ชื่อไทย คนพิฆาตคอนแทรคเตอร์

วันฉาย 6 เมษายน 2565

จัดจำหน่าย บริษัท วอร์เนอร์ บราเดอร์ส ประเทศไทย จำกัด

ผู้กำกับ ทาริค ซาเลห์

เขียนบท เจ พี เดวิส

นักแสดง คริส ไพน์, เบน ฟอสเตอร์

คีย์เฟอร์ ซัทเธอร์แลนด์, กิลเลียน เจค็อบส์

และ เอ็ดดี้ มาร์สัน

เวลา 1 ชั่วโมง 43 นาที

ประเภท แอ็คชั่น ทริลเลอร์

เรื่องย่อ 

 

คริส ไพน์ นำแสดงในหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์สุดระห่ำ รับบทเป็นหน่วยรบพิเศษ เจมส์ ฮาร์เปอร์ ที่ดันถูกปลดประจำการอย่างไม่ทันตั้งตัวจากกองทัพ และโดนตัดบำนาญ ทำให้เขาไม่สามารถจ่ายหนี้สินหรือหาเลี้ยงครอบครัวได้ ความจนตรอกและซึมเศร้าทำให้ฮาร์เปอร์แอบติดต่อกับกองกำลังใต้ดินเพื่อรับงานที่เขาถนัดอีกครั้ง ทว่านับตั้งแต่ภารกิจแรกเขาก็ต้องพบกับความไม่ชอบมาพากล ที่ทำให้เขาตกอยู่ท่ามกลางการไล่ล่าขององค์กรปริศนาที่แทบจะเอาชีวิตไม่รอด
สมทบการแสดงโดย คีย์เฟอร์ ซัทเธอร์แลนด์, เบน ฟอสเตอร์, กิลเลียน จาค็อบส์ และ เอ็ดดี้ มาร์สัน
ภาพยนตร์แอ็คชั่นสุดระห่ำจากผู้สร้าง John Wick

 

เรื่องย่อขนาดยาว

 

เจมส์ ฮาร์เปอร์ (คริส ไพน์) ลูกชายของนาวิกโยธิน หัวหน้าหน่วย 18 เดลต้า และ หน่วยรบพิเศษมือเก๋าที่ผ่านสมรภูมิทั้งอิรักและอัฟกานิสถานมาแล้ว เจมส์อาศัยอยู่ในรถเทรลเลอร์กลางป่าห่างไกลจากครอบครัว เพื่อรักษาการบาดเจ็บเรื้อรังที่เข่าซ้าย และ คงความแข็งแรงของร่างกาย เพื่อรอรับใช้กองทัพที่เขาสังกัด ระหว่างนั้นเอง ที่ผลตรวจเลือดของเขาไม่บริสุทธิ์เพราะปนเปื้อนทั้งสารสเตียรอยด์สองชนิดและสารเร่งฮอร์โมน ทำให้เขาถูกปลดประจำการอย่างมีเกียรติแต่ไม่ได้สิทธิ์ประกันสุขภาพ ทำให้เขาต้องกลับไปพบกับปัญหาทางการเงิน ทั้งหนี้ท่วมหัว บ้านที่ใกล้จะถูกยึดและเสี่ยงล้มละลาย ด้วยมือเปล่า

 

ด้วยความผิดหวังและล้มเหลว เจมส์เล่าเรื่องทั้งหมดให้ลูกและภรรยาฟัง และใช้เวลาเป็นเดือนๆ จากนั้นพยายามแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งถึงแม้จะมีงานมาเสนอมากมายจากบรรดาผู้รับเหมาเอกชน เจมส์ก็ยังโหยหาการกลับสู่ปฏิบัติการทางทหาร บรีแอนนา (กิลเลียน เจคอบส์) ภรรยาของเขาจึงเริ่มหวาดกลัวว่าเจมส์ที่ไม่มีงานทำ จะต้องจบชีวิตแบบพ่อของเขา คือฆ่าตัวตายหลังจากผู้ปลดประจำการ

 

วันหนึ่งเจมส์ไปงานศพของเพื่อนทหารที่ฆ่าตัวตาย เขาได้พบกับคู่หูเก่าในกองทัพอย่าง ไมค์ เดนตัน (เบน ฟอสเตอร์) ที่ต่อมาชวนเขาไปดินเนอร์ที่บ้าน ทั้งคู่เริ่มแชร์ประสบการณ์บนโต๊ะอาหารที่ประกอบด้วย ภรรยาของไมค์ คริสตีน (ไทเนอร์ รัชชิง) ลูกสาว เคลลี (อีวา ยัวเซสคู) และ ลูกชายผู้พิการบนวีลแชร์ ไมค์ จูเนียร์ (นิโคลัส น็อบลิตต์)
เราจะได้รู้ว่า เจมส์ได้ช่วยชีวิตไมค์ในสมรภูมิ และไมค์รู้สึกเป็นหนี้ชีวิตเจมส์เสมอ หลังจากดื่มเบียร์กันไประยะนึง ทั้งคู่ก็เริ่มพูดกันถึงเรื่องอนาคต เจมส์บอกว่าเขาต้องเรียกสติให้ตัวเองได้สักที ส่วนไมค์เล่ากึ่งแนะนำว่าอะไรที่ได้เงินก็ทำไปก่อน และเล่าถึงผู้รับเหมาที่เขาทำงานให้ ชื่อ รัสตี้ เจนนิงส์ (คีเฟอร์ ซัทเทอร์แลนด์) ซึ่งเสนอค่าจ้างที่ดี

 

ไมค์พาเจมส์ไปหารัสตี้ในสนามหลังบ้านที่มีการป้องกันแน่นหนา เขาเสนองานปฏิบัติการลับที่ขึ้นตรงต่อประธานาธิบดี และเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติให้กับเจมส์ แล้วเสริมว่ากำลังจะมีงานนึงที่เบอร์ลิน ในคืนพรุ่งนี้ ใช้เวลาสองสัปดาห์ ได้เงินสามเท่า และเขาจะได้ไปกับไมค์ เจมส์ตอบตกลง รัสตี้เขียนเช็คให้ทันที 5 หมื่นเหรียญอ้างว่าครอบครัวจะได้ไม่ลำบากตอนไปทำงานต่างประเทศ

เจมส์มาถึงเบอร์ลิน และเข้าพักในโรงแรมเล็กๆ แห่งนึงเพื่อพบกับ คาเทีย (นีนา โฮสส์) ผู้ที่บอกกับเจมส์ว่าเป้าหมายคือ ซาลิม โมห์สิน (ฟาเรส ฟาเรส) ศาสตราจารย์วัยเกษียณด้านพยาธิวิทยา ที่ทำงานในแล็บส่วนตัว 40 กิโลเมตรทางตะวันออกของเมือง งานของซาลิมให้เงินทุนจากการกุศลในซีเรียที่มีความเกี่ยวข้องกับ อัล กออีดะ เจมส์จะต้องตามสะกดรอยซาลิม ตั้งแต่ที่บ้านที่อาศัยอยู่กับภรรยาซีลวีย์ (อามีรา คาซาร์) และลูกชาย ยานิส (ซูมาร์ มีฮาน) และ โอลิเวียร์ (ทูดอร์ เวลีโอ)จนถึงที่ทำงาน หลังจากนั้นไม่กี่วัน เจมส์, ไมค์, คาเทีย และ คาร์ลอส (จอร์จ พิสเทอรีนู) มารวมตัวกันที่ย่านเสรี เพื่อเริ่มภารกิจบุกห้องแล็บของซาลิม และ ขโมยข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ของเขา แต่ด้วยภารกิจดังกล่าวไม่ได้ผ่านการรับรู้จากทางการของเยอรมัน การปรากฎตัวของพวกเขาที่ติดอาวุธพร้อมมือจึงเข้าข่ายก่อการร้าย

 

ในคืนนั้น เจมส์ ไมค์ และ คาร์ลอส บุกเข้าไปในแล็บ โดยมีคาเทียรออยู่ในรถตู้ที่จอดอยู่ในป่าด้านหลัง ทั้งสามจับตัวเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เพื่อยึดคีย์การ์ดที่ใช้เปิดเข้าห้องแล็บ คาร์ลอสเริ่มโอนย้ายข้อมูล ไมค์ข่มขู่ซาลิมที่กำลังร้องขอชีวิต และอธิบายว่างานของเขาจะช่วยชีวิตมนุษย์ คาเทียส่งข้อความมาว่าตำรวจมาถึงแล้ว ไมค์จึงสั่งให้เจมส์สังหารซาลิม โดยให้ดูเหมือนว่าเป็นอุบัติเหตุเพลิงไหม้

 

ไมค์ เจมส์ และ คาร์ลอส หนีเข้าไปในป่าด้านหลัง และพบกับตำรวจที่คอยซุ่มโจมตีอยู่ คาร์ลอสเสียชีวิตจากการปะทะ ไมค์ถูกยิงที่ขา ตำรวจเรียกกำลังเสริมมาเพิ่มขึ้น คาเทียถูกจับ ไมค์จึงตัดสินใจยิงเธอ ก่อนที่เจมส์จะพาเขาหนีจากแดนปะทะ จนมาพบกับแม่น้ำแห่งหนึ่ง พวกเขาหลบพักอยู่ในท่อระบายน้ำ เจมส์ถ่ายเลือดตัวเองให้กับคู่หูที่กำลังเสียเลือด เจมส์เริ่มรู้สึกไม่สบายใจที่เขายิงตำรวจเยอรมันตายในปฏิบัติการนี้เราทำในสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำไมค์ปลอบใจ และพูดว่าภารกิจต้องมาก่อนพร้อมส่งแล็ปท็อปให้เจมส์รุดหน้านำข้อมูลไปให้รัสตี้ให้เร็วที่สุด แต่เจมส์ปฏิเสธฉันไม่ทิ้งนายแน่ทั้งที่หัวเข่าของเจมส์ก็เริ่มแย่ แล้วบอกให้ไมค์เป็นคนส่งแล็ปท็อปจะดีกว่า ถ้าเขาดีขึ้นจะรีบตามไปสมทบ ไมค์จึงรับข้อเสนอพร้อมบอกชื่อโรงแรมที่จะเป็นจุดนัดรับพาสปอร์ตใหม่และวิธีกลับบ้านอย่างปลอดภัย

 

เจมส์กลับมาที่เบอร์ลิน และมุ่งหน้าไปยังโรงแรม ซึ่งเขาได้พบกับ เสื้อผ้าชุดใหม่ และ พาสปอร์ต แต่ไม่มีของไมค์ เจมส์ซื้อโทรศัพท์และโทรหารัสตี้ ซึ่งบอกกับเขาว่าไมค์ไม่รอด เขาถามหาตำแหน่งที่เจมส์อยู่ เพื่อจะส่งทีมถอนกำลังไปช่วย แต่เจมส์ได้กลิ่นไม่ชอบมาพากล และเริ่มถามว่าเขากำลังทำงานให้ใครอยู่กันแน่แกทำงานให้กับฉันรัสตี้ตะโกนตอบ พร้อมบอกว่าเขาจะได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย แต่เมื่อเจมส์มาถึงจุดนัดพบที่ใต้สะพานเอลเซน กลับเจอกับทีมติดอาวุธทั้งที่มาจากรถยนต์และมอเตอร์ไซต์บนท้องถนน เปิดฉากกระหน่ำยิงที่เจมส์ ซึ่งหาทางหนีลงแม่น้ำอีกครั้ง

 

เจมส์จัดการกับชายเหล่านั้นสองสามคนที่ติดตามเขามาจนถึงท่อระบายน้ำ เจมส์สังหารศัตรูคนนึงและอัดอีกคนที่ชื่อว่า อีริค (เจดี พาร์โด) จนน่วมเพื่อสอบถามข้อมูล จนพบว่าอีริคก็เป็นนาวิกโยธินปลดเกษียณเช่นกัน และยังทำงานให้กับรัสตี้ผู้ซึ่งเปลี่ยนคำสั่งช่วยถอนกำลังเป็นสังหารอีริคเล่าเรื่องเซฟเฮ้าส์ และฝากให้เจมส์เก็บรูปครอบครัวของเขาเอาไว้ แต่เจมส์ไม่แน่ใจว่าเขาจะได้กลับบ้านเกิดอีกรึเปล่า เพราะรัสตี้ต้องตามล่าเขาไม่หยุดแน่ๆ อีริคเสียชีวิต ที่เกิดเหตุ เจมส์ตัดสินใจไปเริ่มต้นที่บ้านซาลิม เพื่อจับตัวซีลวี และโอลิเวียร์ ภรรยาและลูกชายคนโตของซาลิม แล้วบังคบัให้ทั้งคู่ขับรถพาเขาไปที่ธนาคารที่เก็บข้อมูลสำรองของซาลิมเอาไว้ เจมส์เข้าถึงข้อมูลและโทรศัพท์หาเซฟเฮ้าส์ คืนนั้นเจมส์ถูกวางยาและพาตัวไปที่แห่งนึงโดย เวอร์จิล (เอ็ดดี้ มาร์สัน

 

เจมส์ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเขาอยู่ที่ฟาร์มแห่งหนึ่ง และได้รับการรักษาพยาบาล ระหว่างมื้อค่ำเวอร์จิลบอกให้เจมส์ลืมเรื่องกลับบ้านไปได้เลย แต่แล้วก็มีกระสุนวิ่งทะลุศรีษะของเวอร์จิลเสียชีวิต มันวิ่งมาจากสไนเปอร์และคนของรัสตี้อีกจำนวนที่กำลังวางระเบิดฟาร์มแห่งนี้ เจมส์ต้องหนีอีกครั้งด้วยการขโมยมอเตอร์ไซต์ มุ่งตรงสู่สนามบินแล้วรีบหาเที่ยวบินกลับอเมริกา รวบรวมอาวุธจากรถเทรลเลอร์ของเขาก่อนจะมุ่งหน้าไปที่บ้านของไมค์ จุดประสงค์คือไปกับภรรยาเรื่องการตายของเพื่อนรัก ทว่า ไมค์กลับยังมีชีวิตอยู่กับครอบครัวของเขา        

 

เช้าวันต่อมา เจมส์สะกดรอบตามไมค์ที่กำลังไปแอตแลนต้า ไมค์จอดรถที่ลานจอดแห่งหนึ่ง ก่อนจะรอบจู่โจมเจมส์เพราะคิดว่าเจมส์คือคนของรัสตี้ที่มาตามเก็บเขา เจมส์ถอดหมวกกันน็อคออก และ เล่าว่ารัสตี้บอกว่าไมค์ตายไปแล้วแถมยังพยายามฆ่าเขา ไมค์บอกว่ารัสตี้บอกเขาแบบเดียวกัน ทั้งคู่โดนหักหลัง ไมค์บอกว่ามันควรจะเป็นแค่การจารกรรมข้อมูลธรรมดาๆ และครอบครัวของเจมส์ก็ได้รับการดูแลอย่างดี ได้รับเงินมหาศาล แบบที่ทั้งชีวิตไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกแล้ว แต่ถ้าหากรัสตี้รู้ว่าเจมส์ยังไม่ตาย เขาจะต้องตามล่าด้วยทุกสิ่งที่เจมส์มีอย่างแน่นอน เจมส์เสนอว่าทางออกของเรื่องนี้มีแค่ทางเดียว คือต้องถล่มรัสตี้กลับ ไมค์กังวลที่ รัสตี้มีการป้องกันตัวอย่างแน่นหนาโดยฝูง นักฆ่าตัวท็อป เจมส์ตอบว่าเราก็เป็นพวกนั้นไม่ใช่หรอ

 

ไมค์ขับรถไปที่อยู่ของรัสตี้ ทั้งคู่เริ่มถล่มที่บ้านหลังใหญ่ ไมค์บาดเจ็บอีกครั้งแต่ก็ทำให้เจมส์เข้าไปข้างในได้ เขาฆ่าการ์ดสองคน ก่อนเผชิญหน้ากับรัสตี้และลงมือสังหาร เจมส์ขับรถพาไมค์ออกมา ทิ้งศพเขาไว้ในรถที่จอดข้างถนน ก่อนจะกลับมาที่บ้าน และแอบมองภรรยากับลูกอยู่อย่างปลอดภัย

 

ทาริค ซาเลห์ เพราะหนังคือพลังการของพูด 

 

เราอยู่ในผลกระทบจากสงครามที่ดูเหมือนไม่มีวันจบ ผมถ่ายทำสารคดีที่เพนตากอนในวันที่ 9 เมษายน 2003 วันที่อนุสาวรีย์ซัดดัมถูกโค้น ผมจำได้ว่ายืนอยู่ห่างจาก ประธานาธิบดี รัมส์เฟลด์ที่กำลังประกาศชัยชนะแค่เมตรเดียว มันเป้นช่วงเวลาที่น่ากลัวมากสำหรับผม ผมจำสิ่งที่ลุงผมว่าไว้เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้าได้ว่าเมื่อไหร่ที่ซัดดัมโดนโค้น เมื่อนั้นสงครามที่แท้จริงจะเริ่มขึ้นมันคือเวลาที่ผู้คนมีสิ่งที่เขาสามารถตายเพื่อมันได้ผมหวังว่าเขาจะคิดผิด นั่นมันเมื่อสิบเก้าปีที่แล้ว

 

เราอยู่ในช่วงเวลาที่เราไปเที่ยวห้าง นั่งดูเกมกีฬา เรามีเวลาดูแลสุขอนามัยและทำสมาธิ ในเวลาเดียวกันเราอยู่ในสงคราม เราถูกทำให้เชื่อว่าเราสู้เพื่อฝั่งที่ถูก แต่ในสถานที่อย่าง ซาอุดิอาระเบีย หรือ อียิปต์ พวกที่อยู่ฝั่งเราเขาสามารถดื่ม คาราเมล ครั้นช์ แฟรพพูคชิโน สองแก้ว นั่งอยู่ในโรงไอแม็กซ์ท้องถิ่น ดูหนังมาร์เมลเรื่องล่าสุด และต่อมาในช่วงกลางดึก ก็มีคนมาเคาะหน้าบ้านเจ้าหน้าที่รัฐมารับตัวคุณไป เพราะคุณไม่ได้ส่งเสียงเชียร์ กษัตริย์ จักรพรรดิ หรือ ฟาร์โรห์ ญาติๆ ของคุณจะไม่มีใครกล้าปริปากถาม เพราะกลัวว่าจะเจอชะตากรรมเดียวกัน

 

คนหนุ่มสาวในโลกเสรีถูกสอนว่าพวกเขามีโอกาสที่จะรับใช้ชาติ อย่างที่พ่อเขาเคยทำ ถูกส่งไปในพื้นที่ที่ไม่รู้จักว่าอยู่ตรงไหนของแผนที่และฆ่าคน ผู้หญิง และ เด็ก มันไม่มีประโยชน์อะไร ฉนั้น มันควรมีหนังจำนวนมากที่พูดเรื่องแบบนี้ ไม่ใช่หรือ ไหนละ “Born on the 4th of July” ไหนละ “Platoon” ไหนละ “Apocalypse Now” “The full metal Jacket” 

 

นั่นคือต้นเหตุที่ทำให้ผมเห็นโอกาส ผมเชื่อว่า เจ.พี ได้ทำให้สคริปต์มีเอกลักษณ์ เขาได้สร้างสิ่งที่ทั้งน่าดึงดูดและสำคัญในเวลาเดียวกัน เหมือนม้าโทรจัน มันเล่นกับธีมที่ใหญ่ อเมริกันดรีม วีรบุรุษสงคราม และ การโกงศีลธรรมในจิตใจ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราถูกทำให้เขว คนอย่างเจมส์ ฮีโร่ต้นแบบที่ถูกระบบสร้างมาให้เป็นนักฆ่า ถูกใช้ให้ฆ่าใครสักคนที่กำลังทำสิ่งดีๆ ใช้ให้ปกป้ององค์กรที่ไม่ได้แยแสอะไรต่ออเมริกา แทนชีวิตคน เรื่องราวได้บอกเราถึงสิ่งใหม่ (และแท้จริง) ว่าการเสียสละไม่ใช่การกระทำแบบฮีโร่ที่สละชีวิตเพื่อธงชาติ แต่เป็นการเสียสละของทุกอย่างที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง อย่าง คนที่เสียพี่น้อง พ่อ หรือ สามี

 

งานของการเป็นผู้กำกับหนังคือต้องบอกกับโลก ไม่ใช่ในสิ่งที่เขาอยากได้ยิน แต่สิ่งที่เขาควรจะต้องได้ยิน

 

ผมไม่ได้ทำหนังเพื่อความก้าวหน้าทางอาชีพอีกแล้ว หนังทุกเรื่องที่ทำคือหนังเรื่องสุดท้ายของผม เรื่องนี้สำหรับลูกสาวของผม เพื่อที่จะบอกพวกเธอว่า ฟังนะ โลกได้ดำเนินมาสู่จุดที่บ้าคลั่งนี้ แต่เราพยายามจะทำให้มันดูปกติ เพื่อที่จะบอกผู้คนว่า ฟังนะ พวกคุณไม่ได้บ้า คุณไม่ได้โดดเดี่ยวเวลารู้สึกหลงทาง เปิดโปงความจริงออกมาแล้วเราจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ชีวิตนั้นสั้นเกินกว่าจะทำหนังที่ไม่มีความหมาย

 

บันทึกการรวมทีมโปรดักชั่น

1.จากบทสู่โปรดิวเซอร์
เรื่องที่มาจากคำที่กองทัพและหน่วยรบพิเศษใช้ทางการทหาร The Contractor หนังแอ็คชั่น ทริลเลอร์ ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวละคร ด้วยความลุ่มลึก มีแก่นที่สะเทือนอารมณ์ และ เน้นนัยยะทางการเมือง โดยมีศูนย์กลางที่ เจมส์ ฮาร์เปอร์ (คริส ไพน์) อดีตชายในเครื่องแบบที่พยายามจะกลับมาสู่โลกแห่งความจริง หลังจากถูกปลดประจำการอย่างมีเกียรติ โดยไม่ได้บำนาญ ฮาร์เปอร์รับงานเป็นกองกำลังรับจ้างที่เบอร์ลิน และพบว่าเขากำลังถูกไล่ล่าจากกลุ่มคนที่ว่าจ้างเขาเอง

 

เขียนบทโดย เจพี เดวิส (The Neighbor) หนังเกือบได้ รูเพิร์ต แซนเดอร์ส (Ghost in the Shell) มากำกับ ก่อนที่บทจะไปอยู่ในมือของ Thunder Road บริษัทโปรดักชั่นที่ทำ Sicario และ John Wick “เขาส่งบทมาให้เราเมหือนว่ามันเป็นบทหนังธรรมดาๆ ของ เจพี แต่เราหลงรักมันมากบาซิล อิวานีค โปรดิวเซอร์เล่าผมรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่ได้อ่านบท Sicario รายละเอียดที่สมจริง ตัวละครมีดีเทล และมีความพิเศษเฉพาะตัว ผมบอกตัวเองว่า ผมอยากทำงานกับบทนี้ มันทำให้ผมนึกถึงหนังซีเรียสๆ ยุค 70 ที่ไม่ต้องมีไดอาล็อกอะไรมากมาย ไม่ต้องมีพล็อตเยอะ แต่มันมีบรรยากาศที่เข้มข้น มีโทนและตัวละครที่หลากหลาย และผมซื้อสิ่งเหล่านี้

 

2.การมาถึงของ คริส ไพน์

เช่นเดียวกับ คริส ไพน์ ที่ตอบรับแทบจะทันทีเพื่อรับบท เจมส์ ฮาร์เปอร์ในบางมุมมันคือเรื่องราวธรรมดาที่ชวนดึงดูด มุมมองแบบทริลเลอร์ มุมมองแบบ Bourne” ไพน์เล่าซึ่งในมุมมองเหล่านี้มันสวยงาม เรื่องเล่าหนักๆ ของชายที่เผชิญกับมรสุมชีวิตครั้งใหญ่ และพยายามจะหาทางออก ผมรู้ตั้งแต่ห้าหน้าแรก ว่าถ้ามันดำเนินไปในแบบที่ผมคิด ผมจะลงแรงกับมัน ซึ่งผมทำ มันรู้สึกถึงมนต์ขลังในอดีต พร้อมๆกันมันก็ทันสมัยมากๆ มันคือมุมมองสงครามในแบบศตวรรษที่ 21 มันไม่มีการแบ่งค่าศีลธรรมเป็นดำกับขาว ไม่มีมุมมอง ความดีชนะความชั่วแบบสงครามดลกครั้งที่ 2 มันเหนือไปกว่านั้น มันเรียบง่ายสวยงาม เหมือนเส้นด้ายที่ทอมาอย่างดี แต่มันเป็นมากกว่านั้น มันไม่ใช่ความดีชนะความเลว ไม่ใช่การไล่ฆ่าคนชั่ว มันเกี่ยวกับคุณในฐานะคนๆนึง ในฐานะมนุษย์

 

เขาเป็นที่รู้จักจากบทกัปตัน เคิร์ก ใน Star Trek และ Star Trek Beyond ของ เจ เจ เอบรามส์ และ สตีฟ เทรเวอร์ นักบินในสงครามโลกครั้งที่สองจาก Wonder Woman ของ ดีซี ไพน์ยังได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแสดงอีกด้านด้วยการเข้าชิงออสการ์จากหนังนีโอเวสเทิร์นของ เดวิด แม็กเคนซี อย่าง Hekk or High Water ที่เขาและ เบน ฟอสเตอร์ รับบทเป็นพี่น้องที่ปล้นธนาคารเพื่อรักษามรดกของครอบครัว

 

ในฐานะโปรดิวเซอร์ มันมักจะมีวินาทีที่คุณคิดกับตัวเองว่า ผมควรหาผู้กำกับหรือนักแสดงก่อน และส่วนใหญ่เลย ผมเลือกจะหาผู้กำกับก่อน”‘อีวานีคเผยแต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผมดันคิดว่าสิ่งที่จะนิยามหนังเรื่องนี้ได้คือคนที่จะรับบทเป็นเจมส์ ผมจึงไปหาคริส เขาอ่านบทภายในหนึ่งวัน และตอบผมเล่น ผมรักมัน มันมีข้อเสนอนิดหน่อย ต้องหาผู้กำกับที่เก่ง แต่ผมเปิดใจนะ ไปกันแล้วก็ไม่ใช่การพูดเล่นๆ นักแสดงหลายคน เวลาที่เขาพูดอะไร เขาจะไม่รับปากอะไรมาก แต่คริสทุ่มทั้งใจและพูดว่าผมจะทำทุกอย่างที่จะทำให้สิ่งนี้รู้สึก จริง!’”

 

ตัวละครของไพน์ใน The Contractor เจมส์ ฮาร์เปอร์คือทหารหน่วยรบพิเศษและเบเร่ต์เขียวรุ่นที่สองเราจะได้พบกับเขาหลังจากที่เพิ่งกลับมาจากช่วงพักภารกิจเขาอธิบายร่างกายของเขาค่อนข้างบอบช้ำจากสงคราม เขาเตรียมตัวเพื่อเข้าห้องบอร์ดหวังว่าจะได้รับภารกิจใหม่ แต่มันดันเป็นการเรียกปลดประจำการ เขาสูญเสียเงินบำนาญ ประกันสุขภาพ และงาน เรายังพบว่าเขาใกล้จะล้มละลายและต้องรีบหางานใหม่และจบด้วยการเป็นพลทหารรับจ้าง ร่วมกับเพื่อนสนิท ซึ่งเป็นงานที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ แต่ก็มาพบความจริงภายหลังว่าเขาสู้เพียงเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทผลิตยาเท่านั้น”    

 

เราเคยดูหนังที่เกี่ยวกับนักรบในช่วงอายุ 20 ถึง 30 ต้นๆ เราเคยเห็นนักรบที่อายุเยอะ แต่มันยากมากที่จะได้เห็นักรบที่กำลังจะกลายเป็นอดีตนักรบ ที่ความเจ็บปวด แต่ความเบื่อหน่ายเกิดขึ้นกับพวกเขา รวมถึงอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่หัวเข่าอีวานีคเล่าสิ่งที่ผมรักในตัวของเจมส์ก็คือเขาเป็นชายผู้ที่อยู่ตรงจุดเปลี่ยน พยายามจะตามหาว่าเขาเป็นอะไร ด้วยความที่เป็นทหารอาชีพ ทำให้ทราบได้ว่าเขามีพ่อที่เย็นชา และ แม่ที่ทรหด ที่คอยพร่ำสอนว่าแกเป็นทหาร นี่คือสิ่งที่แกต้องทำตัวตนทั้งหมดของเขาอยู่ในกองทัพ ตอนนี้เขาต้องออกมาและงุนงงว่าเขาเป็นใคร ต่อสู้เพื่ออะไร และ ต่อสู้ไปทำไม สิ่งที่ผมรักในตัวคริสคือเขาอยู่ในวัยต้องเจอกับจุดเปลี่ยนในหลายๆ ทาง เขาคือไอดอลที่มาดแมนและกำลังแก่ตัว และเขารู้ตัวว่าในฐานะนักแสดงเขาจะต้องพิสูจน์ตัวเอง คริสเป็นคนที่ซีเรียสมาก เขาอ่านหนังสือพิมพ์วันละสองถึงสามฉบับ เขาจริงจังกับโลกใบนี้ แม้เขาเป็นคนที่จะทำให้คนรอบตัวมีความสุข แต่เขาอยู่บนโลกและจะเอาชนะมัน

 

ผมอ่านหนังสือของ ยูวัล ฮารารี (ผู้เขียน Sapiens: A Brief History of Humankind )ในเวลาใกล้เคียงกับที่อานบทหนัง”  ไพน์เผยและเขาได้เล่าถึงสิ่งที่ทำให้พวกเราแตกต่างจากทุกสรรพสิ่ง ก็คือการที่เราสามารถสร้างเรื่องเล่าเพื่อให้มีชีวิต และผมว่ามันน่าสนใจ ที่ชายผู้นี้ ผู้ที่ถูกตีตราด้วยเรื่องเล่า ตีตราด้วยเรื่องราว ตีตราด้วยธงชาติ พระเจ้า, ครอบครัว, ประเทศ, อิสรภาพ, ประชาธิปไตย, ความเท่าเทียม, คำประกาศ, โชคชะตา, ความสำเร็จ, ตลาดทุนนิยมเสรี และนี่คือเรื่องราวของชายผู้ที่ทุกอย่างที่ว่ามามอดไหม้และเขาคงเหลือไว้เพียงโครงกระดูกของเขา สำหรับผมแล้ว ใจความสำคัญของมันอยู่ที่ห้าหน้าแรกของบท ที่แทบจะไม่มีบทพูด จนกระทั่ง 30 หน้าที่ไม่มีแอ็คชั่นแม้สักนิด จะว่าคล้ายหนังยุโรปก็ใช่ แต่เมื่อแอ็ชั่นมาถึง ก็ไม่หยุดยั้งอีกต่อไป ความตึงเครียดที่สุมเข้าไป มันมีหลายส่วนที่ดีแบบหนังฮอลลิวูดบล็อกบัสเตอร์ แต่เรามีเค้กของเราเองและเรากินมัน

 

ทั้งอีวานีคและไพน์ต่างก็หลงใหลในธีมพ่อลูก ด้วยบทที่นำเสนอไอเดียมากมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์พ่อลูกผมชอบหนังที่พูดถึงพ่อและลูกชาย และใดๆ ก็ตาม หนังเรื่องนี้ก็เกี่ยวกับพ่อและลูกชายอีวานีคว่ามันเกี่ยวกับการที่เจมส์ วิ่งจากการเลี้ยงดูอย่างโหดร้ายจากพ่อของเขา และตระหนักว่ามันไม่ใช่ตัวเขา เขาจะไม่ถ่ายทอดมันต่อให้กับลูกชายของเขา พ่อของเขาไม่เคยรู้ตัว ทิ้งครอบครัวเอาไว้แล้วฆ่าตัวตาย เมื่อเจมส์มองดูที่ตัวเขาเองแล้วถามว่าฉันมีพลังกำลังมากพอจะทำในสิ่งที่พ่อไม่กล้าทำรึเปล่า กลับบ้านไปเป็นพ่อที่โอบอ้อมและสามีที่น่ารักมันเกี่ยวกับชายที่ถูกตรึงไว้ด้วยโลกสองใบนี้

 

ในฐานะผู้ชาย มันน่าสนใจมากในแง่ยีนของความห่วงใยและการขาดมัน ที่มักเกิดขึ้นระหว่างผู้ชายต่างเจเนอเรชั่น ระหว่างเด็กชายกับพ่อของเขาไพน์ครุ่นคิดมันเป็นความสัมพันธ์ที่ลึก ลึกมาก และภาพแรกที่คุณจะได้เห็นในหนังคือ พ่อที่กำลังอ่านแม็กกาซีน ขณะที่ลูกกำลังสักลาย มันไม่มีความขัดแย้งอะไรในนั้น มันคือหนทางในการสอนเด็กชายเรื่องความเจ็บปวด เรื่องที่ว่าผู้ชายเราสอนผู้ชายที่เด็กกว่ายังไงถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ ซึ่งมันมีความรุนแรง ที่พวกเธอจะต้องดีลกับมัน หาทางกับมัน ไม่มีการประคบประหงม และต่อมาเมื่อเห็นผมกับลูกชายในหนัง เราตัดสินใจว่าเขาจะต้องเป็นเด็กที่อ่อนไหวง่าย  ค่อนข้างอ่อนเรื่องการเล่นกีฬา เขาจะชอบวาดรูป ไม่ได้มีการตัดสินอะไรในไอเดียพวกนี้นะ มันเป็นแค่ภาพของความห่วงใยและการเติบโตท่ามกลางสังคมชาย

  1. ทาริค ซาเลห์ ผู้กุมบังเหียนที่รอคอย

 

เมื่อได้ไพน์มาร่วมงาน อีวานีคก็เริ่มต้นตามหาผู้กำกับที่เหมาะสม มุ่งมั่นว่าจะได้มุมมองแบบชาวยุโรปมาไว้ในหนัง ด้วยฉากหน้าที่สุดจะอเมริกาเพียงหนึ่งเดียวเขาติดต่อไปหา ทาริค ซาเลห์ ผู้กำกับชาวสวีเดนอียิปต์ ที่เคยชนะรางวัล World Cinema Grand Jury Prize ที่ซันแดนส์ที่ 2017 จากผลงาน The Nile Hilton Incidentเราดูหนังของเขาและรักมันอีวานีคเล่าบรรยากาศและการแสดงคือที่สุด และเมื่อคุณเจอเขาและได้ฟังว่าเขามีความท้าทายอะไรในการทำหนังเรื่องนั้น คือจริงๆ หนังจะต้องไปถ่ายทำที่ไคโร และพวกเขาโดนเทตอนหนึ่งสัปดาห์ก่อนเปิดกล้อง และภายในสามสัปดาห์เขาก็เริ่มใหม่และไปถ่ายที่คาซาบลังกา เขาคือคนทำหนังอิสระที่ยอดเยี่ยมไม่พอแค่นั้น เขากับซาเลห์ยังเข้าขากันมาก เพราะชอบผู้กำกับอย่าง ซิดนีย์ ลูเมต์ เหมือนกันอีกด้วยผมคิดเสมอว่า หมอนี้จะเป็นอย่าง เดนีส์ วิลเนิร์ฟ ได้ เขาคือหนึ่งในผู้กำกับที่ไม่ใช่อเมริกัน แต่อยากทำหนังอเมริกัน แล้วก้ค่อยๆกรุยทางให้ตัวเอง

 

ผมเจอบาซิลหลังจากที่ Nile ชนะซันแดนส์ ผมรู้ทันทีว่าเขาคือโปรดิวเซอร์ที่ผมอยากร่วมงานด้วยซาเลห์เล่าเขารักภาพยนตร์ เขาจริงใจกับการผลิตหนัง และภาพยนตร์คือศาสนาของผม มันทำให้ผมเป็นเด็กเสมอ เวลาที่ยากลำบาก ผมจะไปโรงหนังและท่องเที่ยวไปกับมัน ผมเคยทำงานทีวีนะ แต่สำหรับผมภาพยนตร์คือประสบการณ์ของการหลุดพ้นที่แท้จริง และหลังจากที่เราได้พบกันผมก็พูดว่าเรามาหาทางร่วมกันเถอะ’”

 

ทว่าซาเลห์ก็ยังไม่มีโอกาสทำงานกับบทที่ Thunder Road ส่งให้ ด้วยทั้งงานกำกับซีรีส์ Westworld ของ HBO และ Ray Donovan ของ Showtime “บทที่ส่งๆ มาไม่ใช่ว่าแย่เลยครับ เพียงแต่ผมยังไม่มีเหตุให้ได้ทำมัน ซึ่งผมก็ตั้งตารอเหตุผลที่ดีที่จะได้ทำอยู่เมื่อซาเลห์อ่านบท he Contractor ก็แทบจะตอบตกลงเดี๋ยวนั้นเลยมันมีความโกรธแค้นอยู่ในตัวบทที่ผมสัมผัสได้ หลังจากประมาณ 15 หน้า ผมมีอารมณ์ร่วมกับตัวละครหลักอย่างมาก จนต้องถามตัวเองว่าเขาจะทำอะไรต่อไปนะ ไม่สิ จะเกิดอะไรขึ้นกับเขา และเขาจะรับมือกับมันยังไงซึ่งมันเป็นคำถามเร้าอารมณ์ที่น่าติดตามมาก

 

เมื่อซาเลห์สนใจ อีวานีคก็พาเขามาพบกับไพน์เพื่อดูว่าทั้งคู่จะมีทิศทางต่อกันยังไงบาซิลถามว่าคุณชอบคริส ไพน์มั้ยผมตอบว่าผมชอบนะ แต่ไม่ชัวร์’” เขายอมรับทีแรก ผมนึกภาพเขาในบทนี้ไม่ออก แต่พอได้เจอตัวเขาที่นิวยอร์ค ผมก็เข้าใจทันที ก็ใครจะไม่ล่ะ เสน่ห์เขาเหลือล้นมาก ครั้งที่สองที่เจอกัน ผมไปที่บ้านเขาที่ แอล เอ และพบว่า พระเจ้า! มันเป้ายิงที่เพิ่งขึงอยู่ที่นี่ ในฐานะผู้กำกับ คุณจะกระปรี่กระเปร่าด้วยสิ่งนี้แน่ๆ จุดนั้น ผมรู้เลยว่าผมอยากร่วมงานกับเขาจริงๆ ผมอยากจะทำหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวละคร เหมือน Heat และ Serpico”

 

ผมรักทาริคนะไพน์เล่าเขากระตือรือร้น แล้วเขารักนักแสดงอย่างมากจริงๆ เขาให้เกียรติความคิดเห็นต่างๆ แล้วก็เป็นนักประสานงานโดยแท้ เราสามารถถกเถียงได้ในทุกๆส่วนของงาน เขาน่าทึ่งมากครับ

 

เดวิส ไพน์ และ ซาเลห์ เมื่อมาร่วมงานกัน ก็เรียกได้ว่าแทบจะเป็นการทำงานกับบทหนังใหม่อีกครั้งผมมาจากคนทำสารคดี มันจึงสำคัญมากในการทำให้เรื่องจริงมาอยู่ในสคริปต์นักเขียนเล่ามันคือการสร้าง

งานของผม คือการทำให้มันติดดิน โดยเฉพาะช่วงที่อยู่ที่ยุโรป เพราะผมมาจากยุโรป เลยมีความคุ้นเคยกับหลายๆอย่างที่นั่น มากกว่ามือเขียนบทอเมริกันที่มักมองยุโรปจากมุมมองคนนอกเดิมทีเดียวฉากแอ็คชั่นในยุโรปจะเกิดขึ้นที่โปแลนด์ แต่ซาเลห์ย้ายมันมาอยุ่ที่เบอร์ลินโปแลนด์เป็นสถานที่ที่น่าสนใจนะ แต่เดิมพันมันไม่สูงเท่าเยอรมัน ด้วยความเป็นพันธมิตรกับอเมริกา และเป็นสมาชิกคนสำคัญของยุโรปด้วย

 

เยอรมันมีบรรยากาศของนิยายแบบ เกรแฮม กรีนี อยู่อีวานีคเสริมเยอรมันเหมาะให้เกิดภยันตรายและการปฏิบัติการแบบหน่วยราชการลับ จริงๆ ผมชอบโปแลนด์นะ แต่ทาริคพูดถูก หลายคนเชื่อว่าเรื่องร้ายๆ จะสามารถเปิดขึ้นที่เยอรมันได้มากกว่า” 

ซาเลห์ยังเข้าขาและเข้าใจเดวิสได้อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่นัยยะทางการเมืองที่ซ้อนทับหลายชั้น ปัญหาทางการเงินที่ครอบครัวของทหารต้องเผชิญ แม้แต่ความเครียดเมื่อมีการปลดประจำการจากกองทัพเจมส์เป็นคนที่มีความเชื่อ เขาเชื่อในอเมริกา เขาเชื่อในคุณค่าซาเลห์เล่าและการหักหลังที่เจ็บแสบที่สุดก็คือ เมื่อกลับมาบ้านแล้วเขาไม่เหลืออะไรเลย พวกเขาถูกลืม ผมได้คุยกับทหารผ่านศึกจำนวนมากก่อนทำหนัง มันทำให้ใจสลายไปเลย

 

มันพูดถึงครอบครัวอเมริกันชนชั้นกลาง ที่ไม่มีประกันสุขภาพและเงินบำนาญ ไม่มีบ้าน หมายถึงไม่รู้ว่าจะเสียบ้านไปเมื่อไหร่ เมื่อขาดผ่อนหรือค่าเช่า พวกเขามีลูกชายที่ต้องเลี้ยงดู ครอบครัวแบบนี้จะทำอะไรไพน์เล่าและชายคนนี้ ผู้ที่รู้จักแต่เรื่องสู้รบมาตลอดชีวิต เขาจะแค่กลับไปนอนอยู่บ้าน หางานทำที่ได้เงินเดือนสัก 40,000 เหรียญ หรือได้เงินพอๆ กับตอนเป็นทหารอย่างนั้นหรอ ถ้าเขาสามารถหาเงินหกหลักด้วยการเป็นทหารรับจ้างล่ะ ทางเลือกนั้นชัดเจนมาก แล้วเขาก็ไปสุดในทางนั้น

 

เจมส์ถูกเลี้ยงดูให้โตขึ้นมาเป็นทหารซาเลห์เล่าต่อเขาถูกประทับตราให้เป็นอย่างนั้น ซึ่งสำหรับเขาเอง มันก็เป็นหาทางเดียวที่จะพิสูจน์ความเป็นชาย พอเขาถูกปลดจากกองทัพแล้วกลับบ้าน พยายามจะรับบทบาทของพ่อ เขาดันรู้สึกล้มเหลวต่อครอบครัว ไม่ใช่ว่าทำอะไรให้ครอบครัวไม่ได้ แต่ด้วยการสิ่งที่เขาถนัดที่สุดคือฆ่าคน มันคือสิ่งที่เขาถูกฝึกมา เขาเลยรับงานทหารรับจ้าง และได้พบว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญสำหรับลูกชายเขา มันคือการที่เขาได้มีเวลาอยู่กับลูก ซึ่งเป้นสิ่งที่พ่อเขาไม่เคยทำ

 

สำหรับไพน์ ตัวบทยังทำให้เขาเห็นแสงสว่างที่สำคัญยิ่งต่อความจริงอันน่าสลด เกี่ยวกับผลงานการทำงานของกองทัพสหรัฐที่ไม่มีใครตระหนักถึงอีกเหตุผลที่ผมสนใจหนังเรื่องนี้ ก็เพราะ ในประเทศที่ผมอาศัยอยู่นี้ได้ดำเนินงานด้านการสงครามมาต่อเนื่องเกือบ 20 ปี ยังมีชายหญิงจำนวนมากกำลังเสียชีวิตจากสงคราม และความตายเหล่านี้ก็ไม่เคยอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ในประเทศ มันไม่เป็นข่าวอีกต่อไปแล้วด้วยซ้ำเขาเผยและก็มีทหารจำนวนมากขึ้นที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายมากกว่าในสมรภูมิ มันคือสัญญาณเตือนนะ

 

ความช่วยเหลือจากอดีตกองทัพเบเร่ต์เขียว

 

ในด้านการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกองทัพ ทีมโปรดักชั่นได้จ้าง เบิร์ต คุนซ์ อดีตหน่วยรบพิเศษเบเร่ต์เขียวแห่งกองทัพสหรัฐ ที่เคยทำงานในหน่วยที่ชื่อว่า Cif ในตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังบุกตะลุย สำหรับภารกิจช่วยตัวประกันเป็นส่วนใหญ่ และ วางแผนทิศทางการรบของหน่วยต่อต้านผู้ก่อการร้ายร่วมกับหน่วยรบพิเศษ

 

มีเรื่องตลกอยู่ว่า ถ้าคุณโยนลูกเบสบอลลงไปในฮอลลิวู้ด บูเลอวาร์ด มันจะโดนหัวอดีตหน่วยซีลสักสองคนอีวานีคหัวเราะเรารู้จักคนพวกนี้ โดยเฉพาะตอนที่ทำ John Wick ซึ่งทำให้เรารู้ว่าอันไหนของจริง อันไหนแหกตา แล้วเราก็พบกับเบิร์ตเพราะว่าเรารู้ว่าเขาจะสอนคริสใช้ปืน สวมเครื่องแบบ และบุคลิกภาพได้ เราค่อยๆ รู้จักเบิร์ตไปทีละน้อย จนเขากลายเป็นแรงบันดาลใจด้านงานสร้างสรรค์สำหรับหนังอย่างมาก ในบางจุดถ้าเบิร์ตคิดอะไรที่ไม่น่าได้เรื่อง เราก็จะไม่ทำมัน ตัวตนของเบิร์ตส่วนใหญ่จะถูกนำมาอยู่ในตัวละครของ เบน ฟอสเตอร์ รวมถึงตัวละครของ คีเฟอร์ ซัทเธอร์แลนด์ด้วย

 

หลังเกษียณจากกองทัพ คุนซ์อาศัยอยู่ที่วยอมมิง ที่ๆเขาเป็นเจ้าของธุรกิจสองประเภท หนึ่งในนั้นคือบริษัทกาแฟ Bison Union Coffee “เขาถามผมก่อนจะให้เป็นที่ปรึกษาหนังและผมก็ค่อนข้างทำตัวไม่ถูกเขาเล่าชาวเบเร่ต์เขียวส่วนใหญ่ไม่ชอบทำงานกับภาพยนตร์หรอกครับ เพราะมันเสี่ยงจะทำให้มีตราบาปติดตัว ผมว่าคนเราไม่อยากเห็นสิ่งใดก็ตาม ถูกนำมาใช้หาเงิน เอามาประดับเกียรติยศ หรือใช้โชว์ออฟในทางที่ผิดน่ะ แต่พอผมได้อ่านบท มันเหมือนว่าเขาทำการบ้านมาดีมาก มันมีความอ่อนไหวมากกว่าการเป็นหนังแอ็คชั่นธรรมดาๆ เรื่องนึง ที่คุณจะได้เห็นแต่ละครอบครัวทหาร หรือการโต้ตอบกันระหว่างสองนักรบ

ทีแรก คุนซ์คือแหล่งข้อมูลสำหรับคริส ไพน์ตอนแรก เบิร์ตจะเป็นคนที่ไลฟ์สไตล์แบบนึงไพน์เล่าเราคุยโทรศัพท์กันหลายครั้งมาก เบิร์ตอยู่ที่วยอมมิงที่ต้องขับรถขึ้นเขาเพื่อทำธุรกิจ และผมจะคุยกับทีสองชั่วโมง เขาเอาหนังสือพวกนี้มาให้ผมอ่าน ผมอ่านมันแล้วก็ตั้งคำถาม จนเมื่อเขามาที่ลอสแองเจลลิส เราได้คุยกันมากขึ้น ยิงปืนกันมากขึ้น สำหรับผม มันเริ่มซึมซับเรื่องราว ข้อมูล และสิ่งเล็กสิ่งน้อย การพูดจาของเขากับพรรคพวก ความสัมพันธ์ของพวกเขา อุปกรณ์หน้าตาเป็นยังไง เขาเตรียมพร้อมตัวเองกันยังไง ทั้งหมดนี้มันเป็นอะไรที่เฉพาะเจาะจงมากๆ บทของเจพีนั่นคือที่สุด แต่เบิร์ตจะทำให้มันล้ำค่าขึ้นมาเลย

 

คริสทำการบ้านมาอย่างหนัก มันปรากฎชัดเจนตั้งแต่คุยโทรศัพท์กันแล้วพบว่าเขาให้ความเคารพต่อคนที่ทำงานในกองทัพ โดยเฉพาะเหล่าเบเร่ต์เขียวคุนซ์เล่าพอผมไปถึงแอลเอ และใช้เวลาทั้งวันกับคริส เราไปที่ทุ่งและผมก็ดูเขายิงปืน เคลื่อนไหว แสดงวิธีการรบพื้นฐาน เขาน่ะมือโปรเลยทีเดียว

 

ในฐานะนักแสดงมันง่ายมากที่จะรู้สึกว่าเป็นตัวปลอมไพน์กล่าวแล้วมันจะรู้สึกมากๆ เวลาทำหนังที่มีใครสักคนไปรบในสงคราม เอาเรื่องการเมืองออกไปนะ สงครามมันคือเรื่องของความเป็นมนุษย์อย่างยิ่ง แล้วมันมีหลายสิ่งที่ผมไม่เคยสามารถเข้าใจได้ ฉนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีใครสักคนมาทำให้ผมเห็นเนื้อแท้ของมัน

 

ไม่ช้าก็เร็ว คุนซ์ก็ได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาด้านมุมมองจากกองทัพในบทพูด เจพีงานบทของเขาได้ยอดเยี่ยม แต่เมื่อทำงานกับหน่วยพิเศษ เราจึงต้องใช้สแลงพิเศษไปด้วย การที่มิตรสหาย พี่ชาย น้องชาย ต้องร่วมทางยาวไกล ประทับตราหน่วยรบพิเศษ พวกเขาใช้เวลาด้วยกันมากกว่าครอบครัวหรือภรรยาเสียอีก ความผูกพันธ์ที่เกิดขึ้น มันเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคริสและเบน ฟอสเตอร์ ที่การพูดคุยกันของทั้งคู่จะต้องจริงเหมือนพี่น้องทหาร สุดท้ายผมก็ได้ทำงานกับบทเล็กน้อยร่วมกับทาริค ตั้งแต่การภาพของฉาก การเคลื่อนไหวของคน ท่าทางการยิง การสื่อสาร ทุกๆ แง่มุมที่แตะโดนกองทัพเลยล่ะ

 

ไมค์ เดนตัน พี่น้องร่วมเครื่องแบบ
เบน ฟอสเตอร์ คู่หูร่วมจอ

 

เพื่อรับบทเจมส์อดีตพี่น้องทหารหาญกับ ไมค์ เดนตัน เจ้าหน้าที่หน่วยคอมมานโด ไพน์เลือก เบน ฟอสเตอร์ ที่เคยแสดงเป็นพี่น้องกับเขาใน Hell or High Water และร่วมจอกันในหนังดิสนีย์อย่าง Finest Hours

 

ผมชอบทำงานกับเบนไพน์เล่าผมอยากทำงานกับเขาตลอดเวลา ถ้าทำได้ ในหลายๆมุมมอง มันอาจบอกได้ว่านี่คือเรื่องราวความรักระหว่างชายสองคน และมันจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อรากฐานของความรักและความเคารพถูกทำลายลง มันเลยเป็นทางเลือกที่ชัดเจนมากที่จะหาใครสักคนที่ผมสามารถลากไปสู่จุดนั้นได้ ใครที่เคมีทำงานเข้ากันกับผม และไม่ต้องเริ่มสร้างสัมพันธ์กันใหม่ เขาคือนักแสดงที่ยอดเยี่ยม เขาฉลาดมาก และผมรู้สึกว่าไมค์จำเป็นต้องผ่านการขัดเกลา การปั้นแต่งบางอย่าง ที่จะทำให้เขาดูสดใหม่ ซึ่งผมว่าเบนทำได้ดี

ทว่าซาเลห์ไม่ได้ตั้งใจไว้แบบเดียวกันตั้งแต่ที่รู้ว่าคริสอยากได้เบนมารับบทไมค์ ก็ทำให้ผมกังวลเล็กน้อย เพราะว่า ด้วยความเป็นผู้กำกับ ผมไม่อยากตัดสินใจอะไรแค่ให้มันผ่านๆ ไปเขายอมรับผมว่า เบน ฟอสเตอร์ เป็นนักแสดงที่ดีเลย แต่ผมกังวลเกี่ยวกับ Hell or High Water ต่างหาก ผมไม่อยากทำอะไรที่เหมือนเอาสิ่งอื่นมาเป็นจุดขาย ผมอยากให้หนังเป็นตัวของตัวเอง แต่ผมก็เข้าใจและยอมรับได้ เพราะเรื่องความเป็นคู่หูมันค่อนข้างสำคัญมาก แล้วเราก็ไม่มีเวลาในการสร้างความสัมพันธ์แบบนั้นขึ้นมาใหม่ เหมือนฟ้าประทานเลยครับ สุดยอดเลย

 

เบนเป็นตัวเลือกแรกๆของเราเลย แต่ก็ถูกตัดออกเร็วมากเช่นกันอีวานีคทบทวนความจำอย่างแรก เพราะว่าทาริคบอกว่าไม่อยากทำหนัง คริส ไพน์/เบน ฟอสเตอร์ อีกเรื่อง เขาว่ามันซ้ำซาก แต่คริสก็บอกว่า มันจะไม่เป็นแบบนั้นแน่ ฉนั้นเราเลยเก็บเบนเอาไว้ก่อน แล้วเราก็เริ่มมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการหาคนที่ใช่กับบท เพราะมันมีเรื่องของอายุด้วย เราอยากได้คนที่แก่กว่าคริสไม่มาก แล้วก็ไม่อยากได้ความสัมพันธ์แบบคู่หูคู่ซี้เราอยากได้แบบพี่น้องร่วมทุกข์มากกว่า แถมใครคนนั้นจะต้องไม่ขัดตากับบรรยากาศของกองทัพด้วย ซึ่งเบนเข้าทางมาก เข้ามีเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ แม้แต่เวลาที่เล่นบทตัวร้าย ก็มักจะมีลูกเล่นสนุกๆ เสมอ และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเบนกับคริสเป็นเพื่อนสนิทกันในชีวิตจริง มันทำให้เคมีเขาเข้ากันได้ดีมาก และเขาก็เหมือนพี่น้องในแบบที่เราต้องการ

คริสบอกว่ามีบทกำลังร่วงลงมาจากท่อฟอสเตอร์ผู้ที่เพิ่งรับบททหารใน Lone Survivor และทำงานกับอดีตทหารมานับครั้งไม่ถ้วน เล่าต่อเราทั้งคู่นึกถึง Hell or High Water มันเป็นงานที่พิเศษมาก และเรารู้สึกว่ามันมีอะไรที่สามารถขุดให้ลึกกว่านั้นได้ เวลาแสดงหนัง ถ้าคุณเข้ากันได้ดีกับเพื่อนร่วมงาน มันจะทำให้งานนั้นง่ายขึ้นมาก ร่วมถึงความหวังด้านรายได้ของหนังเองด้วย จริงๆ แล้วมันยากนะที่จะได้ทำงานกับคนที่เรารัก ไม่ว่าจะงานไหนก้ตาม มันยากที่จะเจอคนร่วมงานที่ทำให้คุณหัวเราะ และเป็นแรงบันดาลใจให้คุณพร้อมเจองานหนัก เขาเป็นคู่เต้นที่ยอดเยี่ยม เขามีเสน่ห์ที่พร่างพราย เขาฉลาดอย่างหาตัวจับยาก เขาเป็นคนที่ตั้งใจและละเอียด ผมเข้ามาในโปรเจ็กต์นี้ค่อนข้างช้า มันมีเวลาสามสัปดาห์ก่อนเปิดกล้อง จึงต้องรีบทำการบ้าน

 

 “ไมค์คือเพื่อนที่แม่จะบอกเราว่าอย่าไปคบกับมันนะแต่เราจะไปเสมอถ้าเขาโทรมา แม้จะรู้ว่าต้องเจอปัญหาแน่ๆซาเลห์หัวเราะกับตัวละครของฟอสเตอร์ผู้ซึ่งจัดระเบียบอะไรสักตลอดเวลาที่อยู่บนจอ ไมค์เป็นพวกที่พกปืนในกระเป๋ากางเกงตลอดเวลา แม้แต่ตอนที่เขาไปงานศพเพื่อน ไมค์จะทิ้งปืนไว้ที่อื่นเฉพาะเวลาที่เขากับเจมส์อยู่ในถ้ำชายของพวกเขา และรู้สึกปลอดภัยกับเพื่อนคนนี้

 

เมื่อฟอสเตอร์มาถึงกองถ่ายที่แอตแลนตาในการถ่ายทำสัปดาห์แรก เขาก็กลายเป็นตัวละครของเขาไปแล้วเขาเป็นเจ้าทฤษฎีเต็มร้อยเลยโปรดิวเซอร์ อีริค ลี ว่าเขาแต่งตัวเหมือนตัวละคร มันว่าเขาเอาชุดพวกนั้นติดตัวไว้เสมอ พร๊อพของเขาจะไม่อยู่กับฝ่ายพร๊อพแต่จะไปอยู่บนรถของเขา แล้วเขาก็พกมันแม้จะไม่ใช่เวลางานก็ตาม เขาสวมหมวก ใส่เสื้อและกางเกงขาสั้น เขาคือตัวละครของเขาเลย

ผมว่าบางทีเรามองทฤษฎีผิดวิธีน่ะ แบบที่ชอบคิดว่ามันหมายถึงการเดินเข้าฉากแล้วนักแสดงก็ค่อยสวมบทของตัวละครในฉากนั้นๆ ระหว่างช่วงว่างแต่ละเทค เบนก็คือเบน เขาตลก เขายอดเยี่ยม และเท่มากอีวานีคเล่าเบนเหมือนฟองน้ำน่ะครับ เขาใช้เวลาชั่ววินาทีในการมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วรู้ทันทีว่าจะหยิบจับมันมาเสริมความเป็นตัวละครของเขาได้ยังไง สิ่งของบางอย่างยังเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสังเกตเห็นด้วยซ้ำ อย่างการที่เขาดูเหมือนเคี้ยวโทบักโก (บุหรี่แบบเคี้ยว) ตลอดเวลา แม้แต่ตอนที่ไม่ได้เคี้ยว เขาได้สิ่งนี้มาจากเบิร์ต

 

เขาโผล่มาในชุดที่พวกทหารใส่กันเวลาไม่ได้สวมเครื่องแบบคุนซ์ว่าเขามีความผยองและมั่นใจอยู่ในตัวในแบบเดียวกับท่พวกหน่วยรบมี

 

ผมไม่ชอบทำอะไรเหมือนโกหกฟอสเตอร์ยอมรับงานของผมคือต้องรีบทำความเข้าใจ และสัมผัสความรู้สึกเฉพาะของวัฒนธรรมนั้น ไม่ใช่เพื่อทำให้มันดูเป็นปกติ แต่เพื่อหาจุดเด่นให้เจอและนึกถึงมันเวลาอ่านบท

ฟอสเตอร์ยังขอสวมหมวกแก็ป Bison Union Coffee ของคุนซ์ ตอนที่พบกันวันแรก และเริ่มคิดว่าตัวละครของเขาจะสวมมันตอนไหนได้บ้างตอนที่ผมเห็นหมวกของเขา ผมก็ขอเอามาลองสวมดูเบนเล่า

 “จริงๆ ไม่ได้คิดมากอะไรนะ แต่โชคดีที่เขาตอบว่า ได้เลย มันใช่มาก

 

การใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ ในการแสดงทำให้ฟอสเตอร์ได้ใจคนในกองทัพ รวมถึงบรรดาผู้อารักขากฎหมายทั้งหลายตำรวจ ทหาร นักดับเพลิง พวกเขามองเบนเป็น ทอม ครูซ เลยล่ะอีวานีคเล่าพวกเขารักเบน ฟอสเตอร์ และ จอน เบิร์นทัล(Sicario) เพราะพวกเขาไม่รู้สึกว่าโดนล้อเลียน เพราะพวกเขาคือคนหน้างานจริง พวกเขาคือของจริง พวกเขาเลยรู้สึกได้ว่าใครคือความเท่ของเขา

 

การมีเบน ฟอสเตอร์อยู่ในกองถ่ายนั้นมีจะมีความพิเศษอีกอย่าง คือเวลาที่ต้องปิดถนน แล้วไม่มีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือมันมีฉากที่เราไม่สามารถปิดถนนได้ซาเลห์เล่าแต่เมื่อตำรวจทราบว่าเรามีเบนอยู่ในหนัง และตำรวจคนนั้นเป็นทหารเก่า เขาก็บอกว่าเพราะทุกสิ่งที่เบนทำเพื่อพวกเขา เราจะปิดถนนให้คุณคำขอบคุณทั้งหมดเป็นของเบน ฟอสเตอร์เลย

ดาราสมทบ รวมทีมขยี้ดราม่าแอ็คชั่น

 

  1. 1. กิลเลียน เจค็อบส์ สาวสายฮา ในบทภรรยาผู้เก็บงำ

 

ไม่เหมือนหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์เรื่องอื่นๆ The Contractor ใช้เวลาพอสมควรทีเดียวก่อนการบู๊จะเริ่มต้นผ่านไปเกือบชั่วโมงเชียวล่ะถึงจะมีการยิงเกิดขึ้นซาเลห์ยอมรับ ด้วยการที่หนังใช้องก์แรกในการพัฒนาตัวละครอย่างเต็มที่ กล่าวคือความสัมพันธ์ระหว่างเจมส์ กับภรรยาบรีแอนนา และ ลูกชาย ซึ่งทำให้เราเข้าใจสถานะทางการเงินของเขาและความล้มสลายของสภาพจิตใจเราปรึกษากันไม่รู้จบอีวานีคเผยถ้าคนดูนั่งลงแล้วคาดหวังแอ็คชั่นสุดระห่ำ เราจะทำยังไงให้เขาไม่เบื่อแล้วบิ้วอารมณ์ร่วมให้ได้ เพื่อให้เวลาที่ความบู๊มาถึง มันจะเข้มข้นขึ้นอย่างมากคำตอบคือการแคสติ้ง กิลเลียน เจค็อบส์ ผู้โด่งดังจากคอมิดี้ทีวีอย่าง Community มารับบทดราม่าอย่าง บรีแอนนาเราเลือกนักแสดงจากประวัติศาสตร์ของพวกเขา และคนดูที่รู้จักงานของเธอจะเข้าใจจุดที่เราให้เธอยืน บุคลิกนิ่มนวลและสว่างไสวของเธอเคยแสดงถูกลบทิ้งไปหมดแล้วอีวานีคสรุป

 

เพื่อนผู้ชายของผมที่สวีเดนทุกคนบอกผมว่าฉันรักนาง ขอเบอร์โทรศัพท์นางได้มั้ย’” ซาเลห์ขำกิลเลียนเป็นผู้หญิงที่สร้างเสน่ห์จากงานคอมิดี้ของเธอ แต่เธอไปเรียนเพิ่มที่ Julliard และจริงจังในฐานะนักเรียนการแสดง ตอนเราคุยกันครั้งแรกเรื่องบทที่เธอจะได้รับ เธอบอกผมว่าฉันรู้ว่าคุณอาจจะเคยดูหนังตลกที่ฉันเล่น แต่ฉันเป็นนักแสดงแล้วเราก็เริ่มคุยกันถึง อิงมาร์ เบิร์กแมน และความรักในตัวเขาแทนที่จะซ้อมบท ซาเลห์ เจค็อบส์ และ ไพน์ ดูหนังเรื่อง Scenes from A Marriage ของ เบิร์กแมนด้วยกัน ก่อนถ่ายฉากครอบครัวผมคุยกับภรรยาทหารผ่านศึกจำนวนไม่น้อยตอนหาข้อมูล พวกเขามักเป็นโรค PTSD พวกเขาจะนั่งวิตกอยู่บ้านและรอคอยโทรศัพท์และหวังว่าปลายสายจะเป็นสามีของพวกเธอ ไม่ใช่ใครไม่รู้ที่บอกว่าสามีจะไม่มีวันกลับบ้าน ซึ่งพวกเธออยู่ในสภาวะแบบนี้นับปี กิลเลียนได้ส่งผ่านความกลัวแบบนั้นผ่านตัวละครได้อย่างดี โดยเฉพาะฉากหลังคาบ้าน เมื่อเธอกลับบ้านและกังวลว่าเจมส์จะฆ่าตัวตาย

 

  1. คีเฟอร์ ซัทเธอร์แลนด์ บัญชาการโหด ในสวนหลังบ้าน

 

ด้วยปัญหาการเงินและความเครียดจากการตกงานของเจมส์ ไมค์แนะนำให้เขารู้จักกับรัสตี้ อดีตทหารที่ดำเนินธุรกิจกองกำลังรับจ้างในสวนหลังบ้านที่มีการป้องกันแน่นหนาเรารู้แต่แรกว่าตัวร้ายจะไม่ได้เป็นแค่พวกคนชั่วเหมือนหนังแอ็คชั่นทั่วไป เพราะในหนังที่ขับเคลื่อนด้วยตัวละคร ตัวร้ายมักเป็นเงาสะท้อนของตัวเอกเกือบตลอดซาเลห์ว่า

 

โชคร้ายสำหรับเจมส์ รัสตี้ไม่ได้มีขาใหญ่หนุนหลัง เมื่อภารกิจที่เบอร์ลินเริ่มน่าสงสัยรัสตี้สร้างเผ่าใหม่ ครอบครัวใหม่ และเขายังเป็นพวกผู้นำเผ่าแบบหัวเก่าสุดๆ ถ้าเขาถูกสงสัย ถ้าใครในครอบครัวเริ่มก่อปัญหา ก็ควรจะต้องกำจัดทิ้งซาเลห์เล่าต่อซึ่งมันคือขั้วตรงข้ามกับกองทัพอเมริกัน ที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ฉนั้นรัสตี้เลยเป็นพวกหัวหน้าเผ่า เป็นนักรบ และมีความเป็นพ่อปกครองลูก ซึ่งทำให้เขาน่ากลัวมากสำหรับตัวเอกของเรา

 

คีเฟอร์ ซัทเธอร์แลนด์ นักแสดงจากซีรีส์ 24 ได้รับเรื่องจากความพิเศษเฉพาะตัวของเขารอยสัก’ “มีลิสต์รายชื่อไม่มากที่เราตั้งใจเอามารับบทนี้ เพราะเราอยากได้คนที่เห็นแล้วสัญชาตญาณบอกเลยว่าใช่ซาเลห์เล่าผมแก่พอที่จะจำหน้าคีเฟอร์ได้จาก the Lost Boys สำหรับผมเขาคือดารารุ่นเก๋าตัวจริง ที่กลายเป็นดาราใหญ่ในวงการทีวี เขายังเคยทำงานกำกับด้วย ซึ่งมันดีมาก ผมชอบนักแสดงที่เคยกำกับ เพราะพวกเขาจะเตรียมตัวเป็น ทำงานง่าย และ เข้าใจคนที่อยู่ตรงนี้ แล้วเมื่อผมได้เห็นรอยสัก จริงๆของเขา ผมถามออกเลยว่า เราใช้มันได้มั้ย

 

เหล่าอดีตกองทัพพวกนี้เป็นเหมือนดาวร็อคแอนด์โรลอีวานีคเสริมแล้วเราอยากให้ตัวละครของเราเป็นเหมือน เจฟฟ์ บริดเจส วัยรุ่น ผู้ที่ไม่ต้องพยายามก็ดูถึก ที่คุณจะต้องคิดว่าเขาเป็นนักฆ่าที่เคยฆ่าคนมาแล้วแน่ๆ สำหรับคีเฟอร์แล้ว เขาเป็นเท่เลย แล้วเวลาที่เราตั้งใจ เขาก็จะตั้งใจ เราอยากให้คริสและคนดูรู้สึกว่า คนพวกนี้แหละที่เราจะอยากคบค้าสมาคมด้วย พวกเขาเท่และชิล และป้องกันพวกพ้องเสมอ ไม่มีใครทำตัวเด่น ไม่ต้องเต๊ะท่า มันมีความมั่นใจอยู่ข้างใน และพวกหมดนี้คือคีเฟอร์ ซึ่งนอกจากไมค์แล้ว ก็มีคีเฟอร์นี่แหละที่รับตัวตนของเบิร์ตไปเต็มๆ

 

  1. ฟาเรส ฟาเรส ศาสตราจารย์ผู้เคราะห์ร้าย

 

สำหรับภารกิจแรกในฐานะกองกำลังรับจ้าง เจมส์เดินทางไปเบอร์ลิน เพื่อสะกดรอยตาม ซาลิม โมห์ซิน ศาสตราจารย์ด้านพยาธิวิทยา ที่เจทส์ได้ข้อมูลมาว่ารับเงินจากโครงการการกุศลที่เกี่ยวกับกับ อัล กออิดะ ผู้รับบทโมห์ซินคือนักแสดงชาวเลบานอน ฟาเรส ฟาเรส นักแสดงนำจาก The Nile Hilton Incident “เขาเป็นเพื่อนสนิทผม ในทุกๆแง่มุมเลยซาเลห์เล่าเขาเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม และผมรู้ว่าจะไว้ใจเขาให้ทำอะไร เขากำลังถ่ายหนังเรื่องใหม่ของ เทอร์เรส มาลิก เขาก็มาจากกองของ เทอร์เรสมาที่โรมาเนียเพื่อมาโดนฆ่าในแล็บ

 

  1. นีน่า ฮอสส์ องค์ประกอบเล็กๆ อันทรงพลัง

 

พอเจมส์มาถึงเบอร์ลิน เขาก็เจอกับทีมของเขากับไมค์ ซึ่งรวมถึง คาเทีย อดีตสายลับอิสราเอลที่แสดงโดยนักแสดงเยอรมัน นีน่า ฮอสส์ (The Most Wanted Man) “นีน่า ฮอสส์ เก่งมากครับซาเลห์เล่าผมหวังว่าเราจะมีซีนให้เธอมากกว่านี้ ผมว่าทุกๆ คนคิดแบบนี้ เธอคือคนที่บาซิลแนะนำมา เขาพาเธอมาในการประชุมครั้งนึง และผมรู้ทันทีว่าเรากำลังคุยเรื่องเดียวกัน คุณอยากให้บทเธอใช่มั้ย ผมก็อยาก งั้นก็เยี่ยม

 

ถ้าผมกำลังดูหนังปี 1073 แล้วมีนีน่า ฮอสส์อยู่ในนั้น มันคงจะรู้สึกเหมือนจริงมากและถูกที่ถูกทางมากอีวานีคกล่าวสำหรับผม เธอมีกลิ่นอายของความเป็นทริลเลอร์แบบหนังยุโรปอยู่รอบตัว นีน่าคือคนที่ดูเหมือนเกิดมาเพื่อแบกโลกและมีปืนในมือ ผมคิดเสมอว่าเธอคือนักแสดงที่ยอดเยี่ยม แต่ไม่เคยคิดว่าจะได้เธอมาร่วมงาน เพราะมันค่อนข้างน้อยและแทบไม่ต้องพูดอะไรเลย แต่เธอก็ตอบตกลง ซาบซึ้งมาก เธอนำบาดแผลมาสู้คาเทีย และทำให้เห็นว่าตัวละครของเธอมีเรื่องเจ็บปวดขนาดไหน

 

  1. อามีเรีย คาซาร์ ลูกหลงองค์กรลับ

 

ซีลวี ภรรยาแม่ลูกสองของโมห์ซินและต้องถูกเจมส์จับเป็นตัวประกัน รับบทโดยนักแสดงชาวลอนดอน อามีเรีย คาซาร์ (Call Me By Your Name) “เธอเป็นสุดยอดนักแสดงเลยซาเลห์ชื่นชมคุณจะเชื่อในความหวาดกลัวของเธอ ตอนที่เจมส์เข้ามาทั้งเธอทั้งฟาเรสได้สร้างการแสดงที่ทรงพลังผ่านบทสมทบเล็กๆนี้ ซึ่งทำให้ผมนึกถึงผุ้กำกับอย่าง ไมเคิล แมนน์ กับ ซิดนีย์ ลูเมต์ ที่นักแสดงทุกคนในหนังจะต้องไปถึงจุดสูงสุดของการแสดง มันคือการใส่ใจในรายละเอียดครับ

 

  1. เอ็ดดี้ มาร์สัน กำลังเสริมที่ไม่เคยไว้ใจใคร

 

หลังจากที่โมห์ซินถูกฆ่า ทั้งคนของรัสตี้และเจ้าหน้าที่ตำรวจเยอรมันก็หันมาไล่ล่าเจมส์ ซึ่งหลบหนีไปได้ด้วยการช่วยเหลือของเวอร์จิล รับบทโดย เอ็ดดี้ มาร์สัน (Ray Donovan) “เราอยากได้ใครสักคนที่แสดงได้อย่างหมดจด แล้วยังต้องดูเหมือนอดีตกองทัพที่เก็บตัวอยู่ในบ้านตัวเอง ด้วยการหลอกหลอนและแตกสลายอีวานีคเล่าซึ่งมันก็มีบางอย่างบนสีหน้าแววตาของเอ็ดดี้ว่าเขาผ่านอะไรมามากมาย แต่ก็ยังคงมีความสุภาพอยู่ในตัว มันเป็นขั้วตรงข้ามที่พอเหมาะกับพื้นที่ส่วนนี้ของหนัง เมื่อตัวละครของคริสวิ่งวุ่นอยู่ในนรก เราอยากให้เขาได้ตั้งสติและลดอุณหภูมิลง และเราซื้อความสามารถของเอ็ดดี้ที่จะทำให้คริสกลับสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง

 

ผมเจอเขาในหนัง Ray Donovan และมันเหมือนรักแรกพบทีเดียวซาเลห์พูดถึงมาร์สันผมว่าเขาคือนักแสดงที่ยอดเยี่ยมคนนึงในรุ่นราวคราวเดียวกัน เขาทำให้ตัวเองดูน่ากลัวได้ และทำให้เราตกหลุมรักได้ และเมื่อเขาก้าวเข้ามา ทั้งผมทั้งคริสรู้สึกเหมือนวันคริสมาสมาถึงแล้วน่ะ เรากำลังจะได้เห็นการแสดงระดับเทพในหนังแน่ๆ

บันทึกกองคนพิฆาตคอนแทรคเตอร์’ 

: ทีมเบื้องหลังไฟแรงสูง โลเคชั่นอันตราย และ คริส ไพน์ กับการถ่ายแบบกองโจร

 

ที่จริงแล้วฉากในเยอรมันจะถ่ายทำที่สาธารณรัฐเช็ก ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงในนาทีสุดท้าย เนื่องจากภาษีกองถ่ายที่สูงเกินตัวหนัง และเพื่อที่จะให้กองถ่ายทำงานกันต่อ Thunder Road จึงย้ายทีมงานทั้งหมดมาที่โรมาเนีย ตั้งฐานกันอยู่ที่บูคาเรสต์ที่พวกเขาเพิ่งปิดกอง Voyagers กันไป

 

ด้วยหน้าตาและสีสัน ที่บูคาเรสต์เราจะได้เห็นสถาปัตยกรรมและการออกแบบที่คล้ายกับเมืองในยุโรปตะวันออกฮอร์นสเตนผู้ซึ่งมีญาติผู้ใหญ่เป็นชาวบูคาเรสต์เล่าเปลือกนอกของเมืองมันให้ในสิ่งที่เราอยากเห็นในเบอร์ลิน แล้วผู้คนก็น่ารัก ร่วมถึงทีมงานเราก็น่ารัก แถมยังมีสตูดิโอที่มีเครื่องมือพร้อมห่างจากตัวเมืองเพียง 45 นาที

 

ทางภาครัฐที่นี่ยังอนุญาตให้มีการถ่ายทำที่สนามบินนานาชาติบูคาเรส์ ซึ่งใช้ถ่ายในฉากสนามบินของวอชิงตัน ดีซีโรมาเนียมีทุกอย่างที่เราต้องการอีวานีคเล่ามีเมืองที่เหมือนเป็นคู่แฝดกับเบอร์ลิน มีชายหาด มีป่าและทะเลสาบ คริสปลาบปลื้มกับที่นี่มาก อาจฟังดูไม่เกี่ยวกันนัก แต่มีร้านอาหารดีๆ จำนวนมากและเป็นเมืองที่เหมาะให้เดินเล่นสุดๆ เลย ซึ่งเวลาที่คุณจะต้องถ่ายหนังอยู่ที่ไหนสักสามสี่เดือน มันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะไม่งั้นจะมีทีมงานเริ่มเสียสติ ก่อนจะระบาดไปทั้งกอง ฉนั้น ส่วนใหญ่เราเลยปักหลักกันที่โรมาเนียนี่ มีสองวันในเบอร์ลิน หกวันในแอตแลนตา ซึ่งสำหรับหนังฟอร์มขนาดนี้ วิ่งถ่ายตั้งสามประเทศ ถือว่าสนุกเลยครับ

 

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทีมหลังกล้องมั่นใจในความทะเยอทะยานของหนังมาก คือการที่ซาเลห์รวบรวมทีมงานตำแหน่งสำคัญๆ ทุกคนจากการทำหนังเรื่องก่อนหน้ามาอยู่กับเขาผมมักทำงานกับคนเดิมๆเขาเล่าผุ้กำกับภาพชาวฝรั่งเศสเพื่อนสนิทผม ปิแอร์ เอม มือตัดต่อชาวเดนมาร์ก เธอิส ชมิตออกแบบงานสร้างชาวสวีเดนของผม โรเจอรื โรเซนเบิร์ก และ คอสตูนดีไซน์ขาประจำชาวเดนมาร์ก หลุยซ์ นิซเซน สิ่งที่ทำให้ผมรักทีมของผมคือเราร่วมงานกันมาตลอดจนคิดอะไรไปในทางเดียวกันหมด ซึ่งการทำหนังมันควรจะต้องเห็นภาพเดียวกัน ภาพของผม ถึงแม้ว่าผมจะรับฟังความเห็นดีๆ จากทุกคนได้ แต่สุดท้ายแล้ว มันคือความรับผิดชอบของผมคนเดียว

 

ผมมองทาริคกับคนอื่นๆ ทำงานกันเหมือนอวัยวะในร่างกายอีวานีคว่าบางครั้งเราอาจจะเจอคนออกแบบงานสร้างไม่ชอบตากล้องหรืออะไรประมาณนี้ จนเกิดการชิงดีชิงเด่นกันบางครั้ง แต่ทีมนี้มีความเชื่อมต่อกันอย่างดีมาก และด้วยความเป็นหนังอเมริกันฟอร์มใหญ่เรื่องแรกของพวกเขา มันทำให้ทาริคทำงานถนัดขึ้น ทาริคที่ภาพในหัวของเขาและรู้ว่าต้องการอะไร และเขารู้ว่าเขาจะทำให้ทีมงานเสนอมันออกมายังไง

 

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณทำหนังโดยมีบัดเจ็ตจำกัด มีเวลาจำกัด มีการเตรียมการที่จำกัด มันจำเป็นมากที่จะต้องมีทีมงานที่เข้าใจคุณ ที่รู้ว่าคุณทำงานแบบไหนเอสเธอร์ ฮอร์นสตีนเอ็กคูทีฟโปรดิวเซอร์เห็นด้วยกับเรื่องนี้คุณจะเห็นปิแอร์อยู่หน้างานและรู้ว่าทาริคต้องการหรือขาดอะไรแบบเป๊ะๆ เพื่อทำให้ความคิดนั้นสมบูรณ์ มันเป็นกองถ่ายที่มีความอินเตอร์มาก ทาริคจะพูดภาษาสวีเดนกับโรเจอร์ แล้วหันมาพูดภาษาอังกฤษ ขณะที่ปิแอร์พูดฝรั่งเศสกับผู้ช่วย มันเป็นบรรยากาศที่ห้าภาษาถูกใช้พร้อมๆ กัน

 

ก่อนจะมาปักหลักกันที่โรมาเนีย ทีมโปรดักชั่นใช้เวลาหกวันในการถ่ายทำที่แอตแลนตา ประเทศจอร์เจีย ถ่ายฉากที่เกี่ยวกับครอบครัวของเจมส์และไมค์ทั้งหมด พอย้ายกองมาที่เบอร์ลินสองวัน ก็ถ่ายฉากกลางแจ้งทั้งหมด ฉากเจมส์มาถึงสถานีรถไฟ เดินตามท้องถนน จนถึงรถไฟใต้ดินเราต้องกลับไปทำงานกันแบบกองถ่ายหนังออสระ เพราะเยอรมันมีกฎบ้าๆ ประเภทห้ามทีมงานเกิน 7 คนรวมนักแสดงลงไปถ่ายในสถานีรถไปใต้ดินลีเผยเราเราไม่เอาทีมเสียงไป มีแค่กล้อง คริส ผู้กำกับศิลป์ ผู้กำกับ และ เอ็กซ์ตร้า

 

บ้าบอมากทีเดียวครับซาเลห์เล่าย้อนไพน์ถึงกับพูดว่านี่มันฮามากเลยนะเพราะเขาเป็นถึงดาราฮอลลิวู้ดชื่อดัง แต่เราดันถ่ายกันเหมือนหนังสารคดี

เราต้องย่อขนาดให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ไพน์เสริมแต่ก็สนุกมากครับ เพราะคุณต้องทำอะไรรีบๆ และตัดสินใจอะไรให้เร็วมากๆ ต้องแบบ เอาเลย ไปเลย เอาเลย ไปเลย ผมชอบนะ ผมอยากทำหนังแบบนี้อีก มันทำให้รู้สึกคล้ายเล่นละครเวทีน่ะ

 

พวกเขายังถ่ายทำกันที่คร็อยส์เบิร์ก ย่านเสรีในเบอร์ลิน เพื่อถ่ายฉากที่เจมส์มาเจอกับไมค์กลางแจ้ง (ส่วนในตัวอาคารพวกเขามาถ่ายที่โรงพยาบาลร้างในบูคาเรสต์) “มันเป็นย่านที่เจ๋งและมีความเป็นย่านพื้นเพแบบเบอร์ลินในแบบที่เราอยากไปฮอร์นสตีนเล่าบริษัทที่ช่วยเราเรื่องถ่ายทำเตือนเราเสมอว่า นี่เป็นเขตที่อันตรายที่สุดในเบอร์ลิน พวกเขาไม่แนะนำให้คริส ไพน์ไปถ่ายที่นั้น เพราะตกดึกพวกค้ายาจะออกมาเพ่นพ่าน แต่ไม่ว่าไงเราก็จะถ่ายนะ

 

ก็มีพวกที่ใช้ยาเสพติดโผล่มาและเมายากันบนท้องถนนใกล้ๆ พวกเราซาเลห์เล่าความจำส่วนใหญ่เป็นเฮโรอีน ซึ่งพวกเสพเฮโรอีนมักจะหมกมุ่นอยู่กับตัวเอง มันแย่กว่า แอมเฟตามีน หรือ พวกยาเม็ด เพราะมันทำให้เกรี้ยวกราดกว่า แต่ผมชอบสถานที่แบบนี้นะ มันทำให้สติเรามั่นคงกว่าปกติและต้องมีสมาธิมากจริงๆ ผมกังวลพวกคนจากสตูดิโอมากกว่า ก็เลยต้องคอยมองรอบๆ ตลอดว่าไม่มีใครผู้ทำร้ายร่างกาย ตอนนั้น เบิร์ตไม่อยู่กับเราด้วย ผมรู้สึกปลอดภัยที่สุดเวลามีเขาอยู่ใกล้ๆ เอาจริง ผมเกือบจะอยากให้มีใครทำร้ายเราหน่อย ผมอยากเห็นเขาบู๊น่ะ!”

 

ในกองถ่าย คุนซ์กลายเป็นเครื่องวัดความสมจริงวันแรกของการถ่ายทำ คริสกับเบนมองที่ผมแล้วถามว่าเมื่อกี้โอเคมั้ย’” เขาเล่าซึ่งมันก็ทำให้ผมตอบออกไปว่ายังนะ คุณไม่น่าพูดประโยคนั้นโดยไม่มีอีโก้ หรืออคติ หรือคุกคามแม้แต่น้อย แล้วเขาก็ตอบว่าเจ๋งเลยครับ มาเริ่มกันใหม่ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับหน่วยรบพิเศษ หรือยุทธการ หรือกองทัพ พอจบเทค พวกเขาจะหันมาแล้วถามมันดีรึยัง คุณอยากเปลี่ยนอะไรมั้ยผมสามารถทำอะไรให้ดีกว่านี้มั้ย ซึ่ง 99 % ของทุกครั้งที่ผมบอกว่ามันดีแล้ว มันยังไม่ดี หรือให้ทำอะไร พวกเขาก็จะทำตามทั้งหมด เพื่อให้มันสมบูรณ์แบบ

 

มันดีมากที่เบิร์ตไม่ให้ความเห็นแบบตรงไปตรงมาไพน์เล่าเสริมถ้ามีอะไรไม่ดี เขาจะบอกไม่ดี ถ้าอะไรดีเขาก็ว่าดี

 

คนพวกนี้มีความตั้งใจที่ดีมากคุนซ์กล่าวเวลาที่เขาถามคำถาม เขาไม่ได้ถามเพื่อให้ตัวเองดูดี เขารู้จักกับเป้าหมายที่มีร่วมกันซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับความสามารถในการแสดงเลย พวกเขาอยากจะมั่นใจว่าได้นำเสนอภาพที่แท้จริงที่สุดของการเป็นทหาร เขาถึงถามตลอดว่า ทหารพูแบบนี้กันมั้ย ผมถือปืนถูกมั้ย ผมยิงถูกวิธีมั้ย หรือ วางสายตาถูกมั้ย มันไม่ได้เกี่ยวกับตัวพวกเขา มันเกี่ยวกับการเล่นเป็นทหารที่สมจริง

 

หลายอย่างเป็นเรื่องธรรมดาๆ เลยเขาเล่าต่อเช่น ถ้าคุณอยู่ในห้องโรงแรม แล้วมีอาวุธติดตัว คุณควรถือมันยังไง คุณจะวางมันตรงไหน ถ้าคุณเข้าห้องน้ำไปแปรงฟัน คุณจะวางมันบนเคาน์เตอร์ ถ้าคุณไปนอนที่เตียง คุณจะวางไว้บนชั้นวางข้างเตียง ถ้าคุณนั่งที่ดต๊ะทำงาน มันควรจะอยู่ข้างๆ ตัวคุณ ถ้าคุณอาบน้ำ มันควรจะอยู่บนเคาน์เตอร์ในมุมที่หยิบได้ทันที แล้วก็เรื่องอื่นๆ อย่างพวกบทพูด เช่น เบนจะเป็นคนที่ชอบปั้นคำ เขาจะหาทำที่ใช่ เขาไม่อยากพ่นคำอะไรที่ซ้ำซากออกมา เขาอยากมีความเป็นต้นฉบับ คริสก็เช่นกัน ผมพูดแบบนี้ได้มั้ยบางครั้งผมก็ตอบว่าไม่ นั่นมันซ้ำซากและตลกมากแล้วเขาก็จะเปลี่ยนมัน ผมจะให้คำแนะนำนิดๆ หน่อยๆ แล้วพวกเขาก็จะนำไปทำให้มันออกมาดีที่สุด ผมไม่ใช่นักแสดงน่ะนะ

 

หลายครั้งที่ผู้กำกับอาจรู้สึกเสียการควบคุม เมื่อนักแสดงหันไปถามคำเห็นจากผู้อื่น แต่ซาเลห์เต็มใจน้อมรับการชี้แระจากคุนซ์อย่างเต็มที่เวลาเราเข้าฉาก เราจะหันไปหาเบิร์ตเพื่อถามว่ามันดูเป็นไงเขาจะตอบเขาเผยอะไรที่เจ๋งเบิร์ตจะบอกว่าหวังว่าผมจะไม่ไปก้าวก่ายวรรคนี้นะ แต่มันไม่เหมือนคนกำลังตายเลยแล้วผมก็จะตอบว่าแล้วคนที่กำลังจะตายต้องดูเป็นไงเขาจะตอบว่าเหมือนตุ๊กตาไม้ ที่โดนตัดเชือกน่ะบางจุดก็มีบ้างที่ผมบอกเขาว่านี่ไม่ใช่หนัง นี่คือสารคดี ฉนั้นบอกผมมาว่ามันควรจะเป้นยังไงซึ่งทั้งหมดมันคือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างวิธีพกปืนใกล้ตัว การซ้อนตัวหลังรถ ต้องซ้อนบริเวณล้อ ผมสนใจแค่การทำหนังให้ออกมาดี แต่ถ้าคุณอยากทำหนังที่สุดยอด คุณจะต้องใส่ใจความเชื่อมโยงในทุกๆภาคส่วน ผมบอกเบิร์ตว่าผมอยากมีคุณอยู่ในหนังทุกเรื่องเลย’”

เบิร์ตสามารถทำตัวเลวร้ายได้ถ้าเขาอยากอีวานีคเล่าแต่เบิร์ตไม่ใช่คนแบบนั้น เขาไม่ใช่พวกชอบสร้างปัญหา เขาอยากที่จะช่วย แล้วเขาก็ภูมิใจในงานที่เราทำ มันจึงเป็นความสัมพันธ์ที่งดงาม และทุกๆ คน ตั้งแต่ฝ่ายคอสตูมทำเสื้อเกราะ ก็มาจากเบิร์ต เขายังเข้าใจความพิเศษในการทำหนังฮอลลิวู้ด ไม่มีคำพูดได้จะบอกใดว่าเขาสำคัญแค่ไหนในขั้นตอนการคิดสร้างสรรค์ของเรา

 

แจ็ค กิลล์ : สตั๊นต์จาก Fast and Furious กับงานที่เป็นมนุษย์มากที่สุด

คุนซ์ทำงานกับไพน์ต่อจนถึงโรมาเนีย เขาสอนทั้งไพน์ ฟอสเตอร์ ฮอสส์ และ จอร์จ พิสเตอร์เรน์ ผู้รับบทคาร์ลอสสมาชิกทีมของไมค์ ถึงวิธีการยืน ยิง นับกระสุน บรรจุแม็กกาซีน เขายังทำงานกับสตั้นต์แมนอย่าง แจ็ค กิลล์ ที่เคยทำงานในหนังอย่าง Fast and Furious, Bad Boys และ Captain America: Civil War ในแง่การแสดงท่าทางช่วงฉากแอ็คชั่น การวางยุทธการ การวางท่าทางของหน่วยรบพิเศษว่าเขาถีบประตูอย่างไร หรือ เคลียร์พื้นที่อย่างไร

 

ใจความสำคัญคือทำให้มันสมจริงคุณจะทำหนังแอ็คชั่นยังไง ไม่ให้ดูปลอม ไม่ให้คนอย่างเบิร์ตหรือใครก็ตามนั่งดูอยู่กับเพื่อนแล้วบ่นว่าโคตรปลอมเลยว่ะ’” อีวานีคอธิบายแน่นอนว่ามันมีหนังฟอร์มยักษ์หลายเรื่องที่ซีนแอ็คชั่นดูปลอมจนหมดท่า แต่สำหรับหนังเรื่องนี้ เราพยายามทำให้มันสมจริงที่สุด เพื่อสร้างอารมรืร่วม เพื่อสร้างบรรยากาศ เพื่อส่งเสริมนักแสดง เพื่อทุกๆ อย่าง มันคงน่าอายถ้าทำหนังแอ็คชั่นแล้วออกมาเหมือนหนังเจมส์ บอนด์ฉบับ โรเจอร์ มัวร์ เรายึดมันไว้กับความเป็นจริง เคารพหลักฟิสิกซ์ แจ็คอาจจะเคยร่วมงานใน Fast and Furious แต่สำหรับเรื่องนี้ เขากลับมาสู่สิ่งที่เขามีจริงๆ สู่รากฐานของเขา และเราก็ได้สิ่งที่เราต้องการอย่างถูกต้องที่สุด

สำหรับซาเลห์การทำงานกับกิลล์เหมือนฝันที่เป็นจริงเขาคือคนเดียวที่เคยร่วมกองถ่ายของ ซิดนีย์ ลูเมต์ เขาเลยเป็นตำนานที่ยังมีชีวิตซาเลห์ยกย่องผมใจเต้นที่ได้ร่วมงานกับเขา เพราะ ซิดนีย์ ลูเมต์ คือฮีโร่ของผม ตอนที่ Fast and Furious มาถึง มันก็ยึดคนดูทั้งประเทศเอาไว้ ทำให้เวลาที่เขาขออะไรที่ผมไม่คิดจะขอ ทีมโปรดักชั่นท้องถิ่นจะรีบวิ่งไปหาให้เขาทันที

 

ฉากแอ็คชั่นที่ซับซ้อนและใหญ่ที่สุดของเรื่อง คือฉากที่สะพานข้ามแม่น้ำดัมโบวิสซา และสี่แยกที่ใหญ่ที่สุดในบูคาเรสต์แยกนี้เคยปิดการจราจรแค่ครั้งเดียว คือตอนที่พระสันตะปาปาเสด็จ ซึ่งใช้เวลาสองชั่วโมงลีเล่าแต่เราต้องปิดมันนาน 20 ชั่วโมง เพื่อถ่ายฉากแอ็คชั่นระห่ำด้วยปืนและมอเตอร์ไซต์ ก่อนที่เจมส์จะกระโดดลงไปในแม่น้ำ สี่วันก่อนที่เราจะยื่นขอถ่ายทำ เรายังรอที่หาวิธีปิดยังไงให้เหลือไว้หนึ่งหรือสองเลนเพื่อการจราจร แล้วเขาจะอนุญาตให้เราทำหรือไม่ เรามีแผนสำรองประมาณ 20 แผน แต่ว่าเราก็ได้ทุกอย่างที่ต้องการและดำเนินการในสิ่งที่ ไม่น่าจะทำได้เลย เราจะได้ทั้งถนนตั้งแต่ เจ็ดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็นในวันเสาร์ อาทิตย์ เขาให้เราควบคุมรางรถราง รถใต้ดิน เราควบคุมทุกอย่างเลย แล้วมันก็เป็นข่าวในตอนนั้น เราได้โฆษณาในวิทยุที่บอกให้ผู้คนเลี่ยงการสัญจรเพราะพวกเราจะถ่ายหนัง

 

ถ้าดูในหนังมันจะเหมือนเป็นแค่ฉากที่ดุธรรมดาฉากนึง เหมือนใครสักคนถือกล้อง แล้ววิ่งถ่ายไปรอบๆซาเลห์ขำแต่พวกมันเป็นฉากที่ยากที่สุดที่จะทำให้ดูเหมือนเราอยู่ตรงนั้นจริงๆ ใจกลางสี่แยกที่การจราจรวุ่นวาย แล้วจู่ๆ ก็มีคนหยิบปืนกลออกมากระหน่ำ และขับมอเตอร์ไซต์ขึ้นฟุตบาท

 

เป้าหมายที่เป็นหนึ่งของ คริส ไพน์

ตลอดระยะเวลาการทำงาน เป้าหมายของไพน์คือผลลัพท์ หรือหมายถึงไพน์ที่ทำงานร่วมกับคุนซ์ เขาใช้เงลาหลายเดือนในการฝึกซ้อมร่างกายให้เฟิร์มที่สุด เพื่อเตรียมรับบทนี้ และยังคงเช้าฟิตเนสตลอดการถ่ายทำ มากกว่านั้น เขายังเป็นหน้าตาให้กับทุกซีนในภาพยนตร์ผมเป็นพวกคลั่งไคล้เรื่องมุมมอง เวลาทำหนังผมจึงแทบจะไม่มองข้ามรายละเอียดของบุคคลที่หนังพยายามเล่าถึงซาเลห์เล่ามันคือส่วนสำคัญของการเป็นหนังที่ขับเคลื่อนด้วยตัวละคร เพราะมันเกี่ยวกับเขา ฉนั้นผมเลยเอาใจใส่กับคริสมากๆ เพราะไม่อยากให้มีอะไรหลุด

 

ผมยังรู้ว่าวิธีถ่ายทำของตัวเอง ที่จะไม่ยอมใช้ตัวแสดงแทนซาเลห์ว่าต่อหมายถึง เราอาจจะใช้ตัวแสดงแทนในพาร์ทเล็กๆ ได้ แต่ส่วนใหญ่ๆ เลย เขาจะต้องทำงานสตั้นท์ด้วยตัวเขาเอง และความพยายามนี้ของเขาก็โหดเข้าขั้นเลย บางครั้งผมถึงกับต้องยอมถามว่าขอเถอะ ขอผมใช้ตัวแสดงแทนของปีนกะไดหรือกระโดดข้ามรั้วนี้ได้มั้ย ผมไม่อยากให้คุณบาดเจ็บแล้วเขาก็ตอบว่าไม่ล่ะ ผมกลัวคุณจะรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ผม ผมอยากทำเอง ผมอยากทำทุกอย่างเองเขาคือนักแสดงระดับเทพ ที่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ

 

ที่จริง ซาเลห์เป็นคนที่ชื่นชมนักแสดงของเขาเสมอผมอึ้งไปหลายครั้ง กับการเข้าถึงอารมณ์ขั้นสุดของเขา ของขวัญที่ใหญ่ที่สุดที่เขาได้มอบให้กับตัวละครคือความอ่อนแอและความกลัว พวกขาโหดในหนังแอ็คชั่นส่วนใหญ่ มักชอบทำให้ตัวเองดูแข๊งแกร่งในทุกเฟรมภาพ แต่กับเขาเวลาผมบอกว่าผมว่าตอนนี้คุณต้องกลัวหัวหดเลยเขาก็จะทำแบบนั้น  อย่างเช่นตอนที่เขานอนเปลือยกายอยู่ในอ่างอาบน้ำแล้วตกใจตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว ทำให้ผมขนลุกไปเลย มันเหมือนเขาเพิ่งได้เกิดใหม่อีกครั้ง ผมยังอึ้งในความเอาใจใส่อย่างสุดใจที่เขามีต่อนักแสดงคนอื่น เพราะมันเป้นหนังที่ย้ายไปย้ายมาตลอด เราเปลี่ยนฉากถ่ายตลอด สถานที่ใหม่ตลอด และไม่เคยกลับมาที่เดิมซ้ำสอง ฉนั้นนักแสดงแต่ละคนจะมาเข้าฉากหนึ่งวันแล้วกลับ ซึ่งเราต้องการให้เขาทุกคนแสดงอย่างสุดความสามารถ แต่บางครั้งก็เกิดความประหม่าหรือไม่เข้าที่ ก็มีคริสนี่แหละ ที่จะไปใช้เวลาอยู่กับพวกเขา มีอยู่ครั้งนึง ที่ผมคิดจะพอแล้วกับใครสักคน แล้วคริสบอกผมว่าไม่ได้ เดี๋ยวผมขอลองวิธีอื่นกับพวกเขาก่อนมันเป็นส่งที่มีค่ามากเลยล่ะ

สำหรับคริส เขาเต็มไปด้วยความตั้งใจ ตั้งแต่บนสุดยันล่างสุดอีวานีคสรุป  “พูดในภาษากีฬา คือเขาจะไม่ยอมให้ใครหลุดจากสนามเลย เขาทุ่มทุกอย่างให้กับหนัง ซึ่งมันทำให้หึกเหิมเวลาทำงานกับคนแบบนี้

 

คริส ไพน์ และเรซูเม่ของเขา

คริส ไพน์ คือดาราฮอลลิวู้ดที่มากความสามารถและเนื้อหอมที่สุด ด้วยหนังใหญ่จำนวนมากที่ต่อคิวเข้าฉายและถ่ายทำ เขามีประวัติการทำงานที่กว้างใหญ่พอๆกับความสามารถอันหลากหลายของเขา

 

งานโปรดักชั่นล่าสุดของไพน์คือทริลเลอร์สั่นประสาท Don’t Worry Darling and All the Old Knives ของผู้กำกับ โอลิเวีย ไวล์ด หนังดราม่าที่ติดตามสอง CIA ที่เป็นอดีตคู่รักกัน และต้องมารื้อฟื้นคดีที่เคยทำร่วมกัน เมื่อปีที่แล้วคริสยังกลับมารับบท สตีฟ เทรเวอร์ ใน Wonder Woman 1984 ภาคต่อสุดฮิตของ Wonder Woman และเขายังกำลังถ่ายทำ Dungeons and Dragons ให้กับค่ายพาราเม้นต์ ซึ่งเป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากเกมส์กระดานยอดฮิต

 

ในปี 2018 ไพน์นำแสดงในหนังดราม่าย้อนยุคของ Netflix อย่าง Outlaw King รับบทเป็น โรเบิร์ต เดอ บรูซ กำกับโดย เดวิด แม็กเคนซี ซึ่งเล่าถึงประวัติศาสตร์ช่วงที่โรเบิร์ตต้องสู้รบเพื่อปลดแอกสก็อตแลนด์ในฐานะกษัตริย์ จนถูกโจมตีย่อยยับและถูกอังกฤษตราหน้าว่าเป็นพวกนอกรีต ไพน์ยังให้เสียงพากย์ ลีเจนเดอรี ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ในหนังที่ชนะลูกดลกทองคำอย่าง Spider-Man- Into the Spider-Verse

 

คริสยังเป็นที่คุ้นเคยกับแฟนหนังจอเล็ก ในปี 2019 ไพน์นำแสดงในมินิซีรีส์ของ TNT ที่ชื่อ I Am the Night ถือเป็นการกลับมาร่วมกันระหว่างเขากับผุ้กำกับ แพ็ตตี้ เจนกินส์ ในสองอีพีแรก ซึ่งเล่าเรื่องของ ฟาวนา โฮเดล หญิงสาวที่เสาะหาความลับที่ซ่อนอยู่ในอดีตของเธอเอง ร่วมกับวายร้ายอย่าง ดร จอร์จ โฮเดล ที่เป็นผู้ต้องสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นตัวจริงของฆาตกรที่ชื่อ แบล็ค ดาห์เลีย

 

คริสยังรับทเป็นตัวละครสำคัญอย่าง มร.เมอร์รี ในหนังของ เอวา ดูเวอร์เนย์ อย่าง A Wrinkle in Time ซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกัน  หนังแฟนตาซีที่ว่าด้วยเด็กสามคนที่ออกตามหาพ่อซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่หายตัวไป ร่วมจอกับ รีส วิทเธอร์สปูน, แซค กาลิเฟียนาคิส, มินดี้ คาลิง และ โอปราห์ วินฟรีย์ มากกว่านั้น คริสได้นำแสดงคุ่กับ กัล กาโดต์ ในหนังฮิตติดบ็อกซ์ออฟฟิศอย่าง Wonder Woman กำกับโดย แพ็ตตี้ เจนกินส์ หนังได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์และเป็นหนึ่งในหนังทำเงินสูงสุดในปีนั้น และถูกรับเลือกให้เป็นหนึ่งในสิบหนังแห่งปีโดย สมาคมภาพยนตร์แห่งอเมริกา
ในปี 2016 เขาเล่นหนังดราม่าชนะรางวัลอย่าง Hell or High Water ร่วมกับ เจฟฟ์ บริดเจส และ เบน ฟอสเตอร์ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมทั้งจากออสการ์, ลูกโลกทองคำ และ สมาคมนักวิจารณ์

 

ซัมเมอร์ปี 2017 คริสกลับมารับบท อีริค อีกครั้งใน Wet Hot American Summer : Ten Years Later หนังภาคต่อของ เดวิด เวน Wet Hot American Summer และภาคก่อนหน้าปี 2005 Wet Hot American Summer : First Day of Camp ไพน์ยังเป็นดารารับเชิญในกับซีรีส์คอมิดี้ของ สตีฟ และ แนนซี  แคเรลล์ Angie Tribecca นอกจากนี้ เขายังให้เสียงตัวละครในแอนิเมชั่นซีรีส์หลายเรื่อง อาทิ American Dad ทาง Fox Network, Robot Chicken ของ Cartoon Network และ SuperMansion คอมิดี้ที่เล่าเรื่องของซูเปอร์ฮีโร่วัยเกษียณและทีม ที่พยายามเปลี่ยนโลกใบนี้ให้ดีขึ้น ด้วยการต่อสู้กับวายร้ายมากมาย คริสได้รับเสนอชื่อในรางวัล การพากย์เสียงตัวละครยอดเยี่ยม จากเวทีเอมมี่

ยังมีชื่อของเขาในผลงานอีกมากมายรวมถึง Star Trek Beyond ภาคที่สามของแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยกลับมารับบทเดิมเป็น กัปตัน เจมส์ ที เคิร์ก (ไพน์ยังนำแสดงใน Star Trek และ Star Trek Into Darkness) ร่วมงานกับดิสนีย์ใน The Finest Hour, Z for Zachariah, Horrible Bosses 2 และหนังเข้าชิงออสการ์และลูกโลกทองคำของ ร็อบ มาร์แชลล์ Into the Wood รับบทนำใน Jack Ryan : Shadow Recruit กำกับโดย เคนเนตท์ บรานาร์ก, แอนิเมชั่นของ Dreamwork อย่าง Rise of the Guardians; People Like Us, This Means War, Unstoppable แอ็คชั่นคอมิดี้ของ 20th Century Fox และแอ็คชั่นทริลเลอร์ของ FOX อย่าง Unstoppable เคียงข้างกับ เดนเซล วอชิงตัน และผู้กำกับ ดทนี่ สก็อตต์, Vantage’s Carriers ของ Paramount, แอนิเมชั่นส่งเสริมการศึกษา A Cassini Space Odyssey; Bottle Shock กำกับและเขียนบทโดย แรนดัลล์ มิลเลอร์, หนังอิสระ Small Town Saturday Night ของผู้กำกับ ไรอัน เคร็ก, หนังดราม่าของ โจ คาร์นาฮาน Smokin’ Aces, แสดงร่วมกับ เอ็ดดี้ เคย์ โธมัส และ เจน ซีมัวร์ Blind Dating, ร่วมแสดงในโรแมนติดคอมมิดี้ของ New Regency ใน Just My Luck คู่กับ ลินด์เซย์ โลฮาน และ คู่กับแอนน์ แฮธอะเวย์ ใน he Princess Diaries 2: Royal Engagement