะช่วยให้เขาได้เลื่อนตำแหน่ง

ผู้มารับบทนี้เป็นนักแสดงรายหนึ่งที่มีคนต้องการตัวมากที่สุดในยุคนี้ นั่นคือ นักแสดงผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์สองครั้ง ไมเคิล แชนนอน ผู้มีชื่อเสียงด้านการถ่ายทอดอารมณ์รุนแรงในบทบาทตัวละครที่มีจิตใจซับซ้อนจากหนังอย่าง TAKE SHELTER, NOCTURNAL ANIMALS, MIDNIGHT SPECIAL, REVOLUTIONARY ROAD และ 99 HOMES

“สตริคแลนด์ติดอยู่ในกรอบมุมมองของอุตสาหกรรมทางทหาร เขาพยายามไต่เต้าขึ้นไปสู่ตำแหน่งสูงๆ และความหวาดกลัวสงครามเย็นก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในตัวเขา” เดลกล่าว

เดล โตโร มองว่าแชนนอนมีความขัดแย้งกันในตัวเองอันน่าประทับใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการในบทสตริคแลนด์พอดี “ไมเคิลมีความแม่นยำเที่ยงตรงตามแบบฉบับนักแสดงอังกฤษ ในขณะเดียวกันก็มีความหุนหันพลันแล่นและฉับพลันทันด่วนตามแบบนักแสดงอเมริกัน” ผู้กำกับรายนี้ตั้งข้อสังเกต “เขาสามารถใส่ความเป็นมนุษย์ลงไปในตัวร้ายที่ชั่วร้ายที่สุดด้วย ผมไม่ต้องการให้สตริคแลนด์เป็นแค่ตัวร้ายธรรมดา ผมอยากให้เขาเป็นคนแบบที่คุณแทบจะเอาใจช่วยเพราะตัวเขาเองก็ตกเป็นเหยื่อของระบบและยุคสมัย ผมอยากให้เขาต้องเผชิญสิ่งที่โดยปกติแล้วคุณไม่เห็นว่าตัวร้ายต้องเผชิญ ทั้งความลังเลสงสัยในตัวเอง การทบทวนไตร่ตรอง และความรู้สึกสิ้นหวัง ในหนังเรื่องนี้มีช่วงเวลาให้ไมเคิลได้แสดงสิ่งเหล่านั้นออกมา”

แม้ว่าสตริคแลนด์จะมีบุคลิกดำมืด แต่เดล โตโรก็รู้สึกผูกพันกับตัวละครนี้เพราะเข้าใจดีว่าการต้องอยู่ในโลกที่เข้มงวดนั้นเป็นอย่างไร “สตริคแลนด์เป็นตัวละครที่น่าเศร้ามากสำหรับผม เขาเริ่มต้นจากความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมในประเทศของตนและเชื่อมั่นในการทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่แล้วเขาก็ได้ตระหนักว่าคนอื่นเกลียดชังและทอดทิ้งเขาด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย ผมคิดว่าส่วนนี้เป็นเหมือนอัตชีวประวัติของตัวผมเองเพราะธุรกิจภาพยนตร์ก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันครับ” เขายอมรับ “ผมเคยอยู่อีกฟากหนึ่งของบทสนทนาที่สตริคแลนด์คุยกับท่านนายพลมาแล้ว”

สิ่งดึงดูดแชนนอนคือโอกาสที่จะได้เดินทางเข้าไปในโลกอันละเอียดอ่อนของเดล โตโร “ตอนที่ผมพบกิลเลอร์โม เขาบอกว่าหนังเรื่องนี้คือโครงการในฝันของเขา และผมคิดว่าคงโง่มากเลยถ้าปล่อยโอกาสที่จะได้ร่วมโครงการในฝันของเขาให้ผ่านเลยไป เพราะเขามีฝันที่ยิ่งใหญ่จริงๆ” เขาอธิบาย

แชนนอนขยายตัวละครสตริคแลนด์ให้ไกลกว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลผู้หนักแน่นมั่นคงตามแบบฉบับในยุค 60 “ผมคิดว่าสตริคแลนด์อยากเป็นคนที่เข้มแข็ง ปราศจากความอ่อนแอ และไร้ข้อผิดพลาด มีความกล้าหาญพร้อมลุยตามแบบอเมริกัน แต่การทำแบบนั้นก็ทำให้เขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ การรักษาเปลือกแข็งภายนอกไว้นั้นต้องอาศัยพลังสูงมาก และภายใต้เปลือกนั้นก็คือความกระวนกระวาย ความลังเลสงสัย ความเครียด และความกลัว ซึ่งสุดท้ายแล้วปรากฏให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง”

ความเครียดที่สตริคแลนด์สะสมไว้นั้นได้ปลดปล่อยออกมาผ่านการแทะโลมเอไลซา ซึ่งเขามองว่าเป็นแค่คนชั้นล่าง “ผมคิดว่าสตริคแลนด์สนใจเอไลซาไม่เพียงเพราะเธอเปราะบางและพูดไม่ได้ แต่เพราะว่าเธอตรงกันข้ามกับเขาโดยสิ้นเชิงด้วย ในโลกความเป็นจริงอีกแบบหนึ่ง สตริคแลนด์อาจหวังให้ตัวเองเป็นเหมือนเธอมากกว่าเป็นอย่างที่ตัวเองเป็นอยู่” แชนนอนกล่าว

การทำงานกับฮอว์คคินส์นั้นมีชีวิตชีวาตั้งแต่เริ่มต้น ต่างคนต่างถ่ายทอดตัวละครของตนได้อย่างแจ่มชัดจนกระทั่งความตึงเครียดระหว่างบุคลิกอันล่องลอยของเอไลซากับความน่าสะพรึงกลัวของสตริคแลนด์มาเชือดเฉือนกันอย่างรุนแรง “ผมติดตามผลงานของแซลลีมาตั้งแต่ได้ดูเธอใน HAPPY GO LUCKY เธอทำให้ผมทึ่งไปเลย เพราะฉะนั้นผมจึงยินดีอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับเธอ” เขากล่าว “การรับบทบาทโดยไม่มีบทพูดเลยนั้นท้าทายมาก แต่การที่เธอสื่อสารได้ลึกซึ้งขนาดนั้นนับเป็นเรื่องน่าทึ่งครับ”

ฮอว์คคินส์มองว่าความขัดแย้งแบบหยินหยางระหว่างตัวละครทั้งสองก็ช่วยเพิ่มพลังสร้างสรรค์เช่นกัน “เอไลซาสามารถมองทะลุเข้าไปในตัวสตริคแลนด์ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นคนอย่างไร และการได้เล่นส่วนนั้นก็น่าตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะไมเคิลน่ากลัวจริงๆ ค่ะ” เธอกล่าว “เขาเหมือนหม้อความดันที่ระเบิดออกมา แต่เอไลซาก็ยังสงบนิ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขาซึ่งก็ทำให้บทของเธอมีพลังมาก”

สำหรับสัตว์ประหลาด สตริคแลนด์เป็นภัยคุกคามการดำรงอยู่ของเขา “สตริคแลนด์มองตัวละครของผมว่าเป็นตัวประหลาด และเนื่องจากเขาไม่เข้าใจผมหรือไม่แม้กระทั่งพยายามเข้าใจ เขาจึงเพลิดเพลินเมื่อได้เห็นผมทรมาน” โจนส์กล่าว “เขาเป็นพวกชอบรังแกคนขนานแท้ พอเจออะไรที่ตัวเองไม่เข้าใจก็จะข่มขู่กลั่นแกล้ง ความแตกต่างที่น่าสนใจก็คือไมเคิลเป็นคนที่ร่าเริงมากในความเป็นจริง แต่เมื่ออยู่ในหนัง เขากลับเข้าถึงความมืดมิดในจิตใจอย่างที่ไม่มีนักแสดงคนใดทำได้ เขาตึงเครียดจริงจังมากจนผมไม่แน่ใจว่าเคยเห็นเขากะพริบตาหรือเปล่าด้วยซ้ำ!”

แชนนอนกล่าวถึงมุมมองที่สตริคแลนด์มีต่อสิ่งมีชีวิตตัวนี้ว่า “สตริคแลนด์ดูแลการจับตัวมันมาและหวังว่ามันช่วยจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้เกิดขึ้น ผมคิดว่าสิ่งมีชีวิตตัวนี้ช่วยให้เขารู้สึกประสบความสำเร็จ แต่เขาก็ใช้มันเป็นทางระบายความรู้สึกขื่นขมที่อัดอั้นไว้ข้างในด้วย”

เหนือสิ่งอื่นใด แชนนอนสนุกที่ได้สร้างสรรค์งานร่วมกับเดล โตโร “กิลเลอร์โมช่วยนำคุณไปสู่กระบวนการสร้างสรรค์ และผมก็ชอบที่เขาไม่เคยหยุดทำงานเลย เวลาที่เขาไม่ได้ถ่ายทำ เขาก็ตัดต่ออยู่หน้าจอมอนิเตอร์ หรือไม่ก็ฟัง หรือไม่ก็คิด ทุกอะตอมในตัวเขาคอยไล่ล่าหาโอกาสอยู่ตลอดเวลา เพราะเขาไม่อยากละเลยสิ่งไหนเลย ซึ่งเหมาะกับผมมากเพราะผมก็รู้สึกอย่างเดียวกัน”

คนที่ทำงานร่วมกับสตริคแลนด์อย่างใกล้ชิดคือเดวิด ฮิวเล็ตต์ (RISE OF THE PLANET OF THE APES) ในบทเฟลมมิง หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของห้องทดลองซึ่งไม่ได้ตั้งใจปล่อยให้สถานการณ์ควบคุมไม่อยู่ ดังที่ฮิวเล็ตต์บรรยายว่า “เฟลมมิงเป็นส่วนสำคัญในโลกอันอัปลักษณ์ขององค์กรรัฐบาลที่สิ่งมีชีวิตอันงดงามนี้ถูกผลักไสเข้าไป ผมคิดว่าเฟลมมิงค่อนข้างอ่อนแอเพราะเขานิ่งเงียบทั้งที่เห็นเรื่องผิดๆ เกิดขึ้นรอบตัว เขาคิดว่าตัวเองคุมเกมนี้อยู่แต่ที่จริงแล้วเขาไม่ได้มีอำนาจควบคุมอะไรเลย”

ฮิวเล็ตต์ชอบความผูกพันใกล้ชิดในหมู่นักแสดงเป็นพิเศษ “อ็อคเทเวียมีความกระตือรือร้นสูงมาก ส่วนผมก็เป็นคนหน้าโง่ในสายตาตัวละครของเธอ แต่เธอตลกมากในทุกฉาก ผมก็เลยต้องพยายามกลั้นยิ้มเอาไว้” เขาให้ความเห็น “แซลลีนั้นอยู่อีกระนาบหนึ่ง ผมแทบจะเจ็บปวดเวลาได้เห็นเธอ ส่วนแชนนอนนั้นสามารถทำให้แทบทุกช่วงเวลาที่เขาอยู่บนจอนั้นน่าหลงใหลและน่าสะพรึงกลัว”

พันธมิตรของเอไลซา

เมื่อเดล โตโร รู้ว่าตัวเองกำลังเขียนเรื่องรัก บรรดาตัวละครก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เอไลซาและเพื่อนแท้สองคน จายล์สและเซลดา สัมพันธ์เกี่ยวโยงกันตลอดเวลาในความคิดของเขา “ตัวละครทั้งสามรวมกันเป็นตัวละครเดียวในความคิดของผม ราวกับว่าพวกเขาเป็นส่วนต่างๆ ของสมองเดียวกัน ทั้งสามคนเป็นคนชายขอบและไม่มีตัวตนด้วยเหตุผลต่างๆ กันไป คนหนึ่งเพราะเรื่องเชื้อชาติ คนหนึ่งเพราะรสนิยมทางเพศ อีกคนหนึ่งเพราะความพิการ แล้วพวกเขาก็มารวมตัวและรวมพลังเข้าด้วยกัน ทางห้องทดลองนึกว่ากำลังต่อสู้กับสายลับโซเวียตผู้เก่งกาจ แต่ผมชอบตรงที่แท้จริงแล้วพวกเขากำลังต่อสู้กับภารโรงหญิงสองคนและศิลปินเกย์”

ก่อนเอไลซาจะได้พบกับสัตว์ประหลาด เธอเยียวยาความเหงาด้วยการอยู่กับเพื่อนบ้านและเพื่อนสนิทที่สุดของเธอ จายล์ส นักโฆษณาผู้หงอยเหงาอับโชคและเป็นแฟนหนังมิวสิคัลตัวยง ตัวละครนี้บ่มเพาะความเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ดังที่ได้รับการถ่ายทอดโดยนักแสดงผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ ริชาร์ด เจนคินส์ (THE VISITOR, LET ME IN, OLIVE KITTERIDGE) ผู้กล่าวว่าเขากระโดดเข้าหาโอกาสที่จะเป็นส่วนหนึ่งใน “เรื่องราวอันสุดแสนจะงดงาม”

เจนคินส์ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับเดล โตโรเป็นครั้งแรก “สำหรับผมแล้วเขาเป็นเหมือนศิลปินรุ่นเก่าที่มีศัพท์แสงเฉพาะของตัวเอง แล้วเขาก็ไม่เหมือนใครๆ ที่ผมเคยทำงานด้วย” นักแสดงรายนี้อธิบาย “เขาสร้างสรรค์เรื่องราวที่จริงแท้ ขณะเดียวกันก็มีสิ่งอื่นดำเนินไปพร้อมกัน สิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ศิลปะ และความรัก เขามีความพิเศษเฉพาะตัวและด้วยเหตุนี้เราทุกคนในกองถ่ายจึงพร้อมลุยเต็มที่เพื่อเขา”

เดล โตโร รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างในตัวเจนคินส์มากกว่าที่เคยเห็นกันมาในหนัง “ผมรู้สึกว่าเขาไม่ใช่แค่นักแสดงขายฝีมือในบทรองแต่ยังสามารถเป็นนักแสดงนำได้ดีด้วย สำหรับจายล์ส ผมต้องการคนที่มีความสง่างาม คนที่อยู่ร่วมกับเอไลซาโดยพึ่งพาอาศัยกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ พวกเขาไม่ใช่คนรัก แต่พวกเขารักและปกป้องกันและกันอย่างลึกซึ้ง พวกเขาเป็นคนคู่หนึ่งที่รู้ว่าสามารถเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันได้บนโลกใบนี้” ผู้กำกับอธิบาย

สำหรับเกย์ในยุคสมัยที่ไม่ได้รับการยอมรับช่วงทศวรรษ 1960 จายล์สไม่ค่อยมีที่ทางให้แสดงอารมณ์ภายในออกมา ส่วนนี้เองที่เป็นกุญแจสำคัญในการถ่ายทอดบทบาทของตัวละครที่เก็บความไม่พอใจต่อยุคสมัยเอาไว้เงียบๆ “ผมบอกริชาร์ดว่าผมอยากให้จายล์สเป็นคนที่ทั้งแอบซ่อนและต่อต้าน เป็นคนเข้มแข็งในสถานะที่อ่อนแอ” เดล โตโรกล่าว “และเขาก็แสดงเป็นตัวละครได้อย่างสมจริง เหมือนมีตัวตนอยู่ตรงนั้นจริงๆ เป็นการถ่ายทอดบทบาทจากเบื้องลึกภายในออกมา”

เมื่อจายล์สหงุดหงิดที่อาชีพด้านศิลปะดูจะไม่ก้าวหน้าไปไหน เขาจึงหลบหนีไปสู่ยุคทองของหนังมิวสิคัล ยุคสมัยที่ค่อยๆ จางหายไปในช่วงปี 1962 แต่จายล์สก็ยังไล่ล่าสิ่งที่หลงเหลืออยู่จากยุคนั้นผ่านทางโทรทัศน์ โดยมีเอไลซาพ่วงติดไปด้วย “ผมคิดว่าจายล์สชอบแนวคิดเรื่องโลกแฟนตาซีอันสมบูรณ์แบบ” เจนคินส์ตั้งข้อสังเกต “เขาไม่ได้วาดภาพในฐานะศิลปินอีกต่อไปและตอนนี้เขาก็วาดภาพเพียงเพื่อประทังชีวิต ดังนั้นเขาจึงใช้ชีวิตอยู่ในโลกของหนังมิวสิคัล ด้วยเหตุนี้การเดินทางของเอไลซาจึงกลายเป็นการเดินทางเพื่อหาทางรอดของตัวเขาเองเช่นกัน”

ที่จริงแล้วเมื่อจายล์สได้พบสิ่งมีชีวิตตัวนี้ พลังสร้างสรรค์ที่เคยมอดไหม้ไปแล้วก็กลับจุดติดขึ้นมาอีกครั้ง “สิ่งมีชีวิตตัวนี้ส่งผลต่อทุกคนที่เขาติดต่อสัมพันธ์ด้วย” เจนคินส์กล่าว “สำหรับจายล์ส ความรักในศิลปะได้ถูกจุดประกายขึ้นมาเพราะเขาย่อมอยากวาดภาพสิ่งมีชีวิตอันลึกลับน่าทึ่งนี้”

เจนคินส์ชื่นชอบการทำงานกับฮอว์คคินส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะทั้งสองมีรูปแบบการสื่อสารอันเป็นเอกลักษณ์ระหว่างผู้ชายที่อยากคุยกับใครสักคนและหญิงใบ้ เขากล่าวถึงฮอว์คคินส์ว่า “หนังเรื่องนี้เป็นของเธอ ผมนึกไม่ออกว่าจะมีใครอื่นมารับบทนี้ได้ แล้วผมก็คิดว่าเธอไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองเก่งแค่ไหน”

ฮอว์คคินส์รู้สึกถูกดึงดูดเข้าหาเจนคินส์เช่นเดียวกัน “ฉันอยากทำงานกับเขามาตลอด” เธอกล่าว “ฉันพบว่าเขาทั้งฉลาดและมีอิสรเสรี สำหรับริชาร์ด ทุกๆ เทคต่างออกไปเสมอ แต่มันก็ออกมายอดเยี่ยมทุกครั้ง เขาดึงเอาความเปราะบางในตัวจายล์สออกมา การที่เขาตั้งใจเจาะลงสู่เบื้องลึกของตัวละครนับเป็นสิ่งที่ฉันชอบมากเลยค่ะ”

อีกคนหนึ่งที่เอไลซาไว้ใจก็คือเพื่อนร่วมงาน เซลดา ภารโรงหญิงรุ่นเก่าของห้องทดลองที่ไม่เพียงเข้าใจภาษาของเอไลซาแต่ยังพูดจาซุบซิบ แลกเปลี่ยนความเห็น และร่วมมือร่วมใจกับเธอด้วย นักแสดงที่มารับบทผู้สมรู้ร่วมคิดในแผนการของเอไลซาก็คืออ็อคเทเวีย สเปนเซอร์ ผู้ชนะรางวัลออสการ์จากบทสมทบใน THE HELP และล่าสุดได้เข้าชิงรางวัลจากบทนักคณิตศาสตร์ของ NASA ที่มีชีวิตอยู่จริง โดโรธี วอห์นใน HIDDEN FIGURES

สายตาของสเปนเซอร์เป็นสิ่งที่เดล โตโรนึกอยู่ในใจตอนเขียนบทให้เธอ “สำหรับผมการคัดเลือกนักแสดงมีส่วนสำคัญอยู่ที่ดวงตาเพราะ 50 เปอร์เซ็นต์ของการแสดงคือการฟังและการมอง ตัวละครแต่ละตัวในหนังมีวิธีการมองในแบบของตัวเองและผมรู้สึกว่าผมต้องการดวงตาของอ็อคเทเวีย” เขาอธิบาย “เธอมีสายตาที่ทรงพลัง เธอมีความเป็นมนุษย์เต็มเปี่ยมและแสดงส่วนที่ดีที่สุดของการเป็นมนุษย์ออกมาผ่านความกล้าหาญ ความเข้มแข็ง และความฉลาดของเธอ เมื่ออ็อคเทเวียมองคุณ คุณจะรู้สึกเหมือนได้รับการยกโทษในบาปทั้งหมดที่ทำมา”

เมื่อเธออ่านบท ตัวละครเซลดาก็ดึงดูดจินตนาการของสเปนเซอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้หญิงที่ไมค่อยมีอำนาจ บทบาท หรือได้รับการยอมรับในเวลานั้น แต่กลับพิสูจน์ให้เห็นว่ามีความกล้าหาญที่เธอไม่เคยสำรวจมาก่อน “ความงดงามส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ก็คือมันเกี่ยวกับคนที่เหมือนไม่มีตัวตนและการลงมือช่วยเหลือ แม้ว่าอยู่ท่ามกลางแผนการที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล สายลับ นักวิทยาศาสตร์ และสัตว์ประหลาด แต่ฉันว่าน่าสนใจมากที่ภารโรงเป็นส่วนสำคัญของเรื่อง” สเปนเซอร์ชี้

สเปนเซอร์พุ่งความสนใจไปยังความเข้มแข็งของเซลดาซึ่งถูกทดสอบระหว่างเกิดเหตุการณ์ในเรื่อง “เซลดาเชื่อมั่นในความคิดของตนเองและไม่มีปัญหาในการแสดงความเป็นตัวเองออกมา” สเปนเซอร์กล่าว “ฉันบอกได้ว่าเอไลซาเป็นหัวใจของหนัง ขณะที่เซลดาเป็นเหมือนกล้ามเนื้อ อย่างน้อยก็ในโลกของคนทำความสะอาดกลุ่มนี้”

เซลดาและเอไลซาต่างพึ่งพาอาศัยกันโดยต่างคนต่างก็นำจุดแข็งมาช่วยสนองความจำเป็นของอีกฝ่าย “ตัวละครของฉันพูดตลอดเวลาขณะที่เอไลซาใช้ความเงียบ พวกเรารวมกันเป็นทีมที่แข็งแกร่ง และด้วยการแสดงกับแซลลี ทั้งหมดจึงเกิดขึ้นได้อย่างราบรื่นมากๆ” สเปนเซอร์กล่าว

ฮอว์คคินส์และสเปนเซอร์มีมิตรภาพนอกจอซึ่งถ่ายทอดออกมาเป็นความผูกพันที่ไม่ต้องพูดออกมาระหว่างเอไลซากับเซลดา “อ็อคเทเวียเป็นเพื่อนที่น่ารักดังนั้นการแสดงร่วมกับเธอก็เลยให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติและลงตัว” ฮอว์คคินส์กล่าว “อ็อคเทเวียฉลาดและตลกมากๆ ฉันชอบที่เธอไม่ปล่อยให้เซลดาเป็นตัวละครซ้ำซากแบบเดิมๆ ความกล้าหาญอันน่าทึ่งของเธอปรากฏออกมาเมื่อคุณเห็นเซลดาผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง”

สำหรับการได้พบสิ่งมีชีวิตตัวนี้เป็นครั้งแรก สเปนเซอร์ตั้งใจหลีกเลี่ยงแม้กระทั่งการดูภาพร่างช่วงแรกๆ เธอต้องการให้ปฏิกริยาตอบสนองของตัวเองนั้นเป็นธรรมชาติ “กิลเลอร์โมกระตือรือร้นอยากให้เราดูภาพร่างทั้งหมด แต่ฉันไม่อยากเห็นอะไรทั้งสิ้นจนกว่าตัวละครของฉันจะได้เห็น ฉันอยากได้สัมผัสประสบการณ์ในช่วงเวลานั้นจริงๆ” เธออธิบาย “แล้วพอฉันได้เห็นก็เหมือนกับ…ว้าว มีทั้งเหงือกและเกล็ด ทุกอย่างดูสมจริงน่าเหลือเชื่อค่ะ”

สิ่งมีชีวิตนั้นทำให้เซลดากลัวและรักษาระยะห่างออกมา แม้ว่าเขาจะดึงดูดเอไลซาก็ตาม “ฉันคิดว่าคนส่วนใหญ่กลัวสิ่งที่ตัวเองไม่รู้จัก” สเปนเซอร์ให้ความเห็น “และเซลดาก็อยากรักษาตำแหน่งงานของตัวเองเอาไว้ เธอรู้ว่าพนักงานทำความสะอาดไม่ควรไปสนใจความลับในองค์กร ดังนั้นเธอจึงพยายามไม่สนใจสิ่งมีชีวิตตัวนี้ โดยมองว่าเขาเป็นตัวอะไรสักอย่างมากกว่าเป็นคน จนกระทั่งเธอได้รู้ว่าเพื่อนของเธอตกหลุมรัก สถานการณ์ทั้งหมดจึงเปลี่ยนแปลงไป”

ตัวละครตัวที่สามมีบทบาทไม่ชัดเจนนักในชีวิตของเอไลซา ดร. โรเบิร์ต ฮอฟฟ์สเตทเลอร์ นักชีววิทยาทางทะเลที่รับหน้าที่ศึกษาโครงสร้างปอดอันมีลักษณะพิเศษของสิ่งมีชีวิตตัวนี้ เขาได้รู้ว่าเอไลซาแอบมีสายสัมพันธ์กับผู้ถูกคุมขังระดับลับสุดยอดของห้องทดลองแห่งนี้และตีความเจตนาของเธอผิดไป

ผู้มารับบทนักวิทยาศาสตร์ที่ต้องเลือกระหว่างภาระหน้าที่ ประเทศชาติ และความชื่นชมที่เขามีต่อสิ่งมีชีวิตตัวนี้ก็คือไมเคิล สตัลบาร์ก ซึ่งเป็นที่รู้จักจากบทบาทหลากหลาย รวมถึงใน A SERIOUS MAN ของพี่น้องโคเอน, BLUE JASMINE ของวู้ดดี อัลเลน, STEVE JOBS ของแดนนี บอยล์ และ BOARDWALK EMPIRE ทางช่อง HBO

หลังจากได้เห็นเขาในผลงานหลายเรื่อง เดล โตโร ก็ได้เขียนชื่อของสตัลบาร์กลงในรายการของคนที่เขาอยากทำงานด้วย “ผมเห็นความสามารถในตัวเขาที่จะเปลี่ยนจากฆาตกรมาเป็นนักบุญ และมาเป็นตัวละครที่น่าเศร้า ผมรู้ว่าเขาสามารถสร้างตัวละครที่มีลักษณะผสมผสานอย่างฮอฟฟ์สเตทเลอร์ได้ เป็นคนซึ่งในมุมหนึ่งเป็นสายลับที่เก่งกาจ และในอีกมุมหนึ่งก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้มีความเห็นอกเห็นใจ นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม และพร้อมที่จะเสียสละ” เขาอธิบาย “เขาเป็นคนที่ยึดมั่นแน่วแน่ในหลักการเพราะเขาต้องรับความเสี่ยงมหาศาลในการทำสิ่งที่ถูกต้อง”

ฮอฟฟ์สเตทเลอร์ต้องเผชิญกับเป้าหมายที่ขัดแย้งกัน “เขามีประวัติความเป็นมาซับซ้อน” สตัลบาร์กระบุ “แต่รักแรกของเขาคือวิทยาศาสตร์ แล้วเขาก็มาหลงใหลสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ ผมคิดว่าเขาตกหลุมรักมันอยู่ด้วยเหมือนกัน ทั้งคู่ต่างโดดเดี่ยวและพวกเขาก็อาจเล็งเห็นความรู้สึกนี้ในตัวอีกฝ่ายหนึ่ง”

เพื่อให้สตัลบาร์กมีข้อมูลไปขบคิด เดล โตโร ได้มอบเอกสารมากมายเกี่ยวกับฮอฟฟ์สเตทเลอร์ให้เขา “กิลเลอร์โมเขียนประวัติทั้งหมดว่าคนคนนี้น่าจะเป็นใคร เริ่มต้นจากชีวิตวัยเด็กในรัสเซีย การฝึกฝนเพื่อให้ได้มารับตำแหน่งนี้ และความหลงใหลที่เขามีต่อวิทยาศาสตร์ทางทะเล” สตัลบาร์กอธิบาย “เขาอยู่คั่นกลางระหว่างพวกโซเวียตและพวกอเมริกันที่คิดเพียงแค่ว่าจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้สิ่งมีชีวิตอันมหัศจรรย์นี้ไปแทนที่จะสนใจเรียนรู้จากมัน แต่ฮอฟฟ์สเตทเลอร์ตระหนักว่าสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดก็คือการรักษาชีวิตของสิ่งมีชีวิตตัวนี้ไว้”

สตัลบาร์กไม่ได้พูดภาษารัสเซียได้คล่องแคล่ว เขาจึงต้องเรียนภาษานี้แบบเร่งด่วนทั้งที่มันอาจเป็นภาษาที่ซับซ้อนที่สุดในสายตาของหลายคน “ที่จริงผมเคยเรียนภาษารัสเซียอยู่หกสัปดาห์สมัยอยู่วิทยาลัยและได้พูดภาษารัสเซียบ้างนิดหน่อยในบทละคร ดังนั้นผมจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับสำเนียงและจังหวะ แต่ก็ยังต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่ยาวนานอยู่ดี พอการถ่ายทำเริ่มต้นขึ้น ผมเป็นตัวละครหลักตัวแรกๆ ที่มีบทพูดและพูดเป็นภาษารัสเซียด้วย ดังนั้นมันจึงเป็นบททดสอบสุดหิน ผมทุ่มเทเต็มที่และดูเหมือนว่ามันจะใช้การได้ ผมยินดีมากครับที่สามารถเข้าถึงบทบาทของฮอฟฟ์สเตทเลอร์ไปพร้อมกับพูดภาษารัสเซีย”

หัวใจของสัตว์ประหลาด

ผู้มารับบทบาทตรงชายขอบระหว่างมนุษย์ สัตว์ และตำนานคือดั๊ก โจนส์ เขาใช้ทั้งชุดที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถันและความสามารถอันพิเศษสุดในการแสดงออกทางร่างกายเพื่อสร้างสิ่งมีชีวิตตัวนี้ขึ้นมา โจนส์มีทักษะที่หาได้ยากจากการทำงานร่วมกับเดล โตโรเพื่อ

ถ่ายทอดบทสัตว์ประหลาดมาหลายต่อหลายครั้ง เขาเล่นเป็นเพลแมนใน PAN’S LABYRINTH, เอบ เซเปียน ในซีรีส์ HELLBOY และแวมไพร์โบราณใน “The Strain” แต่เช่นเดียวกับฮอว์คคินส์ เขาไม่เคยนึกฝันว่าจะได้รับบทนำในเรื่องราวความรัก

ฮอว์คคินส์กล่าวถึงโจนส์ว่า “ดั๊กแสดงออกมาได้อย่างชาญฉลาดและงดงาม ซึ่งก็จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นเพราะเรากำลังสำรวจสิ่งที่เปราะบางอยู่ เราเป็นสิ่งมีชีวิตสองสายพันธุ์ที่ตกหลุมรักกัน แต่ความรู้สึกนั้นก็จะต้องดูจริงจังและดูใช่ด้วย โชคดีที่ฉันตกหลุมรักดั๊กจากวิธีที่เขาถ่ายทอดบทนี้ออกมา”

เดล โตโร เห็นว่าโจนส์ควรรับบทเป็นสิ่งมีชีวิตตัวนี้อย่างไม่ต้องสงสัย “เราทำงานด้วยกันมาตลอด 20 ปีและเขาก็เล่นบทสำคัญๆ ในหนังของผมมาแล้วมากมาย” เดล โตโร กล่าว “เขาเป็นหนึ่งในน้อยคนที่รับบทเป็นสัตว์ประหลาด ขณะเดียวกันก็เป็นนักแสดงดรามาเต็มตัวด้วย บ่อยครั้งที่พรสวรรค์สองส่วนนี้แยกออกจากกัน แต่ดั๊กมีทั้งสองส่วนเลย เขาเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมไม่ว่าจะมีเมคอัพหรือไม่ก็ตาม”

เดล โตโร เสริมว่า “ถ้าคุณไม่มีนักแสดงอยู่ภายในชุดสัตว์ประหลาด คุณก็จะไม่ได้หนังออกมา และดั๊กก็ไม่ใช่แค่คนใส่ชุดสัตว์ประหลาด เขาเป็นนักแสดง ผมนึกถึงฉากที่เขาเข้าไปในโรงหนังและคุณก็ได้ตระหนักว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นไม่เคยดูหนังมาก่อน ช่วงเวลาเหล่านี้ต้องอาศัยนักแสดง ผมยังจำได้ว่าก่อนที่ริชาร์ด เจนคินส์จะเล่นฉากในห้องน้ำ ซึ่งเป็นฉากที่เขาได้ทำความรู้จักกับสิ่งมีชีวิตตัวนี้ ริชาร์ดกังวลเรื่องที่ว่าเขาจะต้องเล่นกับชุดสัตว์ประหลาด หลังจากนั้นริชาร์ดมาหาผมแล้วบอกว่า ‘ทันทีที่คุณสั่งแอ็คชัน ผมก็ได้ยืนอยู่ต่อหน้าเทพเจ้าแห่งน้ำจากยุคโบราณ” เขารับรู้จึงความเจ็บปวดและสับสนของสิ่งมีชีวิตตัวนี้ผ่านดั๊ก”

หนทางเดียวที่โจนส์จะเข้าถึงตัวละครก็คือการทำความเข้าใจความรู้สึกโดยอาศัยจินตนาการ พยายามหยั่งลึกลงไปว่าสิ่งมีชีวิตครึ่งบกครึ่งน้ำสติปัญญาสูงจะมีชีวิตเป็นอย่างไรเมื่อถูกไล่ล่าและจับตัวมาจากบ้านเพื่อให้สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นศึกษา “เขาโดดเดี่ยวมากๆ เพราะเขาเป็นสมาชิกตัวสุดท้ายของสายพันธุ์” โจนส์อธิบาย “เขาไม่เคยออกนอกเขตแม่น้ำ ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและเพราะเหตุใด เขาถูกทดสอบและตัดเนื้อเยื่อพิสูจน์เพียงเพราะรัฐบาลคิดว่า ‘เราจะใช้สิ่งนี้ให้เป็นข้อได้เปรียบของเราสักทางหนึ่ง’”

แต่สิ่งมีชีวิตตัวนี้มีอะไรมากกว่าที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลเห็น โจนส์มองว่าตัวละครอันลึกลับนี้มีพลังพิเศษที่สะท้อนความปรารถนาของผู้คนกลับไป “แม้ว่าเขาดูเป็นตัวประหลาดจากธรรมชาติ แต่เขามีคุณสมบัติคล้ายเทพอยู่ด้วย” เขาตั้งข้อสังเกต “เขาเข้ามาในชีวิตของผู้คน แล้วก็คล้ายจะนำสิ่งที่อยู่ภายในตัวมนุษย์มาเปิดเผยและขยายให้เด่นชัดยิ่งขึ้น”

เมื่อเขาแทรกซึมเข้ามาสู่ชีวิตของเอไลซา ทั้งสองต่างก็ค่อยๆ คลี่คลายอารมณ์ภายในออกมา “การสื่อสารระหว่างทั้งสองจำเป็นต้องใช้สิ่งอื่นที่ไม่ใช่ถ้อยคำ โดยมีพื้นฐานอยู่บนภาพและความรู้สึก” โจนส์กล่าว “ตัวละครทั้งสองดูผิดแผกแปลกแยกในโลกใบใหญ่ แต่เมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกันสองคน เรื่องนั้นก็มลายหายไป”

ในแง่กายภาพภายนอก โจนส์ใช้รูปลักษณ์ที่เดล โตโรมอบให้เพื่อเป็นพื้นฐานในการสร้างท่วงท่า “เขากล่าวว่าสิ่งมีชีวิตตัวนี้มีท่าทางเหมือนนักสู้วัวกระทิงที่เซ็กซี่และอันตราย แต่คล่องแคล่วลื่นไหลเหมือนซิลเวอร์เซิร์ฟเฟอร์”

เมื่อเขาเริ่มต้นทำงานกับฮอว์คคินส์ โดยซ้อมการแสดงด้วยกันก่อนเริ่มต้นการถ่ายทำนานหนึ่งเดือน ตัวละครทั้งสองก็ได้เปลี่ยนจากแนวคิดนามธรรมกลายเป็นตัวละครที่มีชีวิตจริงๆ “เป็นสิ่งงดงามมากครับที่ได้ร่วมสำรวจกับแซลลีว่าคุณจะพูดให้อีกคนฟังได้มากแค่ไหนโดยไม่ใช้บทสนทนาที่เป็นคำพูด” โจนส์กล่าว “แล้วคุณก็ได้เห็นว่าพลังแห่งความรักของทั้งสองเป็นแรงบันดาลใจให้เอไลซาต่อต้านระบบและก้าวออกมาจากเขตปลอดภัยของตัวเอง”

ฉากเลิฟซีนทำให้โจนส์ก็ต้องก้าวออกมาจากเขตปลอดภัยของตัวเองเช่นกัน เขายอมรับว่าไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าจะได้เล่นฉากเซ็กส์ในชุดสัตว์ประหลาด ไม่ว่าจะเป็นฉากที่ดูมีศิลปะเพียงใดก็ตาม มันต้องอาศัยการสื่อสารผ่านร่างกายอย่างแท้จริง “ในฉากนั้นผมต้องคิดเหมือนสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยได้รับการสัมผัสหรือมีสัมพันธ์ลึกซึ้งมาก่อน เขากับเอไลซาต่างมีประสบการณ์เรื่องนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นมันจึงเป็นความไร้เดียงสาที่เป็นเอกลักษณ์มากๆ”

โจนส์ยินดีอย่างยิ่งที่ได้สร้างความไว้วางใจอันแข็งแกร่งกับฮอว์คคินส์ “เราต่างรับบทเป็นตัวละครที่ผิดจากแบบแผนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เราจึงเชื่อมโยงกันด้วยเรื่องนี้” เขากล่าว เมื่อกล้องเริ่มเดิน ความผูกพันนั้นก็ปรากฏชัด “ผมมักดูแซลลีเพลินจนลืมไปเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่ แซลลีมีความจริงแท้ไร้สิ่งปรุงแต่ง ผมจึงตกหลุมรักเธอเช่นเดียวกับที่ตัวละครของผมตกหลุมรัก”

อ็อคเทเวีย สเปนเซอร์ ผู้รับบทเป็นเซลดา เพื่อนและเพื่อนร่วมงานของเอไลซา จำได้ถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลันเมื่อได้เห็นเอไลซาและสิ่งมีชีวิตมีปฏิสัมพันธ์กันเป็นครั้งแรก “มันงดงามและน่าประทับใจมาก ฉันไม่นึกเลยว่าตัวเองจะมีอาการตอบสนองแบบนี้ ฉันร้องไห้สะอื้นออกมาเลยเมื่อได้ดูฉากนั้น”

ข้อมูลภาพยนตร์   The Shape of Water – เดอะ เชพ ออฟ วอเทอร์ 
เข้าฉาย 1 กุมภาพันธ์
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  https://www.facebook.com/TheShapeOfWaterMovieThailand/