ผู้กำกับ :

เดวิด เลตช์

นักแสดง :

ไรอัน เรย์โนลด์
จอช โบรลิน
ซาซี บีทซ์ 

เดดพูล รวมทีมปกป้องเด็กอ้วนจาก เคเบิล คู่ปรับคนใหม่ของเดดพูลที่มาเพื่อฆ่าเด็กคนนี้โดยเฉพาะ เพราะเป็นภารกิจยิ่งใหญ่จึงจำเป็นต้องเกณฑ์คนร่วมทีมทั้งมนุษย์กลายพันธุ์อย่าง โดมิโน มิวแทนต์ที่เกิดจากโครงการเพาะพันธุ์มิวแทนต์ที่คาดว่าจะนำไปใช้ทางการทหาร พลังของเธอคือความโชคดี ซึ่งเธอมีพลังพิเศษที่ควบคุมโชคชะตาให้เข้าข้างเธอได้ และคนธรรมดาที่.. แค่อยากได้งานทำ !!

และแน่นอนว่า วาเนสซ่า คนรักหนึ่งเดียวของเดดพูล, โดพินเดอร์ คนขับแท็กซี่ตัวประกอบจากภาคที่แล้ว มาร่วมทีมเกรียนและสร้างความฮาในภาคนี้อย่างเต็มตัว, ป้าอัล คุณป้าตาบอดรูมเมทของเดดพูล, เนกาโซนิก ทีนเอจ วอร์เฮ้ด มิวแทนต์สาวที่กลับมามาพร้อมความแสบที่ทวีคูณ พร้อมกับความมันจากคู่ปรับใหม่ของเดดพูลอย่าง เคเบิล ที่มาพร้อมอาวุธคู่กายและแขนเหล็กสุดโหด งานนี้บอกได้คำเดียวว่า “มันแน่นอน”

รายละเอียดการถ่ายทำ

 

หลังจากที่ทำลายสถิติบ็อกซ์ออฟฟิศไปแล้ว ไรอัน เรย์โนลด์ส กลับมารับบท “เดดพูล” อีกครั้ง และครั้งนี้ภาพยนตร์ของนักฆ่าปากปีจอจะยิ่งใหญ่และกวนใจมากขึ้นกว่าเดิม

เดวิด เลตช์ ผู้กำกับฯ “John Wick” และ “Atomic Blonde” มาทำหน้าที่ควบคุมและถ่ายทอดการแสดงผาดโผน สไตล์และฉากแอคชั่นมากขึ้นกว่าเดิม เลตช์เล่าว่า “ผมมีความเคารพและรู้สึกได้รับโอกาสพิเศษในการช่วยสร้างโลกต่างๆ ที่มีความเท่ขึ้นมา แต่มีบางอย่างชวนหลงใหลแต่ไม่สามารถอธิบายได้ในโลกของ  “Deadpool” มันเป็นการสร้างภาพของแอคชั่น-คอมเมดี้ขึ้นมาใหม่ ต้นฉบับเดิมมีความพิเศษมาก และโลกของหนังเรื่องนี้ก็สามารถขยายความได้ไกล ถึงขั้นสามารถใส่ความสร้างสรรค์ของเราโดยยังคงความเป็นต้นฉบับเอาไว้ได้ด้วย”

ภาพยนตร์เรื่อง “Deadpool” ฉายครั้งแรกเดือนกุมภาพันธ์ 2016 เป็นภาพยนตร์เรท R ที่มีการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่สุด และต่อด้วยการเป็นภาพยนตร์เรท R ที่กวาดรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 750 ล้านเหรียญภายในประเทศ ภาพยนตร์เรื่อง “Deadpool” ได้รับการยกย่องด้วยการเป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ไลฟ์แอคชั่นเรื่องแรกที่ได้เข้าชิงรางวัล Golden Globe สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประเภทคอมเมดี้หรือมัวสิคัล และไรอัน เรย์โนลด์สได้เข้าชิงรางวัลสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

ไรอัน เรย์โนลด์สไม่ได้รับหน้าที่เป็นนักแสดงนำเท่านั้น แต่ยังร่วมเขียนและอำนวยการสร้างฯ  “Deadpool 2” “ไรอันเป็นนักแสดงตลกที่มีความสามารถอย่างเหลือเชื่อ” เลตช์กล่าว “และ “Deadpool” ก็อยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่เขามีพรสวรรค์อย่างดีเยี่ยม เขานำตัวละครนั้นมาจากหนังสือการ์ตูนและถ่ายทอดออกมาในแบบของเขาเอง มันมีสิ่งที่เสริมกันระหว่าง “เดดพูล” กับไรอัน ในชีวิตจริงเขาเหมือนเดดพูลเลย ในแง่ของการพูดและการมองโลกในบางครั้ง เขาเป็นคนตลกและไม่ค่อยนับถืออะไร แต่ก็มีความใจกว้างและเห็นใจผู้อื่นเหมือนเดดพูล”

ผู้เขียนฯ และผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ เร็ตต์ รีซ และ พอล เวอร์นิค ที่ร่วมเขียนบทในภาคแรกได้มาร่วมงานในเรื่อง “Deadpool” ตั้งแต่ปี 2009 “มันรู้สึกเหมือนเราอยู่กับเขามาทั้งชีวิต” เวอร์นิคกล่าว เรย์โนลด์สร่วมงานกับรีซและเวอร์นิคในการเขียนบทฯ ต้นฉบับ “Deadpool” และรีซเล่าถึงตอนนั้นว่า “เราต้องใช้เวลา 5 หรือ 6 ปีกว่าจะได้สร้างหนังขึ้นมา และนี่เป็นโปรเจ็กต์ที่ชวนตื่นเต้นในแง่ที่มันมีบางอย่างเหมือนหนังอินดี้หรือหนังฟอร์มเล็กที่ขาดงบในการสร้าง ภาพยนตร์เรื่อง “Deadpool” เป็นอะไรที่เทียบไม่ได้เลยเมื่อพูดถึงซูเปอร์ฮีโร่ เขาขาดความน่าศรัทธา เขาไม่ค่อยชอบตัวเองนัก ทำตัวไร้เหตุผลเหมือนเด็ก ชอบใช้ความรุนแรง ชอบก่อกวน มีอะไรหลายอย่างที่ซูเปอร์ฮีโร่คนอื่นไม่มี และเขาเทียบไม่ได้กับซูเปอร์ฮีโร่ด้วยซ้ำ เขาเหมือนพวกแอนตี้ฮีโร่ที่สวมชุดซูเปอร์ฮีโร่ก็เท่านั้น”

“เดดพูลเหมือนกับ ‘คนค่อมแห่งน็อทร์-ดาม’ เลตช์กล่าว “ภายนอกเขาต้องเสียโฉมแต่เป็นคนสนใจความรู้สึกคนอื่น เขามีอดีตที่น่าสนใจ เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความหวัง มีพลังสมานแผลได้ ยากที่จะเอาชนะเขาได้ เขาเป็นคนไม่เชื่อในเรื่องอะไร เขาชอพพูดจาตลกปนหยาบแบบที่เราพูดไม่ได้แต่ชอบที่จะฟัง นั่นเป็นการผสมผสานของตัวละครที่วิเศษมากครับ”

เวอร์นิคกล่าวเสริมว่า “เดดพูลเป็นคนที่ไม่พอใจกับตัวเอง เกลียดตัวเอง อับอายในสิ่งที่เป็น แต่เราหลงรักในตัวเขา การได้ยินเสียงไรอันวนเวียนในหัวเราตลอดเวลาตอนที่เราเขียนบทฯ ถือเป็นเรื่องที่ดี เขาคือเดดพูลเลยล่ะ ความคิด ความรู้สึก และการพูดในทิศทางเดียว มันเป็นเรื่องสนุกสำหรับเรามากในการนั่งที่คอมพิวเตอร์และเขียนบทให้เขา”

“ไรอันมีความเป็นเดดพูลสูงมากในแง่ของมุกกตลกในบทของเดดพูล” รีซกล่าว “มีทั้งความลามก ความน่าหงุดหงิด ความไร้สาระและเหมือนเด็ก เขาเหมาะสมกับมันที่สุดเลยและเขาก็รู้ดี เขาตกหลุมรักตัวละครนั้นก่อนที่เราจะมีหนังภาคแรกด้วยซ้ำ สิ่งอื่นที่เขาถ่ายทอดลงไปคือเรื่องท่าทาง ทำให้เดดพูลดูตลกภายใต้หน้ากากและชุดของเขา ไรอันมีความเหมือนแชปลินมาก เขาใช้ร่างกายและท่าทางถ่ายทอดมุกตลกและบุคลิกท่าทางได้หลายอย่าง แม้ว่าเราจะได้เห็นหน้าของเขาแค่เพียงครึ่งเรื่อง เขาก็สามารถถ่ายทอดมุกตลกออกมาได้ผ่านน้ำเสียงและท่าทางของเขาได้”

 

 

ออกจากจุดศูนย์กลาง

ตลอดการถ่ายทำ “Deadpool 2” เรย์โนลด์ส รีส และเวอร์นิคไม่เคยว่างเว้นจากการเขียนบทเลย “มันไม่ได้จบที่ร่างสุดท้ายสักที” รีสกล่าว เขายอมรับเกี่ยวกับช่วงหลังถ่ายทำ “Deadpool” ภาคแรกว่า “เราเขียนบทใหม่ของเดดพูลขึ้นมาเยอะมาก เขาอยู่ภายใต้หน้ากาก เราจะจินตนาการคำไหนออกมาจากปากเขาก็ได้

“เราโลดแล่นภายใต้แสงสีของภาคแรก” เวอร์นิคกล่าว “สำหรับภาคนี้มันค่อนข้างต่างออกไป มีความกดดันมากขึ้น ทุกรายละเอียดที่ออกมากลายเป็นเรื่องที่ใหญ่โต รายละเอียดยิบย่อยทุกอย่างที่โผล่ขึ้นมาทำให้เราเห็นว่ามีความคาดหวังสูงมาก สิ่งที่ไรอัน เร็ตต์ และผมพยายามทำก็ไม่ต่างจากที่ทำในภาคแรก ตราบใดที่มันทำให้เราหัวเราะได้และมีน้ำตาไหลออกมา นั่นเป็นน้ำตาแห่งความสุข เรารู้สึกว่าเรากำลังมาถูกทาง” เรย์โนลด์สเขียน  Deadpool 2 ร่วมกับรีสและเวอร์นิค รีสกล่าวเสริมว่า “นั่นเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะเขามีจินตนาการและพรสวรรค์ที่วิเศษสุดในหลายด้าน ไรอันเหมือนเครื่องจักรผลิตความฮาเลย”

เวอร์นิคเล่าว่า “ตราบใดที่เราไม่เอาตัวเป็นศูนย์กลาง ลบความคาดหวังของเราได้ เราก็จะทำงานออกมาได้ดีเลิศ ความงดงามของ “Deadpool” คือยิ่งดูคลุมเครือมากเท่าไหร่ก็ยิ่งตลกมากขึ้น”

ลีตช์กล่าวเสริมว่า “สำหรับการสร้างภาคต่อ เราต้องรักษาเนื้อหาและบทเอาไว้ บทที่ไรอัน เร็ตต์ และพอลร่วมมือกันด้วยความรู้สึกและจิตวิญญาณ ในฐานะของผู้เล่าเรื่องราวคนหนึ่ง เราอยากแน่ใจว่าเราทำได้ตรงตามประเด็น จากนั้นยังตรงตามอารมณ์ของแฟรนไชส์ต้นฉบับที่สร้างความสำเร็จอย่างมากด้วย มันมีทั้งการเสียดสีและการกวนประสาทของภาพยนตร์คอมเมดี้เรท R และมันยิ่งกว่าหนังแอคชั่น จากนั้นเราต้องหามุมมองในฐานะของผู้สร้างภาพยนตร์และทำให้เป็นในแบบของเรา นั่นคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สุดเพราะเราไม่อยากมีประเด็นกับผู้ชม ซึ่งที่ผ่านมาอาจมีความคาดหวังว่าฉากแอคชั่นต้องยิ่งใหญ่ขึ้น ฉะนั้นเราต้องรับผิดชอบกับสิ่งเหล่านั้น มันเหมือนกับปริศนา ในขั้นตอนของการกำกับฯ เราต้องให้ความสำคัญสิ่งเหล่านั้นก่อน ค่อยเอามาพลิกแพลงและทำให้ดูกวนประสาท จะมีโลกไหนที่ให้เราทำอะไรแบบนั้นได้นอกจาก  “Deadpool”? เราจะเล่นใหญ่แล้วขอโทษพวกเขาด้วยการคั่นเวลาก็ได้ นั่นคือความเจ๋งของต้นฉบับ  พวกเขาทำลายกฎที่มีอยู่”

“เดวิดเข้าใจ “Deadpool จริงๆ” รีสกล่าว “เขาเป็นหนึ่งในสุดยอดผู้กำกับหนังแอคชั่นของโลก และเขาจัดหนักฉากแอคชั่นได้หลุดโลกมาก”

“ฉากแอคชั่นคือส่วนสำคัญมากของ “Deadpool”” เวอร์นิคกล่าวเสริม “และเราได้ความถนัดอย่างหนึ่งในเดวิด ลีตช์ เขาทำให้การแสดงของทุกคนดูเหมือนหนังในยุค 80 ได้ ฉากแอคชั่นใน “Deadpool 2” มีความสุดยอดมาก จะทำให้อ้าปากค้างได้เลย”

ผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ อาดิตยา ซูด เล่าว่า “เดวิดถ่ายทอดบางอย่างออกมาแบบที่คนอื่นทำไม่ได้ หนังเรื่องนี้มีภาคต่อแบบที่ผมไม่คิดว่าใครจะเคยทำมาก่อน และมันก็เชื่อมโยงกันอย่างราบรื่น ด้วยลูกเล่นในแบบเดดพูลและความคิดที่ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของเขา”

 

ร็อบ ลายเฟลด์ – ผู้แต่งการ์ตูนและแฟน!

“ผมเป็นศิลปินคนหนึ่งที่อยากเขียนมันออกมา เพราะผมเป็นคนควบคุมคอนเทนต์เกี่ยวกับภาพต่างๆ ของผม” ร็อบ ลายเฟลด์ ผู้สร้าง “เดดพูล” กล่าว “นั่นคือชัยชนะของการต่อสู้ วิชวลต่างๆ ออกมาดูดี ผมยังจมอยู่กับจินตนาการของภาพวาด “Deadpool” สุดเจ๋งอยู่เลย ไม่ว่าผมจะวาดหรือไม่วาด ผมก็เห็นเขาในชีวิตจริงอยู่ดี สีแดงดำนั่นดูสวยมาก”

ลายเฟลด์เป็นแฟนหนังจากตัวละครของเขาเอง “ไรอันทำให้ “เดดพูล” ดูกวนประสาทมากขึ้น เขาใส่ความน่าหงุดหงิดลงไปได้อย่างลงตัว เขาเหมาะกับมันที่สุด พวกเขามีอิสรภาพด้วยการที่ได้เรท R และผมคิดว่ามันมีจุดที่ลงตัวของมันเอง ผมตื่นเต้นที่มันมีมิติที่แลกใหม่แบบที่ฟ็อกซ์วาดลวดลายออกมา” ลายเฟลด์เล่าว่าส่วนหนึ่งที่เขารักมันมาก เพราะเขาเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งในยุค 80 ตอนที่มีหนังแอคชั่นแฟรนไชส์เรท R ออกมาหลายเรื่องแบบตอนนี้ อาทิเช่น “Terminator,” “Alien” และ “Predator” “นั่นเป็นช่วงก่อนที่จะมีช่องว่างระหว่างเกิดเรท PG-13 ทุกอย่างถ่ายทอดออกมาอย่างดูดี ผมตื่นเต้นที่ “Deadpool” เทียบเท่ากับหนังเหล่านั้น”

 

ขณะที่ “Deadpool” ขยายจากหนังสือการ์ตูนสู่ตัวละครในหนังแอคชั่น ลายเฟลด์เล่าว่า “เวอร์ชั่นที่ดีที่สุดคือสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมาในหนัง เพราะพวกเขามีทั้งความใส่ใจและความรักอย่างเต็มที่ และพวกเขาไม่เอาการ์ตูนมาล้อเล่น พวกเขามีอิสรภาพแต่ยังยึดตามข้อมูลจริง ซึ่งพวกเขาก็ควรทำแบบนั้นเพราะมีฐานแฟนๆ อยู่ เอ็กซ์-ฟอร์ซเป็นหนังสือการ์ตูนที่ขายดีเป็นอันดับ 2 ตลอดกาล ผมเคยคิดว่านั่นไม่ยั่งยืน แต่ 26 ปีต่อมาตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันไม่มีวันตกเลย”

 

เวลาทำอะไรแย่ๆ…

“”Deadpool” ไม่มีแนวที่ชัดเจนและมันก็ไม่มีความเคร่งเครียดอะไรในหนังด้วย” รีซกล่าว “ในหนังเรื่องนี้ไรอัน เรย์โนลด์สเล่นมุกขึ้นมาเอง เขาสร้างความตลกจากการเขียนบท เขาเล่นมุกเรื่องฟ็อกซ์ เขาเล่นมุกกับทุกอย่างที่เกี่ยวกับแฟรนไชส์ มันเป็นมุกที่เกี่ยวกับคนอื่นเพียงน้อยนิด แต่เราพร้อมจะเล่นมุกที่เกี่ยวกับตัวเอง”

“ไรอัน เรย์โนลด์มีพรสวรรค์เรื่องความตลก” รีซกล่าว “พรสวรรค์ด้านการเล่นมุกอย่างหนึ่งของเขา คือเขาพร้อมจะทำทุกอย่างที่สร้างความรังเกียจได้ ตอนที่พอลมาพร้อมกับเครื่องกดสบู่  [ขอโทษแต่นี่ไม่ใช่การสปอยล์เลยถ้าผู้อ่านยังไม่ได้ดูหนัง!] ผมก็บอกว่า ‘โอ้ ไม่เอา’ แล้วก็พูดว่า ‘โอ้ ใช้ได้เลย’ มันป็นเรื่องที่ลงตัวมาก สิ่งที่เราจะพูดกันไม่ใช่ “เวลาพวกเขาทำอะไรแย่ๆ เราจะทำให้ดูดี” เราจะพูดว่า “เวลาพวกเขาทำอะไรแย่ๆ เราจะทำให้มันแย่กว่า” เราพร้อมที่จะทำทุกอย่าง ขุดทุกเรื่องที่เรียกเสียงหัวเราะได้”

และเพื่อสร้างความเข้าใจในมุกตลกของผู้แต่ง ขณะที่เวอร์นิคมาพร้อมกับมุกของที่กดสบู่ รีซก็ช่วยเรื่อง “กระดาษทิชชู่” ซึ่งจะปรากฎในหนังทีหลังด้วย รีซยอมรับว่า “ผมมีกระดาษทิชชู่ของตัวเอง สำหรับเวลาที่กระดาษทิชชู่หมด ผมลองทำนิดนึงและทำให้ไรอันดู เรามองหน้ากันและพูดว่า  “มันน่าจะอยู่ในหนังนะ” จากนั้นเราก็คุยกันว่านักแสดงจะเล่นอะไรได้บ้างในฉากที่เราอยากได้”” การเจอนักแสดงที่ใช่ คนที่สามารถถ่ายทอดฉากนั้นออกมาได้คือความท้าทายอย่างนึ่ง บอกได้แค่นั้นล่ะ

 

จังหวะหัวใจเต้น – ซอสสูตรลับ

เวอร์นิคเล่าว่า “รู้กันดีว่า “Deadpool” คือหนังคอมเมดี้ แต่มันก็มีจุดที่ทำให้ใจเต้นอยู่ เป็นจังหวะการเต้นของหัวใจจริงๆ ซอสสูตรลับของ “Deadpool” อยู่ที่ประเด็นความรู้สึก การที่มีตัวละครอยู่ในสภาพล้มลุกคลุกคลาน ชีวิตเป็นเรื่องโหดร้ายสำหรับเขา เป็นตัวละครที่ต้องเจอโรคมะเร็งและแผลเป็นที่หน้ากลัวบนใบหน้า ผมคิดว่าเด็กๆ เข้าใจสไปเดอร์แมนได้เพราะเขาเป็นเด็กที่ดูเนิร์ด เขาเลยใส่หน้ากากและกลายเป็นซูเปอิฝร์ฮีโร่สุดเจ๋ง และผมคิดว่าทุกคนจะเข้าใจเว้ด วิสันเพราะได้เห็นตัวละครที่เจอความยากลำบากในชีวิต และเขาต้องผ่านมันไปให้ได้ ต้องหัวเราะไปกับมันและเอาชนะให้ได้ในที่สุด ผมคิดว่าทุกคนจะเข้าใจมันได้ดี”

อาดิตยา ซูด เล่าว่า “ความท้าทายอย่างหนึ่งที่หนักหน่วและสนุกของ “Deadpool” คือการหาความสมดุลระหว่างความตลก ฉากแอคชั่น และเรื่องของความรู้สึก ความมหัศจรรย์ของไรอันคือเขารับมือได้ทุกอย่าง ถ้าเขาเป็นแค่นักแสดงตลก เขาคงเป็นนักแสดงตลกที่เก่งที่สุด ถ้าเขาเป็นนักแสดงแอคชั่นเขาก็ทำได้ ถ้าเขาเป็นนักแสดงแนวดราม่าเขาก็ทำได้ แต่ความเป็นจริงคือเขาทำได้ทั้งสามอย่าง จนทำให้ “Deadpool” ออกมาเป็น  “Deadpool””

“การแต่งหน้าคือความสาหัสอย่างหนึ่ง” เวอร์นิคเล่าให้ฟังถึงการแต่งหน้าด้วยเทคนิคพิเศษที่เรย์โนลด์สต้องแต่งให้ออกมาเป็นเว้ด วิลสันที่ดูน่ากลัว “เราเขียนตารางขึ้นมาเลยว่าสามารถถอดเมคอัพของไรอันออกได้เร็วที่สุดเท่าไหร่ เพราะเขาจะรู้สึกอึดอัด มันต้องใช้เวลาแต่งหน้านานหลายชั่วโมง เขาต้องทนอยู่กับมันและแสดงภายใต้การติดพลาสติกจำนวนมากนี้ จะเป็นไปได้ยังไงที่จะแสดงสีหน้าออกมาเวลาที่มีพลาสติกพวกนี้ติดอยู่บนใบหน้า? แน่นอนว่าเขาแสดงออกมาได้ดีเยี่ยม ต้องยกความดีให้ไรอันและพรสวรรค์ของเขาในฐานะของนักแสดงที่สามารถแสดงได้ภายใต้หน้ากากนั้น เขาคืออารมณ์ความรู้สึกของหนังเรื่องนี้ เขามีจังหวะหัวใจแบบเดียวกับเดดพูล สัญชาตญาณของเขาแม่นเสมอ เวลาที่เขาอยู่หลังกล้องจะคอยดูคอยแนะนำขั้นตอน เขาคุมจังหวะของสิ่งที่ทำแล้วรู้ว่าอะไรจะออกมาดีหรือไม่ดี”

เวอร์มิคเล่าว่าสำหรับบางคนแล้ว “หนังสือการ์ตูนเหมือนกับไบเบิล เราควรทำให้ถูกต้องตามตัวละครที่อยู่ในหนังสือการ์ตูน เพราะมีนักเขียนหลายคนที่เข้ามาและออกไปในซีรีส์ ตัวละครนึงอาจตายตรงนี้แล้วกลับมามีชีวิตอีกก็ได้ เราค่อนข้างมีความยืดหยุ่นในการสร้างตัวละครขึ้นมา ผมคิดว่าเป้าหมายของเราในฐานะผู้เขียนคือไม่ล้อเลียนนักเขียนการ์ตูน มันเป็นเรื่องของการรับกลิ่นอาย ความรู้สึก และรายละเอียดของตัวละคร รวมถึงความคิดของเขาหรือเธอ จากนั้นจึงถ่ายทอดสู่ภาพยนตร์ในแบบของเราเอง”

เขาเล่าเสริมว่า “บทภาพยนตร์เหมือนกับไบเบิลของเรามาก มันทำให้เรามีแนวการทำงานและได้ตรงตามที่เขียนเอาไว้ แต่มันก็มีการเล่นสดและสิ่งที่ได้ไม่เตรียมตัวมาก่อนจากนักแสดงทุกคนที่ให้การช่วยเหลือ เวลาที่เรามีมุกตลกๆ เราก็แค่ใช้มัน”

“ผมคิดว่าหนังที่สนุกที่สุดเป็นหนังที่เหล่าศิลปินทำให้มันดูสอดคล้องกับสิ่งที่เห็นได้บ่อยๆ” อาดิตยา ซูด กล่าว “มันมีบางอย่างในความคิดไรอัน เร็ตต์ และพอลที่ผสมกันอย่างลงตัวใน “เดดพูล” พวกเขาเป็นปากเสียงแทนตัวละคร และนั่นคือความสุขที่ได้ร่วมงานกับพวกเขา เพราะเราจะเซอร์ไพรส์กับความแปลกใหม่ตลอด แต่ขณะเดียวกันมันก็ให้ความรู้สึกแบบเดดพูลอยู่ด้วย”

“Deadpool 2” เต็มไปด้วยคู่ปรับจอมวายร้าย แต่ไม่มีใครที่เป็นศัตรูหลัก เวอร์นิคเล่าว่า “เดดพูลเป็นตัวละครที่แหวกกฎทุกอย่าง เขาทิ้งความจำเจ เราเองก็ทำแบบเดียวกัน “Deadpool 2” ไม่มีตัวร้ายที่ชอบม้วนหนวดตามแบบฉบับ มันไม่ตรงตามแบบฉบับ เราอยากทำให้ผู้ชมเชื่อว่าเคเบิลคือวายร้ายตัวจริงที่จะเกิดการปะทะระหว่างเคเบิลกับเดดพูล แต่ปรากฏว่าไม่เป็นแบบนั้นและพวกเขากลับร่วมทีมกัน”

 

จอช โบรลิน ในบท เคเบิล

จอช โบรลิน นักแสดงผู้เข้าชิง Academy Award มีผลงานแสดงภาพยนตร์มากมาย ตั้งแต่ “No Country For Old Men” และ “Sicario” จนย้อนไปถึงหนังคลาสสิคอย่าง “Goonies” ในเรื่อง “Deadpool 2” โบรลินรับบทตัวละครที่ได้รับความคาดหวังอย่างสูงว่าจะปรากฎบนหน้าจออย่าง เคเบิล ที่เดินทางข้ามเวลาได้ เขาเป็นนักรบที่ติดเชื้อไวรัสเทคโน-ออแกนิคที่ทำให้เขาเหมือนหุ่นยนต์

 

“สิ่งหนึ่งที่ทำให้ “Deadpool” เป็นที่ชื่นชอบคือตรงนั้น ระหว่างที่มีความไร้สาระและไม่ศรัทธาในอะไร มันก็มีความรู้สึก ความเป็นห่วง และอารมณ์พื้นฐานต่างๆ” รีซกล่าว “เว้ด วิลสันต้องพบกับความทรมานละต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่มีความรุนแรง เราอยากหยิบประเด็นนั้นมาใส่ใน “Deadpool 2” เราทำให้ดูมีความซีเรียสและหดหู่ เดดพูลยังคงอยู่บนความรุนแรง เขาทำอะไรกับชีวิตมากไม่ได้นัก เขายังคงทำตัวชอบเรียกร้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ารักเสมอ ตัวละครเคเบิลก็สูญเสียสิ่งสำคัญไป เขาต้องเสียภรรยาและลูกสาวด้วยน้ำมือของคนชั่ว เขาทำอะไรกับพลังของตัวเองไม่ได้เลย รวมถึงการเดินทางย้อนเวลาเพื่อแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นและพาพวกเขากลับมา มันมีความรู้สึกจริงที่แฝงอยู่และสร้างความสมดุลเข้ากับมุกตลก มันแค่ไม่ใช่หนังตลกหรือหนังที่มีแต่ความสนุก มันมีความรู้สึกจริงที่ซ่อนอยู่ด้วย ผมคิดว่ามันมีการผสมกันจนเป็นจุดที่เราอยากไปอยู่ตรงนั้น”

“เคเบิลป็นผู้ที่ไว้ใจได้ของเอ็กซ์-ฟอร์ซ” เวอร์นิคกล่าว “เดดพูลเหมือนจุดเชื่อมโยงไปสู่โลกของเอ็กซ์-ฟอร์ซและเป็นส่วนที่มีความสำคัญ เคเบิลสร้างความคลั่งให้เดดพูลได้อย่างจัง เขามีอารมณ์ความรู้สึกแทบจะคล้ายกัน แม้ว่าพวกเขาจะแต่งงานอย่างสุดขั้ว พวกเขาก็คล้ายกันมากตรงที่ต่างมีบาดแผล พวกเขาสูญเสียบางอย่างและกำลังมองหาบางสิ่ง จนสุดท้ายก็ได้มาพบกัน ”

“จอชเป็นคนที่มีความหมายมาก เป็นนักแสดงคนหนึ่งที่มีฝีมือมากในยุคของเรา เรารู้สึกโชคดีมากที่มีเขา” เวอร์นิค “จอชเป็นคนที่น่าทึ่งมาก” ซูดกล่าวเสริม “เขาถ่ายทอดตัวละครนี้ที่เป็นแฟนมานานหลายปีแล้ว ผมคิดว่ามันต้องตื่นเต้นมากสำหรับทุกคนที่ได้เห็นบนหน้าจอ มันวิเศษสุดสำหรับเรามาก เพราะเราได้เห็นความมหัศจรรย์ในเรื่องราวระหว่างเคเบิล – เดดพูล และพยายามเข้าถึงมิตรภาพนั้นเพื่อนำมาถ่ายทำสู่จอภาพยนตร์ พวกเขาเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งอย่างเหลือเชื่อ คนหนึ่งก็มองโลกแบ่งเป็นขาวและดำอย่างชัดเจน ส่วนอีกคนก็มองโลกสวย สีสันงดงามและมีสีเทาแต่งแต้ม มันมีประกายระหวว่างพวกเขา นี่ไม่ใช่หนังแนวคู่หูแต่เราจะเห็นเรื่องมิตรภาพได้ตั้งแต่ช่วงแรก ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ในอนาคตได้”

ผู้สร้าง “เดดพูล” ร็อบ ลายเฟลด์ยังสร้างเคเบิลขึ้นมาด้วย เขาเล่าว่า “จอบ โบรลินเหมาะสมกับบทที่สุดแล้ว เขาเป็นนักแสดงคนหนึ่งที่มีพรสวรรค์มากสำหรับทุกที่และทุกเวลา!” ลายเฟลด์ถึงตอนที่เจอโบรลินในฉากและคิดว่า “เรากำลังพบกับเคเบิล! อะไรจะวิเศษขนาดนี้!?! พนันได้เลยว่าใครที่ได้พบกับสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเองจะต้องรู้สึกมีผีเสื้อหลายตัวอยู่ในท้องแน่นอน”

สำหรับการแปลงโฉมให้เป็น เคเบิล เครื่องจักรพร้อมรบ โบรลินต้องต้องใช้เวลาออกกำลังกายนานหลายเดือนและปรับนิสัยการกินอย่างเคร่งครัด เขารูสึกภูมิใจมากที่เขามาถึงจุดที่เรียกว่า “หุ่นดีที่สุดในชีวิต”

 

ซาซี่ บีตซ์ ในบท โดมิโน

นอกจากการสร้างเดดพูลและเคเบิลขึ้นมา ร็อบ ลายเฟลด์ยังสร้างโดมิโนขึ้นมาด้วย โดยมีการแนะนำเธอในฐานะมนุษย์กลายพันธุ์คนใหม่ลำดับที่ 98 เหมือนกับที่เดดพูลเคยปรากฎตัวครั้งแรก ลายเฟลด์เล่าว่า  “เดดพูลสยบทุกคนได้ใน 10 หน้ากระดาษ ส่วนโดมิโนสยบเดดพูลได้ในเพียงหน้าเดียว! เธอมีความสามารถ เธอสามารถรับมือกับใครก็ได้ โดยเฉพาะเดดพูลและเคเบิล เธอมีความร้ายกาจและมีพลังพิเศษ ซึ่งเป็นพลังลึกลับที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เหมือนพลังแห่งความโชคดี เธอคาดเดาไม่ได้เลยเพราะตรงนั้น

ลายเฟลด์รู้สึกดีใจที่ได้คัดเลือกตัวซาซี่ บีตซ์ “ผมเชียร์ในวันที่คัดเลือกตัวเธอนะครับ ผมคิดว่า ‘เธอคือคนที่ใช่’ เพราะใครจะรับมือกับไรอันโดยไม่หวั่นไหวกับความไร้สาระของเขาได้บ้าง? ซาซี่ในร่างโดมิโนทำแบบนั้นได้ ซึ่งเป็นพลังที่สำคัญมาก”

“ฉันรู้สึกว่าเป็นเกียรติมากค่ะที่ได้ถ่ายทอดบทบาทนี้ออกมา” บีตซ์กล่าว “และการที่โดมิโนมาอยู่ในไลฟ์แอคชั่นครั้งแรกทำให้ฉันต้องรับผิดชอบกับมัน ฉันเป็นคนผิวสีส่วนเธอไม่ใช่ มันทำให้ฉันกังวลแต่ฉันสบายใจตอนที่ร็อบ ลายเฟลด์บอกฉันว่าเขาไม่เคยระบุเชื้อชาติของเธอไว้ ถ้าคุณอ่านหนังสือการ์ตูน เธอมีฉายาที่แตกต่างกันไปซึ่งเป็นชื่อที่มีความหลากหลายมาก”

เวอร์นิคเล่าว่าโดมิโนเป็นหนึ่งในผู้กล้าของเอ็กซ์-ฟอร์ซ เขาเล่าว่า “นี่เป็นกลุ่มของคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ  ถ้าไม่ทำตัวผิดศีลธรรมก็ไม่มีใครสนใจ เธอไม่ได้สนใจอะไรกับความกวนประสาทของเดดพูลเลยสักนิด เธอชอบทำตากลิ้งไปมา ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะมาอยู่ในกลุ่มของพวกคนโหลยโท่ยแบบนี้ได้ นี่คือจุดที่ลงตัวเหมาะสมกับเธอ ผมรู้สึกว่าผู้ชมจะตกหลุมรักกับโดมิโนเช่นเดียวกับพวกเรา”

เวอร์นิคเล่าว่า “ซาซี่เป็นคนตลกและมีความสดใส เธอถ่ายทอดความสดใสแบบวัยรุ่นและอารมณ์ความรู้สึกเวลากลอกตาได้ดี ขณะที่เดดพูลคือเพื่อนวัย 40 ปี สำหรับเราแล้วเธอเหมือนกับผู้ชมแถวหน้าที่รอดูความคลั่งอย่างน่ารำคาญของเดดพูล”

“โดมิโนเป็นคนโชคดีค่ะ” บีตซ์กล่าว “ฉันคิดว่าเป็นเพราะเธอรู้สึกเบื่อหน่ายเลยอาศัยจังหวะนั้น เธอเป็นคนชอบพูดเสียดสีและกวนประสาท ร่วมหัวจมท้ายกับเดดพูลและไม่สนใจความงี่เง่าของิเขา โดมิโนมีโลกของเธอ เธอไม่เหมือนเพื่อนร่วมทีมซะทีเดียว เธอมีแนวทางของเธอเอง เธอถูกจ้างมาจึงต้องทำหน้าที่ของตัวเองและค่อยถอนตัว เธอรู้ว่าตัวเองอยู่จุดไหน นั่นคือสิ่งที่น่าสนใจเพราะมันเป็นการเปิดประเด็นว่าความโชคดีนั้นเริ่มต้นและสิ้นสุดตรงไหน? เพราะอดีตของเธอมีความน่าหดหู่ ผมว่ามันเทียบกันให้เห็นอย่างน่าสนใจ เธอเป็นคนโชคดีแต่ในระดับไหน? หากทุกอย่างเป็นไปตามใจเรา แล้วจะเกิดแรงผลักดันในการทำอะไรต่อมิอะไรจากไหนกัน? เธอต้องฝ่าฟันกับมันเยอะมาก”

 

จูเลียน เดนนิสัน ในบท รัสเซล / ไฟร์เออร์ฟิสต์

 

นักแสดงที่โดดเด่นมาจากเรื่อง “Hunt for the Wilderpeople” ที่กวาดรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ของนิวซีแลนด์ จูเลียน เดนนิสันรับบทรัสเซลที่กลายเป็นไฟร์เออร์ฟิสต์เดนนิสันอายุ 14 ปีในช่วงที่ถ่ายทำ  “Deadpool 2” เขาเล่าว่าตัวเองอายุไม่มากพอที่จะทันดูภาคแรกตอนที่มีการฉาย เขาเลยต้องดูเวอร์ชันที่ใสสะอาด  “ผมข้ามช่วงที่โชว์ความแสบทั้งหมดเลย แต่มันก็ยังเป็นหนึ่งในหนังที่ฮาสุดตลอดกาล” สำหรับการถูกกันจากความแสบใน “Deadpool 2” เขาพูดติดตลกว่า “ผมคือส่วนหนึ่งของความแสบพวกนั้นน่ะแหละ! แทบจะรอให้ครอบครัวของผมเห็นไม่ไหวแล้ว พวกเขาจะต้องออกจากโรงหนังและพูดว่า  ‘พวกเขาทำอะไรกับลูกฉันเนี่ย!?’”

เดนนิสันเล่าว่า “ครั้งแรกที่เราพบรัสเซล เขาอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของผู้ชายที่ทำตัววิปริตหลุดโลก รัสเซลอยู่ในช่วงที่ย่ำแย่ เขาทั้งโกรธและเศร้า เขาอยากระบายมันออกมาและทำลายทุกสิ่ง ไม่ต่างกับไฟร์เออร์ฟิสต์เขาสามารถปล่อยลูกไฟออกมาจากมือได้  พลังของเขาคือส่วนเติมเต็ม มันแสดงออกมาเมื่อเขาโกรธเต็มที่ ในตอนท้ายของหนังเขามีความเข้มแข็งมาก รู้ทั้งวิธีใช้และควบคุมพลังของเขา

เดนนิสันเล่าว่าท่าทางของไฟร์เออร์ฟิสต์ได้แรงบันดาลใจมาจากเมารี ฮาก้า การเต้นในสงครามสมัยก่อน (ทีมรักบี้ของนิวซีแลนด์ ‘All Blacks’ เป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องฮาก้า) เขาเล่าว่า “จะมีการทำเมารีก่อนทำสงคราม เพื่อขอพลังจากพระเจ้า ไฟร์เออร์ฟิสต์มีพลังมากเวลาที่เขาใช้มัน”

“ไฟเออร์ฟิสต์ทำให้เดดพูลเชื่อมโยงกับอดีตของเขาได้” เวอร์นิคเล่าว่า “มันคล้ายกับพ่อ-ลูกกัน เว้นแต่เดดพูลเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องที่สุดในโลก เขาทั้งลามก น่ารังเกียจ น่ารำคาญและชอบแหกกฎ”

“ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้เลยครับ ด้วยความที่พวกเราอยู่ในเรื่อง “Hunt for the Wilderpeople”” ซูดเล่าว่า “คุณไม่รู้หรอกว่าตัวละครนั้นเหมือนจูเลียนขนาดไหน เขาเป็นแบบนั้นเลย เขาเป็นนักแสดงที่มีความเป็นธรรมชาติ การเล่นมุกของเขาดูน่ารักและได้จังหวะ มันสนุกมากครับที่ได้ดูเขา เขาต้องรับบทคู่กับไรอันและจอช เขาเป็นเพื่อนร่วมแสดงที่น่ากลัว เขามีแนวทางของตัวเอง”

 

โมรีนา แบคคาริน ในบท วาเนสซ่า

โมรีน่า แบ็คคาริน กลับมารับบทวาเนสซ่า คนรักของเว้ด วิลสัน เธอเล่าว่า “เหมือนภาคแรกมากเลยค่ะ ภาคนี้ตลกมาก ฉากแอคชั่นอัดแน่น มีความสนุกและสื่อความรู้สึกได้ชัดเจนและงดงาม มีทั้งช่วงที่ต้องเจ็บปวด เป็นเรื่องราวที่งดงามเกี่ยวกับชีวิต ความตาย และไปจนถึงความรัก ความหมายของการมีครอบครัว

“การร่วมงานกับไรอันมันวิเศษทุกครั้งค่ะ” เธอเล่าว่า “เขาเป็นคนตลกและทุ่มเทกับโปรเจ็กต์นี้มากค่ะ เขามีความมุ่งมั่นและมันก็มีประโยชน์ เพราะเราสามารถทำงานเสร็จได้อย่างรวดเร็ว แต่เราก็ต้องสนุกเวลาทำงานด้วย แน่นอนว่ามันมีการแสดงสดเยอะมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะเขาส่งบทให้ฉัน หลายครั้งฉันก็เป็นฝ่ายเล่น”

พูดถึงความสำเร็จจากภาคแรก แบ็คคารินเล่าว่า  “ฉันคิดว่าทุกคนรักในความไม่แยแสกับอะไรทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ตัวละครของเขา แต่เป็นที่ตัวหนังเลย ไม่มีอะไรเด่นเกินหน้า ทุกคนเรียกความสนใจได้หมด ไม่มีใครรอดจากการเล่นมุกเพื่อสร้างความฮา ไม่มีช่วงที่อึดอัดเลย มันจะโผล่ตรงหน้าเราอย่างจัง แต่มาแบบสนุกสนาน”

เธอสนุกกับการได้ร่วมงานกับลีตช์ “เดวิดเป็นคนที่เก่งมากค่ะ” เธอเล่าว่า “เขาใจเย็น มีสมาธิมาก เรารู้สึกว่ามันควรมีความซับซ้อนมากขึ้นในหนังแบบนี้ แต่ยังไงต้องบอกว่าพวกเขาทรมานฉันด้วยการแสดงใต้น้ำเยอะมาก” เธอพูดติดตลก ในหนังเรื่องนี้แบ็คคารินต้องแสดงฉากใต้น้ำหลายฉาก เธอเล่าว่า “ความกลัวที่สุดอย่างหนึ่งของฉันคือการดำน้ำลึกค่ะ พวกเขาส่งข้อความมาหาฉันว่า ‘รู้สึกยังไงกับการลงไปในแทงก์ขนาดใหญ่เพื่อแสดงฉากผาดโผนใต้น้ำ?’ ฉันตอบว่า ‘นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาส่งข้อความคุยกัน มันควรโทรคุยกันมากกว่า!’ พวกเขาคุยกับฉันและบอกว่าฉันต้องไปเรียนดำน้ำลึก ฉันต้องใช้ความพยายามและเผชิญหน้ากับความกลัว ฉันต้องลงไปแสดงในแทงก์ และฉันอยากพูดว่าไม่อยากทำแบบนั้นอีกแล้ว ฉันคิดว่าตัวเองอยู่ใต้น้ำ ลงไปอยู่ตรงเก้าอี้ 20 นาทีต่อครั้งเพื่อแสดงฉากนั้น มันน่ากลัวมากค่ะ”

 

ไบรอันนา ฮิลเดอแบรนด์ ในบท   เนกาโซนิก ทีนเอจ วอร์เฮ้ด    

ไบรอันนา ฮิลเดอแบรนด์กลับมารับบทเอ็นทีดับบลิว “เราตื่นเต้นมากที่เนกาโซนิก ทีนเอจ วอร์เฮ้ด กลับมาในภาคนี้” ซูดกล่าว “เธอคือหนึ่งในลูกเล่นที่แพรวพราวจากภาคแรก”

“นีกาโซนิคโตขึ้นมากจากภาคที่แล้ว” ฮิลเดอแบรนด์กล่าว “บางทีเธออาจจะเข้าใจตัวเองมากขึ้น เมื่อก่อนเธอจะเป็นคนดื้อมาก และฉันคิดว่าเธอยังคงมีความคิดของตัวเอง แต่เธอดูสบายใจมากขึ้นและไม่ต้องพยายามทำตัวดื้อเพื่อเป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป”

ในครั้งนี้เอ็นทีดับบลิวมีแฟนด้วย เป็นผู้หญิงชื่อยูกิโอะ รับบทโดยชิโอลิ คุตสึนะ ฮิลเดอแบรนด์เล่าว่า มันเป็นเรื่องตื่นเต้นสำหรับเอ็นทีดับบลิว และฉันคิดว่าความสัมพันธ์นั้นช่วยให้เธอโตขึ้นในแบบของเธอ บางทีการโตขึ้นมาพร้อมกับคนที่ต่างกับเราอย่างสุดขั้วอาจช่วยเราได้มาก” เธอสนุกที่ได้ร่วมงานกับคุตสึนะ “การร่วมงานกับชิโอลิสนุกมากค่ะ เธอเป็นคนน่ารักและมีความอ่อนหวานในตัวมาก แต่ในบทยูกิโอะเธอยิ่งดูน่ารักขึ้นเพราะผมสีชมพู! ในภาคแรกฉันไม่เคยคิดว่าจะมาอยู่ในภาคนี้พร้อมกับมีความรักเลย แต่มันก็ดีนะคะ สนุกดี” เธอรู้สึกตื่นเต้นกับความสัมพันธ์แบบใหม่ของเอ็นทีดับบลิว และไอเดียของคู่รักเลสเบี้ยนในจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่ “มันเป็นเรื่องใหม่ของโลกซูเปอร์ฮีโร่ ทั้งตื่นเต้นและดูมีพลัง พอโตขึ้นฉันรักการดูซูเปอร์ฮีโร่ที่ฉันเข้าใจมันได้ มันวิเศษมากเลยดีได้เป็นหนึ่งในนั้น”

ฮิลเดอแบรนด์สนุกกับบทและอย่างที่เธอเคยเตรียมตัวในภาคแรก เธอได้เขียนบันทึกให้กับ NTW “บางครั้งถ้าฉันหงุดหงิดสุดๆ ฉันก็จะเขียนในบันทึกของเธอค่ะ เพราะฉันรู้สึกเหมือนเป็นเธอ มันไม่ใช่บันทึกอย่างเต็มตัว แต่ก็ยาวเกินปีครึ่งที่ฉันเขียนมันมา” นักแสดงหญิงเล่าว่าการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตัวละครในโลกของหนังสือการ์ตูนมีข้อจำกัดอยู่ในตัว “มันมีความยากอยู่ในตัวเพราะเธออยู่ในหนังสือแค่ 2 เล่ม มันยิ่งยากสำหรับฉันในการดึงแรงบันดาลใจออกมาจากหนังสือการ์ตูน มันง่ายกว่าถ้าจะเขียนบันทึกและทำอะไรแบบนั้น เพราะมันทำให้ฉันได้ลงมือมากขึ้น” ฮิลเดอแบรนด์คิดว่าเธออาจเขียนเกี่ยวกับตัวละครของเธอมากกว่าที่ผู้สร้างตัวละครเขียนด้วยซ้ำ

 

ชิโอลิ คุตสึนะ ในบทยูกิโอะ

ชิโอลิ คุตสึนะมาร่วมงานในโลกของ “Deadpool” ด้วยบทยูกิโอะ คุตสึนะบรรยายถึงเธอว่า “เป็นสาวโตเกียวที่มีความสุขมาก มีทรงผมล้ำสมัยสีชมพู แต่เธอคือฆาตกรตัวร้ายเลยค่ะ เธอต่อสู้เป็น” ยูกิโอเป็นแฟนใหม่ของเอ็นทีดับบลิว “เอ็นทีดับบลิวชอบพูดจาเยาะเย้ยและเยือกเย็นมากกว่า ส่วนยูกิโอตรงกันข้ามในทุกอย่าง”

 

คาแรน โซนิ ในบทโดพิเดอร์

คาราน โซนิกลับมารับบทคนขับรถของเดดพูลที่ชื่อ โดพิเดอร์ คนขับรถแท็กซี่ เขาเล่าว่า “ผมรักตัวละครนี้มากครับ ผมโตที่อินเดียสำหรับผมแล้ว โดพิเดอร์เป็นคนที่รวมความหลากหลายของคนที่ผมขึ้นมาด้วย ก็สนุกดีครับ ผมไม่เคยต้องพูดสำเนียงอินเดียมาก่อนเลย มันเลยสนุกมากเพราะรู้สึกเหมือนได้ใช้สิ่งที่มีในตอนเด็ก ผมคิดว่าความเจ๋งของตัวละครนี้คือตอนที่เดดพูลได้พบกับเขา เขาไม่ได้ล้อเลียนอะไรเลย ในทางกลับกันมองเป็นเพื่อนและอยากช่วยเหลือด้วยซ้ำ โลกของเดดพูลมีความหดหู่และโหดร้ายมาก ผมไม่รู้ว่าโดพิเดอร์เห็นทุกอย่างหรือเปล่า ใบหน้าของเขาแค่มีรอยยิ้มอย่างเดียว เขามีส่วนสร้างความเท่ให้จักรวาลเพราะหนังมีความหดหู่ และถือเป็นเรื่องดีที่มีตัวละครนี้มาสร้างความสดใส ก้าวเดินและขับรถไปในทุกที่อย่างไร้พิษภัย”

โซนิเล่าว่า “ในภาคสองแรงผลักดันของ Dopinder เปลี่ยนแปลงไป เขามีแรงผลักดันจากความรัก ในภานี้เขามีเดดพูลเป็นแรงผลักดัน เขายึดเป็นแบบอย่างและอยากเป็นแบบเขา มันสนุกมากครับและได้ทำอะไรบ้าๆ ด้วย” เขาเล่าถึงสิ่งที่เขาชอบเป็นพิเศษว่า “การเดินของซูเปอร์ฮีโร่แบบสโลโมชั่น เราไม่ได้ถ่ายทำกันแบบสโลโมชั่น แต่เวลาพวกเขาฉายย้อนหลังแบบสโลโมชั่น มันเป็นอะไรที่เท่สุดๆ! มันเหมือนความฝัน เป็นอะไรที่เท่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นเลย”

 

เลสลี่ อูแกมส์ ใน อัลตาบอด

“พอฉันใส่วิกนั่น ทุกอย่างก็ย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว” นักแสดงหญิงและนักร้องเจ้าของรางวัล Tony และ Emmy เลสลี่ อูแกมส์ ผู้กลับมารับบทรูมเมทของเว้ด อัลตาบอดกล่าว

“ฉันรักตัวละครนี้มากค่ะ มันสนุกดีที่ได้กลับมาเล่นเป็นเธออีกครั้ง เป็นตัวละครที่สนุกเพราะเธอตรงกันข้ามกับตัวฉันเลย เธอไม่สนใจอะไร เธอพูดทุกอย่างแบบที่ใจคิด และเธอชอบสาดคำหยาบตลอด ฉันคิดว่ามันมีเสน่ห์ด้วยนะคะ เพราะเราคิดว่าเธอตาบอด เธอน่าจะเป็นคนเงียบและดูขรึม ซึ่งมันตรงกันข้ามเลย เธอจะอยู่ในทุกที่และไม่สนใจอะไรที่ไร้สาระ เธอจะพูดทุกอย่างที่เธออยากพูดออกมา ฉันว่านั่นทำให้มิตรภาพระหว่างเธอกับเว้ดออกมายอดเยี่ยมมาก เหมือนเป็นเพื่อนซี้ เหมือนเป็นแม่ลูกกัน เพราะเขารู้ว่าทุกอย่างที่เขาพูดกับเธอคือปลอดภัย เวลาเกิดเรื่องงี่เง่าเขาจะดึงเธอเข้ามาอยู่ด้วย เพื่อให้คอยบอกเขาว่าต้องทำยังไง แต่มันต้องจบในประโยคเดียวอย่างรวดเร็ว เธอเหมือนกับนักบวช เวลาที่เขาอยากสารภาพอะไรก็ตาม เธอจะคอยรับฟังและให้คำแนะนำเขา มิตรภาพระหว่างพวกเขามันเกินกว่ารูมเมท มันมีความลึกซึ้งระหว่างพวกเขาค่ะ”

 

เอ็ดดี้ มาร์แซน ในบทครูใหญ่

เอ็ดดี้ มาร์แซนรับบทครูใหญ่ บ้านบรอดสโตน โรงเรียนเอสเส็กซ์เพื่อเยาวชนเขาเล่าว่า  “โรงเรียนพยายามสอนบรรดาเด็กที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ ให้ควบคุมการกระตุ้นการแสดงพลังพิเศษออกมา ครูใหญ่ เป็นผู้บุกเบิกที่พยายามสอนเด็กๆ ให้ควบคุมแรงกระตุ้นของพวกเขา” เขาเล่าว่าการออกแบบฉากและโปสเตอร์มีการประชาสัมพันธ์ ซึ่งเขาอธิบายว่าครูใหญ่ คือรากฐานสำคัญของยีน”

บรรดาเด็กกำพร้าล้วนเป็นมนุษย์กลายพันธุ์วัยเด็กที่มีพลังพิเศษ ครูใหญ่ได้พัฒนาการบำบัดกระบวนการรับรู้ ทำให้พวกเขาหยุดแสวงหาพลังพิเศษ มาร์แซนเล่าว่า “เขาสร้างความเจ็บปวดขึ้นมา ฉะนั้นเวลาที่พวกเขาคิดจะใช้พลัง พวกเขาจะจดจำความเจ็บปวดที่มีได้และเลิกใช้มัน”

ครูใหญ่ได้ทรมานรัสเซลเหมือนกับที่ทรมานมนุษย์กลายพันธุ์เด็กคนอื่นๆ มาร์แซนเล่าว่า “เหตุผลหนึ่งที่รัสเซลกลายเป็นคนไม่ดีและอันตราย เพราะสิ่งที่ครูใหญ่เคยทำเอาไว้” มาร์แซนสนุกที่ได้ร่วมงานกับเดนนิสันและเล่าว่า “เขาเป็นนักแสดงที่เก่งมากครับและเป็นเด็กที่น่ารักด้วย เขามีมุกตลกที่เจ๋งสุดๆ”

 

ที.เจ. มิลเลอร์ ในบท วีเซล

ที.เจ. มิลเลอร์กลับมารับบท วีเซล ผู้หญิงของเดดพูล มิลเลอร์เล่าว่า “นอกจากการเป็นผู้ดำเนินบาร์มือปืนรับจ้าง ยังมีโรงเรียน Sister Mary Margaret สำหรับหญิงไร้บ้าน เขายังมีการค้าอาวุธด้วย นั่นคือความลึกลับเกี่ยวกับเขาที่สำคัญ พวกเขามายุ่งกับคนพวกนี้ได้ยังไง? เขาไม่มีเพื่อนที่ไหนเลยเว้นแต่เดดพูล หลายครั้งเขาก็เป็นเพื่อนที่ดูสับสน วีเซลกับเว้ดไม่ใช่หุ้นส่วนกัน พวกเขาทานร่วมกับ แต่วีเซลมีพนันด้วยชีวิตกับเขา เหตุผลเดียวที่พวกเขาคบกันเป็นเพื่อนคือไม่มีใครเห็นแก่ตัวเหนือกว่าใคร“

นักแสดงเดี่ยวคอมเมดี้และนักแสดง มิลเลอร์เล่าว่า “”เดดพูล” ไม่ใช่แค่คอมเมดี้ นี่เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่และแอคชั่นด้วย บ่อยครั้งที่หนังแนวนั้นแทบจะเป็นหน้าที่ของผมในการสร้างความตลกและเรียกเสียงหัวเราะดังลั่น ก่อนที่จะมาถึงฉากแอคชั่นหรือขับรถไล่ล่า ความเจ๋งอยู่ที่ไรอันปล่อยมุกส่วนใหญ่ออกมา ผมเลยแค่เสริมบางอย่างเข้าไป เพราะเราอยากให้ทุกคนหัวเราะตลอดทั้งเรื่อง จนกว่าพวกเขาจะร้องไห้หรืออ้าปาก้าง เราอยากให้พวกเขาหัวเราะออกมา!”

มิลเลอร์เล่าว่า “หลังจากภาคแรก ผมพูดว่าไม่สนใจแล้วว่าพล็อตเรื่องจะเป็นยังไง ขอแค่ให้วีเซลมีปืนก็พอ มันน่าจะสนุกทีเดียวเลยล่ะ’ ผมไม่เคยได้ยิงปืนในหนัง ผมมีแต่ความฉลาดตลอด วีเซลเลยได้พกปืนภาค 2 แต่เขาไม่ได้ยิงเลย เพราะผมลืมบอกไปว่า ขอให้วีเซลมีปืนและได้ยิงปืน’” ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแล้ว มิลเลอร์เฝ้ารอว่ามันจะเป็นแบบนั้นใน Deadpool 3

มิลเลอร์กล่าวเสริมว่า “เร็ตต์และพอลมีความเป็นทีมและให้ความร่วมมือกันมาก พวกเขาฉลาด มีความว่องไว และที่สำคัญสุดคือคอยจุดประเด็นไอเดียดีๆ ในห้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมผลักดันตัวเองเสมอมา และไรอันก็ทำแบบเดียวกัน เพราะบทของผมไม่ค่อยเยอะ ทุกวันผมจะปรากฏตัวด้วยการแสดง 15, 20 บรรทัด และเรามีการคุยกันในฉาก ฉะนั้นบทสนทนาของวีเซลจะมาจากการร่วมมือกัน ไรอันคอยเล่นมุกกับผมตลอด และผมก็จะหยอกเขากลับไป ส่วนเร็ตต์และพอลก็จะคอยแหย่พวกเรา ผมคิดว่าเหตุผลหนึ่งภาคแรกออกมาดีมากคือมีการร่วมมือกันอย่างเต็มที่”

 

โคลอสซัส

อังเดร ทริโคเท็กซ์กลับมารับหน้าที่แสดงเป็นโคลอสซัส ขณะที่เสียงและการจับภาพการแสดงสีหน้าเป็นหน้าที่ของสเตฟาน คาพิซิค ทริโคเท็กซ์อยู่ในฉากรับบทโคลอสซัสระหว่างถ่ายทำ ทริโคเท็กซ์เล่าว่า  “โคลอสซัสมาจากรัสเซียและเขาคือหนึ่งเอ็กซ์-เม็น เขามีความรู้ ไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับอะไร สุภาพอ่อนโยน และไม่ค่อยโกรธ เขาคอยใส่ใจคนอื่นเหมือนกับพี่ชายคนโต เขากลายเป็นโลหะและมีความแข็งแกร่ง รวดเร็ว และมีพลังอย่างเห็นได้ชัด เดดพูลและโคลอสซัสมีความเป็นพี่น้องอยู่ในตัว โคลอสซัสเหมือนกับความมีศีลธรรมในตัวเดดพูล เขาพยายามทำให้อยู่ในร่องในรอยตลอด พยายามช่วยให้เขากลายเป็นเอ็กซ์-แมน ส่วนเดดพูลจะคอยหาทางทำลายล้างทุกอย่าง”

 

แจ็ค เคซี่ ในบทแบล็ค ทอม แคสซิดี้

แจ็ค เคซี่รับบทแบล็คทอม หนึ่งในผู้ที่ถูกกักกันตัวอยู่ในห้องคุมขังมนุษย์กลายพันธุ์ ที่นั่นมนุษย์กลายพันธุ์ทุกคนต้องสวมปลอกคอเพื่อป้องกันพวกเขาใช้พลังพิเศษ ตัวละครของเขาที่ทำทรงเดรดล็อคและมีรอยสัก ไม้กางเกงเซลติคขนาดใหญ่บนหลัง เขาเล่าว่า “ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย แต่ผมรักในภาพรวม มันวิเศษมากเลยครับ”

ตอนที่เว้ดและรัสเซลเดินทางมาถึงเรือนจำของมนุษย์กลายพันธุ์ แบล็คทอมและสลักโก้คู่หูของเขาที่รับบทโดยโรเบิร์ต เมลเล็ตมีทุกอย่างที่เขาต้องการ โดยทอมได้ขู่รัสเซลที่เป็นเด็ก เคซี่เล่าว่า  “แบล็คทอมมองเห็นพลัง ความเป็นเด็ก ความแข็งแกร่ง ศักยภาพของเขา และเขาต้องการทุกอย่าง เขาเป็นคนชอบวางแผนเสมอจึงพยายามหาทางให้ได้มา”

 

เซอร์ไพรส์!! พบกับดิ เอ็กซ์-ฟอร์ซ

การเก็บเนื้อเรื่องและแม้แต่ตัวละครไว้เป็นความลับ จึงมีการสร้างโค้ดรายชื่อให้กับตัวละครหลักทุกตัวในบทรวมถึงชื่อจริงด้วย จึงมีการแกะโค้ดขึ้นมา สำหรับทุกคนที่มีส่วนร่วมในการสร้างหนัง ถือเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะเก็บมันไว้ระหว่างอ่านบทภาพยนตร์

นี่เป็นความท้าทายสำหรับผู้เขียนบทอย่างหนึ่งเลยครับ “เราไม่สามารถอ่านบทด้วยโค้ดรายชื่อได้ เพราะมันดูสับสนมาก” เวอร์นิคกล่าว “ไรอันคือแชปลินหรือคีตัน ขึ้นอยู่กับว่าเขาเป็นเดดพูลหรือเว้ด มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีการเล่าหรือแนวทางเพื่อให้เราเข้าใจถูกต้อง บางครั้งมันเหมือนการทำงานให้ซีไอเอ เป้าหมายคือรักษาความสดใหม่ของภาพยนตร์ไม่ให้เกิดการสปอยล์”

แต่ทุกอย่างก็เป็นความลับที่คุ้มค่า แฟนๆ จะได้ตื่นเต้นกับการพบซูเปอร์ฮีโร่ที่ไม่มีการเปิดเผยตัวมาก่อน ที่เดดพูลเป็นผู้รวมตัวเพื่อต่อสู้กับศัตรู เมื่อพวกเขาต้องทำภารกิจใหม่ที่ขนานนามตัวเองว่าเอ็กซ์-ฟอร์ซ

ซูดเล่าว่า “นั่นเป็นสิ่งที่เราพยายามปกปิดเอาไว้ห้มากที่สุด มันเป็นเรื่องยากเวลาที่เราออกไปอยู่ในใจกลางเมืองแวนคูเวอร์ และมีผู้คนมากมายเฝ้าดูอยู่  หวังว่ามันจะสร้างความตะลึงให้กับผู้ชม”

เทอร์รี่ ครูวส์รับบทเบดแลม “ผมแสดงหนังแอคชั่นคอมเมดี้มาหลายปีครับ” เขากล่าว “แต่นี่เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องแรกของผม หลายคนรู้สึกว่าผมน่าจะเล่นแนวนี้มานานแล้ว แต่มันต้องอาศัย “เดดพูล” พาเทอร์รี่ ครูว์สมาอยู่ในซูเปอร์ฮีโร่และผมรักเลยครับ” เขาเล่าถึงทีมว่า “เว้ดเลือกที่จะสร้างเอ็กซ์-เม็นในแบบของเขาขึ้นมา เขาสร้างทีมของเขาและกลายเป็นกลุ่มที่แสบสุดขั้ว”

“เบดแลมเป็นตัวละครที่สุดยอดมากครับ” ครูว์สกล่าว “เขาสามารถควบคุมสนามไฟฟ้าได้ สามารถทำให้เราเจ็บปวดและสับสนได้ มันเป็นอาวุธในเชิงจิตวิทยา เขาส่งพลังออกมาจากสมอง”

ลูอิส แทนรับบทแชตเตอร์สตาร์ เขาอธิบายว่าเป็น “นักรบชีวภาพจากอีกดาวหนึ่งที่มีนักต่อสู้เลี้ยงดูเขาขึ้นมา เขาต้องสู้เพื่อเงินและการแสดง เขามีทรงผมที่กวนประสาทและกระดูกกลวง เขาใช้ดาบเป็นและสามารถส่งคลื่นสั่นสะเทือนผ่านตัวพวกเขาได้ เขาถูกวางแผนให้เป็นนักรบที่แกร่งที่สุดและเกิดมาเป็นนักฆ่าโดยสัญชาตญาณ”

พ่อของแทนเป็นสตั๊นท์แมนและผู้ประสานงานด้านการต่อสู้ เขาเป็นเพื่อนของลีตช์ แทนเล่าว่า “ผมโตมาในฉากพร้อมกับเดวิดและฝึกฝนเขาอย่างเต็มที่”

 

สำหรับการซ่อนความลับเกี่ยวกับเอ็กซ์-ฟอร์ซ แทนเล่าว่า “ผมนึกภาพว่าสายลับหรือเอฟบีไอคงเป็นแบบนี้ มันมีความลึกลับซ่อนเร้น ผมบอกครอบครัวหรือเพื่อนไม่ได้เลย”

บิล ซาร์สการ์ดที่เพิ่งรับบทตัวตลกเพนนีไวซ์ที่น่ากลัวในภาพยนตร์เรื่องดัง “It” มารับบทไซต์ไกสต์ซาร์สการ์ดเล่าว่า “ไซต์ไกสต์สามารถอาเจียนออกมาเป็นกรดและเผาคนได้”

ไซต์ไกสต์ถูกเคลือบอยู่ในหมึก ไซต์ไกสต์เคยร่วมงานกับลีตช์ในเรื่อง “Atomic Blonde” ได้เล่าว่า “เดวิดชอบนักสเก็ตและความสวยของกราฟฟิตี้ ซึ่งมันก็เหมาะกับคนที่อาเจียนออกมาจนทำให้คนตายได้ ไซต์ไกสต์มีรอยสักเขียนว่า “กินแม่มและตายซะ””

ร็อบ ดีลานีย์รับบทปีเตอร์ “เขาเหมือนกับคนทั่วไปที่มีเหตุผลบางอย่างในการมาตามโฆษณาที่เดดพูลประกาศไว้ คนอื่นๆ ที่มาตรงตามหลักของซูเปอร์ฮีโร่ที่มีพลังจากการกลายพันธุ์หรือมีพลังบางอย่าง ส่วนปีเตอร์ไม่มีพลังอะไรเลย เขาเป็นคนจริงจัง ไม่งี่เง่า และผมคิดว่าเดดพูลนับถือตรงนั้น เพราะทุกคนจะมาแบบ ‘หืมม ฉันมีพลังในการทำแบบนี้ได้’ ส่วนปีเตอร์ ‘เฮ้ ผมอยากช่วยนะ’ ความมุ่งมั่นของเขาตรงประเด็นมาก เขาอยากทำอย่างเต็มที่ แน่นอนว่านั่นก็ครึ่งทางของการต่อสู้แล้ว”

 

ภาพลักษณ์ของ “DEADPOOL 2”

ทีมที่นำ “Deadpool 2” มาสู่จอภาพยนตร์ ยังรวมถึงเหล่าผู้สร้างสรรค์ที่เคยร่วมงานกับเดวิด ลีตช์ ผู้กำกับภาพ โจนาธาน เซล่า ถ่ายทำทั้ง “John Wick” และ “Atomic Blonde”

ผู้ออกแบบฉาก เดวิด ชูเนอแมน เคยร่วมงานกับลีตช์มาแล้วในเรื่อง “Atomic Blonde” รวมถึงหนังอีกหลายเรื่อง ในเรื่อง “Deadpool 2” ชูเนอแมนเจอความท้าทายทั้งการสร้างห้องขังขนาดใหญ่สำหรับมนุษย์กลายพันธุ์ รวมถึงสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้าสำหรับมนุษย์กลายพันธุ์ที่เป็นเด็ก

สถานีย่อยพอร์ทแมนที่เซอร์รีย์ ใกล้แวนคูเวอร์ถูกแปลงให้เป็นเรือนจำมนุษย์กลายพันธุ์ ชูเนอแมนเล่าว่า “เรือนจำคือส่วนที่ลึกลับสุดในโลกของมนุษย์กลายพันธุ์ที่จะพอนึกภาพได้ มันน่าตื่นเต้นมาก เป็นพื้นที่ๆ ผ่านการไตร่ตรองและงดงาม แต่เราเลือกที่จะใช้คอนเซปต์ง่ายๆ ทุกอยางขึ้นอยู่กับการใช้งานและเราจะขังพวกเขาออกมายังไง” แต่ละห้องจะเป็นห้องใส แขวนอยู่บนกำแพงและห้องต่างๆ สามารถย้ายได้

สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบ้านบรอดสโตนโรงเรียนเอสเส็กซ์เพื่อเยาวชนถูกสร้างขึ้นมาที่ริเวอร์วิว โรงพยาบาลจิตเวชที่สำคัญในอดีตด้านนอกของแวนคูเวอร์ ชูเนอแมนเล่าว่า “ภาพย้อนยุคถูกอิงจาก 2 สิ่ง เมื่อเราอยู่ในโลกของหนังสือการ์ตูน เราไม่อยากให้ทุกอย่างดูตรงตามจริง 100% เมื่อเทียบกับโลกปัจจุบันอย่างที่เราเห็น เราอยากมีอิสระมากขึ้น ผมใช้มันพยายามหาคอนเซปต์สถาปัตยกรรมและการออกแบบที่เหมาะสม จากยุคอื่นๆ ที่ทำให้เรื่องราวได้ภาพที่เหมาะสม เราใส่ความหยาบของความทันสมัยยุคกลางศตวรรษเข้าไปในสถานที่ตั้งแต่ปี 1910 และ 20 จากนั้นก็กลายเป็นความแปลกใหม่ มันง่ายมากที่จะเกิดขึ้นได้ยังไงและเพราะอะไร ริเวอร์วิวเป็นสถานที่สวยงาม แต่อาคารจริงไม่มีพื้นที่อย่างที่เราต้องการสำหรับองก์ที่สาม พวกเขาทำให้เราได้อีกด้านหนึ่งของมัน” ฝ่ายศิลป์จะปรับปรุงพื้นที่ด้วยสร้างภูมิศาสตร์ใหม่ สร้างตึกใหม่ติดกับตึกเก่า “เราสร้างสนามเด็กเล่นขึ้นมา แต่เหมือนกับสนามเด็กเล่นของฉาก ผมไม่อยากขยายตึกในแบบยุคพีเรียด ผมอยากให้มันดูน่ากลัวไม่ค่อยพบเห็นมากกว่า เราเลยผสมความแตกต่างของ 2 ยุคเข้ากัน

“สิ่งอื่นเกี่ยวกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าคือการรณรงค์ที่มารวมตัวกัน มันเกิดจากองค์ประกอบของการ์ตูนอเมริกันจากยุค 40 และ 50 จากนั้นเราผสมกับไอเดียประหลาดๆ ของครูใหญ่ รวมถึงภาพวิชวลที่เราเห็นกลิ่นไอของเผด็จการ”

ชูเนอแมนเล่าต่อว่า “ผมได้รับความร่วมมือที่ดีมาก และทีมตกแต่งฉากที่คุมโดยแซนดี้ วัลเกอร์มีคงานที่ใส่ใจรายละเอียดและสร้างความสนุกสนานขึ้นมาได้มาก”

 

“มันมีไข่อีสเตอร์อยู่ทั่วทุกที่เลยครับ” ชูเนอแมนกล่าว การร่วมงานกับผู้ควบคุมการกำกับศิลป์ แดน เฮอร์แมนแซน ผู้กำกับศิลป์ โรเจอร์ ไฟเออร์ส ที่มาสร้างและวางไข่อีสเตอร์ “Deadpool 2” อัดแน่นไปด้วยมุกที่ซ่อนอยู่ มีความหมายพิเศษกับแฟนๆ หนังแฟรนไชส์ที่เหนียวแน่น ผลงานล้ำค่าหลายเรื่องสำหรับภาพยตร์ยังรวมถึง “The Goonies” the Alpha Flight, Canadiana ทุกสิ่งที่เป็นมาร์เวลและอะไรมากกว่านั้น ผู้สร้างภาพยนตร์จัดวางไข่อีสเตอร์ไว้อย่างดีในทุกสถานการณ์และทุกฉาก

แดน กลาสทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ในฉากต่างๆ ของภาพยนตร์ และถ่ายทอดความสามารถของเขาสู่ภาพยนตร์เรื่อง “Deadpool 2” กลาสพบกับผู้กำกับฯ ครั้งแรกตอนที่ลีตช์เป็นสตั๊นท์แมนในภาพยนตร์ “Matrix” ภาคต่ออย่าง “Reloaded” และ “Revolutions” และพวกเขาได้ร่วมงานกันในหนังหลายเรื่อง อาทิเช่น “V For Vendetta” และ “Jupiter Ascending.” กลาสเล่าว่า “พื้นฐานของเดวิดผ่านผลงามาเยอะมาก มันชัดเจนว่าเขามีการทำงานเหมือน “Bourne” หรือภาพยนตร์ “James Bond” ที่ทุ่มเทอย่างจริงจังเพื่อให้สิ่งต่างๆ ใช้งานได้จริง แต่ธรรมชาติของ “Deadpool” จะมีบางอย่างที่ไม่สามารถทำได้ บางคนก็เหนือธรรมชาติและมีความเป็นโลหะ ผมเลือกที่จะสร้างสิ่งต่างโดยผสมผสานกันให้ออกมาอย่างลงตัวกับไลฟ์แอคชั่นและภาพที่ถ่ายจริงดีกว่า มันเห็นชัดว่าเขาต้องการผลักดันไปสู่ทิศทางนั้นให้ได้มากที่สุด”

กลาสเล่าว่า “เดวิด ลีตช์ และ เดวิด ชูเนอแมนและโจนาธาน ซีล่าได้สร้างภาพรวมและผลิตภาพถ่ายสวยๆ ที่ใช้งานได้จริงออกมา เป็นการออกแบบฉากและแสงไฟที่งดงามอย่างน่ามหัศจรรย์ เป็นแหล่งอ้างอิงการทำงานให้เราเวลาที่ต้องการความร่วมมือในฉากต่างๆ หรือสร้างฉากต่างๆ การมีสิ่งต่างๆ เช่นภาพถ่ายที่มีพลังและอ้างอิงมาจากความจริงเป็นการถ่ายทอดออกมาอย่างน่ามหัศจรรย์”

อังเดร ทริโคเท็กซ์ต้องสวมชุดโมแคพเพื่อแสดงเป็นโคลอสซัส นักแสดงตัวสูงแต่ไม่ถึง 17 ฟีตแบบตัวละคร ฉะนั้นในฉากเลยต้องสวมหมวกเพื่อชดเชยความสูงของโคลอสซัส กลาสเล่าว่าพวกเขาระบายสีหมวกด้วยโลหะ เขาเล่าว่า “ไม่มีอะไรผิดปกติสำหรับการนำอะไรมาอ้างอิง เวลาที่เราถ่ายทำตัวละครคอมพิวเตอร์กราฟฟิค แต่ผลงานหนึ่งที่เซอร์ไพรส์และตื่นเต้นคือการสะท้อนของแสงไฟที่สาดส่องบนสภาพแวดล้อม”

ความท้าทายอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญมากคือเขาเล่าว่า “เราจะออกแบบท่าทางในฉากการต่อสู้ระหว่างตัวละครซีจีที่มีขนาดใหญ่มาก 2 ตัวได้ยังไง? ตัวหนึ่งก็ [จักเกอร์นอท] ขนาด 9 ฟุต 6 และอีกตัวก็ 7 ฟุต 6 [โคลอสซัส] เมื่อตัวละครมีขนาดใหญ่ขึ้น ก็ต้องมีการเคลื่อนไหวและมีท่าทางที่ต่างันไป ต้องอาศัยวิชวลเทคนิคของการสร้างโมชั่นแคพเจอร์เยอะมาก และบางส่วนก็ต้องใช้ทีมผาดโผนมาช่วยและออกแบบท่าทาง ซึ่งมีความยากมากขึ้นเมื่อตัวละครมีขนาดใหญ่ขึ้น นี่เป็นความท้าทายที่น่าสนุกในการได้ลองและทำให้มันดูน่าเชื่อถือ”

กลาสเล่าเสริมว่า “บอกตรงๆ ว่าความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สุดคือสิ่งที่แฟนๆ คาดหวังจากหนัง “Deadpool” ต้องพยายามทำให้แน่ใจว่าเรากำลังสร้างภาพยนตร์ที่มีจุดมุ่งมั่นและเป้าหมาย แต่ใส่ใจสิ่งที่ผู้ชมต้องการโดยไม่เบี่ยงเบนทิศทางมากเกินไป”

“Deadpool 2” มีการแนะนำตัวละครใหม่มากมายในเรื่อง รวมถึงไฟร์เออร์ฟิสต์กลาสเล่าว่า “ผมไม่อยากให้เราสร้างตัวละครที่เสกเปลวไฟขึ้นมาจากมือได้ ผมคิดว่ามันดูมหัศจรรย์เกนไปและเชื่อได้ยาก เราเลยคิดว่าอาจจะทำให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยให้เขาสามารถปล่อยพลังความร้อนออกมาจากมือได้ ซึ่งนั่นก็คือระเบิดความร้อน มือของเขาร้อนสุดๆ และสามารถถ่ายทอดพลังออกมาได้ ซึ่งจะเป็นอากาศที่ร้อนจัดหรืออะไรที่ร้อนจัดก็ได้จนสร้างแรงกดดัน และความกดดันสามารถทำลายล้างสิ่งต่างๆ รอบตัว ฉะนั้นถ้าเรากระตุ้นแรงกดดันนั้นกะทันหัน ข้าวของจะเริ่มแตก กระจกแตก พื้นแยกตัว ไม้ระเบิด ฯลฯ แต่ขณะเดียวกันเนื่องจากมันร้อนสุดๆ ทุกสิ่งปะทุจนทำให้ทุกอย่างลุกเป็นไฟ เราจึงเล่นกับไอเดียนี้ที่เขาปล่อยพลังความร้อนออกมา เห็นการทำลายล้างและสิ่งต่างๆ ลุกเป็นเปลวไฟ เราจะสัมผัสถึง  ไฟเออร์ฟิสต์ได้ แต่อันที่จริงมันอาจดูแปลกแม้แต่ในโลกแห่งจินตนาการก็ตาม มันดูน่าเชื่อถือขึ้นมาอีกนิดนึง และมีความแตกต่างกับสิ่งที่เราอาจเคยเห็นมาก่อนเล็กน้อย”

ความท้าทายที่น่าสนุกอีกอย่างหนึ่ง กลาสเล่าว่า “เราพยายามใส่ฉากไล่ล่าที่มีความแตกต่างและตื่นเต้นลงไป แต่ไม่ใช่รถไล่ล่ากัน เป็นรถบรรทุกและรถเทรลเลอร์ขนาดยักษ์ที่กวดกันบนถนนในเมือง ขณะเดียวกันตัวละครต่างๆ ก็พยายามขึ้นไปบนรถจนเกิดการปล้นและอีกหลายอย่าง มันมีความตื่นเต้นมากมายครับ แค่พยายามนึกภาพความสมดุลระหว่างวิชวลกับฉากจริง วางแผนสำหรับสิ่งต่างๆ และปิดพื้นที่บริเวณกว้าง Downtown Vancouver เพื่อถ่ายทำ นั่นก็เป็ขั้นตอนที่ยุ่งยากและสสร้างความท้าทายอย่างตื่นเต้นแล้ว”

ฉากที่มีการคุ้มกันกลาสเล่าว่า “คือฉากขับรถไล่ล่าด้วยรถบรรทุกที่วิ่งฝ่าเมือง! และพยายามให้ได้เรื่องราวรวมถึงฉากแอคชั่นให้ได้มากที่สุด นั่นคือสิ่งที่ทำให้มันมีความน่าสนใจมาก มันมีทั้งแรงกระตุ้นและความตื่นเต้น มีความเครียดและมุกตลกเกิดขึ้นในหนัง”

ไม่ต่างจากภาคแรกที่ “Deadpool 2” ต้องถ่ายทำหลายฉากในใจกลาง Downtown Vancouver ผู้จัดการด้านสถานที่ แอน กูบี้ และกองถ่ายได้ร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับชาวเมืองเป็นเวลาราว 3 เดือนในการวางแผน “เมืองแวนคูเวอร์ช่างวิเศษมากในเรื่องการช่วยเหลือเรา” เธอกล่าว “มีการให้ความร่วมมือมากค่ะ” ในวันนึงที่มีฉากเกี่ยวกับยานพาหนะ จะต้องมีการปิดหลายช่วงตึกของเมืองที่มีความพลุกพล่าน และกองถ่ายต้องใช้พนักงานออฟฟิศ 32 คนจากกรมตำรวจแวนคูเวอร์ รวมถึงผู้ช่วยกองถ่ายอีก 90 คนเพื่อช่วย “คุมอย่างแน่นหนา” วันนั้นคือวันนหึ่งที่ถ่ายหนังอย่างอลังการที่สุดในแวนคูเวอร์จากประวัติศาสตร์ภาพยนตร์เลยค่ะ กูบี้เล่าว่า “มันคือที่สุดของการปิดถนนทั้งหมดเลย!”

“Deadpool 2” ถ่ายทำกันในเขตบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา นอกเหนือจากถนนต่างๆ ของ  Downtown Vancouver, Riverview Hospital และ Port Mann Substation ฉากด้านในจำนวนมากก็ถ่ายทำที่  Mammoth Studios ในเบอร์นาบี้ ฉากเอ็กซ์-แมนชั่นถ่ายทำที่ Royal Roads University ใกล้วิคตอเรียบนเกาะวแวนคูเวอร์

 

การแต่งตัวให้ออกมาเหมือนซูเปอร์ฮีโร่

ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เคิร์ต สวอนสัน และ บาร์ต มุลเลอร์ ที่เพิ่งออกแบบเครื่องแต่งกายใน “Ghost in the Shell” และ “The Hunger Games: Mockingjay” – ภาค 1 และ 2

เคิร์ตเล่าว่าเธอรักชุดของเดดพูลตั้งแต่ภาคแรก “ไรอันไม่อยากจะไปยุ่งอะไรกับมันมากค่ะ” แฟนๆ อาจไม่ทันสังเกตการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ หรอก เขาบอกแบบนั้น ซึ่งมันรวมถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ อย่างลวดลายสีแดงบนชุด “เราทำให้มันดูแข็งขึ้นเล็กน้อย เราทาสีโลหะลงไปที่ถุงมือ เข็มขัด และเกราะ” บาร์ตเล่าต่อว่า “การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญสุดคือการเปลี่ยนแปลงหน้าที่”

สำหรับเคเบิล เคิร์ตเล่าว่า “ในบทบอกอะไรหลายอย่างมากค่ะ เราเลยได้เห็นเขาที่อยู่ในฉากอนาตเลย ซึ่งมันดีมากเลยค่ะเพราะเหมือนกับทหารจากหนังไซไฟ แต่เขามาจากอนาคตแล้วย้อนมาปัจจุบันที่เราเรียกว่าชุดเดินทาง ตอนเขามาถึงที่นี่เขาไม่สวมเสื้อผ้าเย สุดท้ายเลยต้องหาเสื้อผ้าจากร้านกองทัพบก-กองทัพเรือ ที่รวมเข้าชุดไม่ได้มีแค่อาวุธเท่านั้น แต่รวมถึงเครื่องมือทั้งหมดด้วย เขามีแค่ข้าวของพื้นฐาน เช่น เสื้อทีเชิ้ต กาเกงทหาร รองเท้าบูท อะไรพวกนั้นเอง ซึ่งมันตรงตามเคเบิลในหนังสือการ์ตูน จุดที่เด่นชัดสุดของเขาคือแขนสีเงิน “แขนหุ่นยนต์ของเคเบิลสร้างขึ้นด้วยวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ค่ะ บาร์ตกล่าว “ภาพรวมทั้งหมดดูดีขึ้นมาก จุดเด่นตรงตามหนังสือการ์ตูนเลยค่ะ”

เคิร์ตเล่าถึงตอนเสนอคอนเซปต์แรกของโดมิโนให้เรย์โนลด์สฟังว่า “ฉันคิดว่าเราไม่อยากให้เธอสวมชุดนางแมวสีดำเงาเหมือนที่วาดภาพเธอเอาไว้ ครั้งแรกที่ไรอันเดินเข้ามาและเห็นงานออกแบบของเรา เขาคิดว่าเธอดูปราดเปรียว ซึ่งตรงตามหนังสือการ์ตูนเลย เขาอยากให้โลกรู้จักเธอมากกว่าการเป็นตัวละครเกเร และมีการยอมรับเธอมากขึ้น” บาร์ตเล่าว่า “มีความงดงามแบบดูสมจริง เต็มไปด้วยความรู้สึกและความเรโทรอยู่ด้วย ฉันคิดว่าเธอน่าสนใจนะคะ” บีตซ์กล่าว “ฉันรักในลุคของเธอ แต่ไม่คิดว่าคนทั่วไปจะรู้ว่าการสวมชุดของเธอเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ร่างกายทุกส่วนต้องทะเลาะกับชุดนั้น ทั้งเข่าและนิ้วเท้าเจ็บไปหมด แถมยังหายใจลำบากด้วย ฉันต้องแสดงฉากผาดโผนโดยติดชุดป้องกันกระดูก มันขยายไม่ได้เลย มันเป็นหนังทั้งหมดเลยหายใจแทบไม่ออก ทุกส่วนมันแน่นไปหมด”

มีนักแสดงที่อยู่ฉากหลังจำนวมากที่อยู่ในฉากห้องขัง บาร์ตเล่าว่า  “มันสนุกทุกครั้งที่เราต้องเล่นอะไรเกี่ยวกับห้องขัง เราใช้พื้นหลังเป็นส่วนหนึ่งของฉากได้ เพราะทุกคนสวมชุดแบบเดียวกัน มันน่าสนุกมากที่ได้เห็นว่าตัวละครต่างๆ จะสวมชุดยังไงในแบบเดียวกันให้มีความแตกต่าง”

เคิร์ตเล่าว่า “ภาคแรกดูเป็นหนังที่มีความก้าวร้าวไปหน่อย ผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่เรียกความสนใจจากแฟนๆ ได้ และผมคิดว่าความรู้สึกนั้นยังอยู่ในภาคนี้” บาร์ตกล่าวเสริม “แม้แต่การสร้างเอ็กซ์-ฟอร์ซ มันดูมีเศษเล็กเศษน้อยมาประกอบต่อกัน ดูไม่เรียบร้อยจนเกินไป”

เคิร์ตและบาร์ตร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ออกแบบฉาก ชูเนอแมน ตอนที่พวกเขามาร่วมการถ่ายทำ  ขั้นตอนการทำงานมาถึงช่วงการออกแบบตัวละครและภาพรวมของหนัง “เดวิด [ชูเนอแมน] เป็นผู้ร่วมงานที่เก่งมากครับ” บาร์ตกล่าว “เขาร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับหนึ่งในศิลปินด้านคอนเซ็ปต์ของเรา [สเตน ดาห์ลสเล็ตต์] ฉะนั้นแม้ว่าเราไม่เคยร่วมงานกันมาก่อน เราก็พูดจาภาษาเดียวกันได้ มันมีการแลกเปลี่ยไอเดียด้านวิชวลได้อย่างไหลลื่นทันควัน”

บาร์ตเล่าเสริมว่า “สิ่งที่ผมรักเกี่ยวกับเดวิด [ลีตช์] คือฉากแอคชั่นคอมเมดี้สุดยิ่งใหญ่ แต่มันสำคัญต่อเขามากที่มีภาพยนตร์ที่มีภาพชัดเจนขนาดนี้ โดยเซล่าและชูเนอแมน มันมีความทันสมัยและดูต่างจากแอคชั่นคอมเมดี้ฟอร์มยักษ์ทั่วไป”

ผู้ออกแบบการแต่งหน้า บิล คอร์โซ เคยร่วมงานมาแล้วในภาคแรกที่เว้ด วิลสันต้องแต่งรอยแผลเป็นานถึง 4 ชั่วโมง สำหรับ “Deadpool 2” เขาได้ออกแบบและวางแผนการแต่งหน้าของเรย์โนลด์ขึ้นมาใหม่ในเวลา 1 ชั่วโมง 45 นาที

เพราะร่างกายของเคเบิลมีอวัยวะแบบหุ่นยนต์ประกอบติดอยู่ หลายส่วนในร่างกายเป็นระบบเครื่องจักรและหุ่นยนต์ ลักษณะหน้าตาของเขามีการผสมผสานระหว่างการแต่งหน้ากับซีจี ขั้นตอนการแต่งหน้าของโบรลินต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงทุกวัน คอร์โซเล่าว่า “เคเบิลเป็นทหารที่เคยผ่านศึกสงครามมา เราเลยอยากให้เขาดูแกร่งและดูสมจริงหน่อย ซึ่งนั่นคือสิ่งที่จอชถ่ายทอดสู่บทบาทอย่างเห็นได้ชัด” ภาพรวมทั้งหมดของเคเบิลล้วนมีการถูกออกแบบไว้ สิ่งที่มีความสำคัญ อาทิเช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ อาวุธ การแสดงผาดโผน คอร์โซพูดเล่นว่า “เราสร้างตัวละครที่ออกแบบมาเพื่อทำลายเมคอัพชัดๆ! จอชต้องมีลำคอที่เป็นเหมือนหุ่นยนต์ เขาสวมชุดหนัง เข็มขัดติดปืนและโลดแล่นไปทั่ว” เขาเล่าต่อว่า “หน้าที่หลายอย่างของเราคือการสร้างผลงานศิลป์ในช่วงเช้า และช่วงที่เหลือก็ติดตามผลและซ่อมแซมมัน พยายามทำให้มันดูเหมือนผลงานศิลปะจนหมดวัน”

 

ปืนที่เคเบิลสร้างขึ้นมาใน “Deadpool 2” ได้รงบันดาลใจมาจากของเล่นที่ผู้ชำนาญด้านฉาก แดน ซิสซอนส์ อยากได้มาตลอดตอนเป็นเด็ก ซิสซอนส์เล่าว่า “มันมีถึง 7 ฟังก์ชั่น และเราคิดว่ามันคงสนุกดีถ้าอาวุธของเคเบิลมี 7 ฟังก์ชั่นเหมือนกัน”

เมื่อเคเบิลเดินทางมาสู่ยุคของเรา อาวุธสุดทันสมัยของเขากลับไม่ทำงาน เขาจึงไปอัพโหลดอาวุธที่ร้านสินค้าสำหรับกองทัพ และสร้างอาวุธขึ้นมาเองโดยใช้ปืสไนเปอร์ไรเฟิล Barrett ขนาด 50 ลำกล้อง; ปืนกลธอมป์สัน; AK-47; ขีปนาวุธ; ปืนกลมือ 9 มม.; ระเบิดมือ; ไฟฉายคุณภาพสูงที่ครอบคลุมทั่วพื้นที่และอะไรอีกหลายอย่าง อาวุธที่สำคัญที่สุดคือสวิตช์เพิ่มพลัง ปกติจะเป็น 10 แต่เคเบิลดัดแปลงให้มันถึง 11!

ปืนจริงมีน้ำหนัก 28 ปอนด์และถือได้ยาก ต่อมาจึงมาการปรับให้มีน้ำหนักเบาลงเพียง 14 ปอนด์ สุดท้ายจึงมีเวอร์ชั่นที่ 3 ขึ้นมา ซึ่งง่ายต่อการใช้และมีน้ำหนักแค่ 7 ปอนด์ ทั้ง 3 เวอร์ชั่นจะอยู่ในภาพยนตร์ขึ้นกับว่าเป็นการต่อสู้ฉากไหน

 

แอคชั่น!

ผู้ควบคุมการแสดงผาดโผน โจนาธาน “โจโจ้” ยูสไบโอ ได้พบกับเดวิด ลีตช์เมื่อหลายปีก่อนที่โรงเรียนศิลปะการต่อสู้ เมื่อลีตช์เข้าสู่การแสดงผาดโผน ยูสไบโอจึงตามมาด้วย เขาเล่าว่า “เดวิดเป็นที่ปรึกษาของผมด้านศิลปะการต่อสู้และในธุรกิจภาพยนตร์เช่นกัน ทุกอย่างที่เราทำอิงมาจากพื้นฐานศิลปะการต่อสู้ เราจะเห็นเสน่ห์ของมันหลายอย่างจากผลงานของเดวิด”

ยูสไบโอรู้สึกชื่นชมในการร่วมงานกับเรย์โนลด์ส “ครึ่งหนึ่งหรือ 3 ใน 4 ของอุปสรรคต่างๆ ที่เราเจอคือการออกแบบการแสดงผาดโผน มันจึงเป็นเรื่องดีมากที่มีคนเหมาะสมและพร้อมจะทำมัน มันทำให้การแสดงของเขาอยู่ในขั้นที่สูงขึ้น เพราะพวกเขาสามารถแสดงสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาได้จริง”

ยูสไบโอเล่าว่าการเคลื่อนไหวของเดดพูลเป็นที่ยอมรับในภาคแรก “เขาสามารถสมานแผลได้ เขาเลยทำทุกอย่างโดยไม่ระวังตามอารมณ์ เขามีความว่องไวและชอบอวดตัว มีลูกเล่นหลายอย่างและเคลื่อนไหวแบบกายกรรม ขณะที่มันดูสวยงาม เขาก็มีความผิดพลาดและมีไหวพริบอยู่ในตัว สไตล์การต่อสู้ของเขาเป็นที่ยอมรับ ฉะนั้นสิ่งที่เราพยายามทำคือไปไกลกว่านั้น เขามีทุกอย่างที่นักฆ่าเก่งๆ จำเป็นต้องมี เช่น อาวุธที่ดี อาวุธปืนและการเว้นจากอาการบาดเจ็บ มันทำให้เรามีอิสระมาก”

”Deadpool 2” ยิ่งใหญ่ ไร้สาระ และดูแพงกว่าภาคแรกเยอะ” ยูสไบโอกล่าว “ทุกฉากยกระดับเป็น 3 เท่าของภาคแรก ความท้าทายคือการทำสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน รักษาทุกอย่างให้มีความแปลกใหม่และมีชีวิตชีวา”