“มนต์รักวัวชน”

 

 

กําหนดฉาย : 30 มิถุนายน 2565 แนวภาพยนตร์ : โรแมนติก-คอมเมดี้ บริษัทผู้จัดจําหน่าย : เอ็ม พิคเจอร์ อํานวยการสร้าง : ปัญชลีย์ นิธิจิระโรจน์ ควบคุมการสร้าง : ชัญญาภัค ไล่มั่น / อาทิตย์ ศรีภูมิ ประสานงานสร้าง : ภัทรนิษฐ์ โรจน์พูลสิริ ผู้จัดการกองถ่าย : พิสิธ จิตระออน ออกแบบงานสร้าง : ชคาษา เชื้อโพล้ง กํากับศิลป์ : สิรวุฒิ ใจสบาย แต่งหน้า : พัชรี กรองมาลัย / ภูริวัจน์ วรวิไลวิทย์ ทำผม : ศุภชัย คูณศรี / สกุลรักษณ์ ผลสำโรง ออกแบบเครื่องแต่งกาย : ศรวณีย์ จันทร์ใย กํากับภาพ : จิรเดช สำเนียงเสนาะ / คณาธิป ไชยวัน / ผดุงเกียรติ ถ้ากลาง ลำดับภาพ : ธวัช ศิริพงศ์ / ภานุเดช สุภาผล ห้องบันทึกเสียง : Banana sound studio ฟิล์มแล็บ : กันตนา โพสท์ โปรดักชั่น (ไทยแลนด์) กํากับภาพยนตร์ : เอกชัย ศรีวิชัย บทภาพยนตร์ : ชัญญาภัค ไล่มั่น /ปัณณวิชญ์ เตชะพิชัยพงศ์ นักแสดง : เอกชัย ศรีวิชัย, เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา, ไพศาล ขุนหนู, ตั๊กแตน ชลลดา, ตรี แสงมณี, ลิลลี่ เลิกคุยทั้งอำเภอ, อาภาพร นครสวรรค์, ปิยะพันธ์ นาคพิน, ยุทธนา บุญรัตน์, ธเนศพิพัฒ สุทธิหิรัญคำรงค์, มงคล สะอาดบุญญพัฒน์ ,สิตางศุ์ บัวทอง , สุริยวัตร หนูราม, อรรถพงษ์ สงแก้ว(บอล วงกลม), พนัชกร แท่นประมูล, พงศกร จันทรน้อย, เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น, นีโน่ สุดที่รัก, วชิราภรณ์ ม่วงหีต(อีอฟ ดอกฟ้า), สมพงษ์ จิตรเที่ยง(หลวงไก่), วีรยุทธ นานช้า(บ่าววี),เมญ่า ชันชัน, สายสิน วงษ์คำเหลา,ธนาวุฒิ เกสโร,สิทธินนท์ ไรจนเมธากุล(สิงหา) และอีกมากมาย

เรื่องย่อ

“มนต์รักวัวชน”

ศึกแห่งศักดิ์ศรี ศึกครั้งนี้มีหัวใจเป็นเดิมพัน ไข่แคว็ดเด็กหนุ่มแห่งดินแดนด้ามขวาน เขาเติบโตมาท่ามกลางสมรภูมิวัวชน แต่พ่อของเขาซึ่งมีอาชีพเป็นชาวนาห้ามนักห้ามหนาว่าอย่ายุ่งกับวงการวัวชน ไข่แคว็ดเชื่อพ่อ ต่างจากไข่นุ้ยผู้เป็นพี่ชาย

เมื่อครั้งยังเด็กทั้งไข่นุ้ยและไข่แคว็ดจับพลัดจับผลูได้ลูกวัวชนมาหนึ่งตัว พวกเขาตั้งชื่อว่าเจ้าน้ำตาล ไข่นุ้ยเลี้ยงเจ้าน้ำตาลจนโตพอที่จะลงแข่งได้ เขาไม่รีรอจูงเจ้าน้ำตาลเข้าสนามวัวชนทันที โดยไม่ฟังคำห้ามปรามของพ่อและไข่แคว็ดแม้แต่น้อย และการชนวัวครั้งนั้นเองเป็นชนวนเหตุให้พ่อต้องตาย การตายของพ่อเกี่ยวพันกับไอ้เสือ พี่ชายของเป็ดน้อยซึ่งคือแฟนสาวของไข่แคว็ด ไข่แคว็ดตัดสินใจกระโจนเข้าสู่วงการวัวชน จากเด็กหนุ่มใสซื่อกลายเป็นนักเลงวัวชนเต็มตัว อย่างไรก็แล้วแต่ มีคำ ๆ หนึ่งที่พ่อสอนไว้ เขาท่องจำขึ้นใจ

“จงเป็นนักเลงวัวชน อย่าเป็นนักพนันวัวชน”ประวัติความเป็นมาของกีฬาวัวชน

 

กีฬาวัวชน “การชนวัว” เป็นกีฬาประเภทหนึ่งของชาวภาคใต้ที่นิยมกันมาก มีการพนันขันต่อได้เสียกันเป็นหมื่นเป็นแสน วัวชนมีทั้งผิดและชอบด้วยกฏหมายถ้าปฏิบัติถูกต้องก็เป็นการชอบด้วยกฏหมายเหมือนกับกีฬาอื่นๆ เช่น กีฬาชนไก่และกัดปลา อันเป็นกีฬาที่มีความนิยมรองลงมา

กีฬาวัวชนเริ่มมีในสมัยใดมีความเป็นมาอย่างไร และทำไมจึงนิยมกันมากในภาคใต้ไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัด แต่บางท่านให้ความเห็นว่าไทยภาคใต้น่าจะได้มาจากโปรตุเกส คือ พระเจ้าเจ้าเอมมานูลเอลแห่งโปรตุเกสแต่งทูตเข้ามา เจริญทางพระราชไมตรีใน พ.ศ. 2061 ซึ่งตรงกับสมัยพระรามาธิบดีที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยา นครศรีธรรมราช ปัตตานี และเมืองมะริด ชาวโปรตุเกสได้เข้ามาเผยแพร่ขนบธรรมเนียมหลายอย่าง เช่น การติดตลาดนัดการทาเครื่องถม และการชนวัวรวมอยู่ด้วย

แนะนำตัวละคร กำนันช้าง (รับบทโดย เอกชัย ศรีวิชัย) กำนันใหญ่แห่งหมู่บ้าน แตกคอกับพ่อเณรไข่เพราะเรื่องผู้หญิง มีลูกสาวคนเดียวคือ ปลากริม เสี่ยแมว (รับบทโดย หม่ำ จ๊กมก) เจ้าพ่อบ่อนของหมู่บ้าน มีลูก2คน คือเป็ดน้อยและเสือ แตกคอกับพ่อเณรไข่ เรื่องผู้หญิง พ่อเณรไข่ (รับบทโดย มนตรี แสงมณี) หนุ่มใหญ่ใจนักเลง ขาใหญ่แห่งวงการวัวชนผู้เก่งกาจ แต่เมื่อรู้ว่าตัวเองถลาลึกไปกับการพนันกีฬาวัวชน จึงหันหลังให้กับวงการนี้ และ สมัยหนุ่มๆยังได้คว้าหัวใจแม่พิมพ์มาครอง เป็นเหตุให้ เพื่อนสนิททั้ง2ไม่พอใจ และ ตีตัวออกห่าง มีลูก 2 คน คือ ไข่นุ้ย และ ไข่แคว๊ด แม่อ้อยควั่น (รับบทโดย ฮาย อาภาพร นครสวรรค์) สาวแม่อ้อยควั่น สวยผู้กุมหัวใจกำนันช้าง ได้อยู่หมัด มีแต่เธอเท่านั้น ที่จะหยุดกานันช้างได้ ไข่แคว๊ด (รับบทโดย ไพศาล ขุนหนู) น้องชายของไข่นุ้ย ที่ไม่เคยชอบกีฬาวัวชนเลย จนพ่อถูกฆ่าตาย ทำให้ไข่แคว๊ดต้องการหาตัวฆาตกรมารับโทษ ซึ่งเขาคิดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของเสือ ลูกชายของเสี่ยแมวนั่นเอง ไข่แคว๊ด แอบคบหากับ เป็ดน้อย ลูกสาวของเสี่ยแมว แต่ถูกเสี่ยแมวขัดขวางมาตลอด

เป็ดน้อย (รับบทโดย ตั๊กแตน ชลดา) ลูกสาวของเสี่ยแมว แอบรักกับไข่แคว๊ก เป็นคนบ้าหวย ชอบเสี่ยงดวงกับการพนัน ลึกๆแล้ว เธอเป็นคนที่ดีมาก ปลากริม (รับบทโดย ลิลลี่เลิกคุยทั้งอำเภอ) ลูกสาวของกำนันช้าง เป็นเจ้าของบ่อนปลากัด มีลูกน้อง 3 คนคือ น้ำเต้า ปู ปลา แอบช่วยเหลือไข่แคว๊กอยู่บ่อยๆ เมื่อรู้ว่าการพนันเป็นสิ่งไม่ดี เธอจึงหันหลังออกมา

 

ผู้กองพลตรี (รับบทโดย พลตรี แสงมณี) ตำรวจหนุ่ม ที่มาตามจับบ่อนพนัน เขาได้ตกหลุมรักเป็ดน้า และ ตามจีบเธอมาโดยตลอด สุดท้ายแล้วเขาเป็นคนที่ช่วยคลี่คลายเรื่องปวดหัวทั้งหมด ไข่นุ้ย (รับบทโดย ปิยะพันธฺ นาคพิน) หนุ่มผู้รักความถูกต้อง ชื่นชมกีฬาวัวชนเป็นชีวิตจิตใจ ถูกปองร้ายโดยผีพนันวัวชน ทาให้พ่อเณรไข่ต้องตาย ทาให้เข้าร่วมมือกับน้องชาย เพื่อทวงความยุติธรรมคืน เสือ (รับบทโดย ธเนศพิพัฒน์ สุทธิหิรัญดำรงค์ หรือ แน๊กกี้ เดอะคอมเมเดี้ยน) ลูกชายคนโตของเสี่ยแมว มีนิสัยขี้โกง ชอบเอาชนะ แต่ชอบใช้วิธีที่ผิด เป็นคนก่อเรื่องวุ่นวายทั้งหมด แต่จริงๆแล้ว ความคิดของเขายังคงเป็นปริศนา

สานต่อความสำเร็จจาก “มนต์รักดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ” สู่ “มนต์รักวัวชน”

หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยประสบความสำเร็จจากภาพยนตร์ “มนต์รักดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ” ทาง M39 นำโดย ปัญชลีย์ นิธิจิระโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด มหาชน และ Executive Producer M39 เลยขอสานต่อความสำเร็จ โดยครั้งนี้ได้นำ “หม่ำ จ๊กม๊ก” เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา มาปะทะ ขุนพลแดนใต้ เอกชัย ศรีวิชัย กันอีกครั้ง “สำหรับภาพยนตร์เรื่อง “มนต์รักวัวชน” เป็นภาพยนตร์ที่ “หม่ำ จ๊กม๊ก” มาปะทะ เอกชัย ศรีวิชัย มาเจอกันอีกครั้ง โดยเราคิดว่าเราสามารถเอาความเอนเตอร์เทนเนอร์จากคนภาคใต้และภาคอีสานมารวมกันได้ มันก็เลยเกิดโปรเจค (project) นี้ ถามว่าอะไรจะเป็นจุดตั้งต้นหรือว่าไอเดียเป็นแบบไหน ซึ่งเราก็มองๆ ว่านอกจากวัฒนธรรมแล้วมันมีจุดรวมอะไรที่สามารถจะเป็นจุดรวมของคนที่ขอบสิ่งเดียวกันได้ ซึ่งเราก็มองเรื่องกีฬา ซึ่งกีฬามันมีหลากหลายมาก พอเราได้ทำรีเสิร์ช (Research) ทำให้ทราบว่ากีฬาที่ยิ่งใหญ่และแมสระดับนานาชาติของภาคใต้ก็คือกีฬาวัวชน ซึ่งมันเป็นกีฬาที่คนภาคใต้ให้ความนิยมมากๆ รวมถึงภาคอื่นๆ ก็เล่นเหมือนกัน

เราก็เลยทำโปรเจคโดยเอาเรื่องกีฬาที่เป็นศูนย์รวมของความชื่นชอบของคนในภูมิภาคมาเป็น พล็อตเรื่อง แล้วเราก็สร้างสตอรี่ เดินตามไอเดียนี้ มีตัวละคร มีแก๊ง 3-4 ก๊วน และสร้างเรื่องราวขึ้นมา มีการมาเจอกันด้วยกีฬาวัวชน แต่เราก็ยังไม่ทิ้งเส้นเรื่อง เหมือนคำพูดของตัวละครที่ว่า “เราจะเป็นนักเลงวัวชน ไม่ใช่นัก

พนันวัวชน” ซึ่งสองคำนี้ก็มีความแตกต่างกัน วัวเป็นสัตว์ ที่ผูกพันธ์กับคน เป็นตัวแทนของหมู่บ้าน เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและความสามัคคี โดยที่คนในหมู่บ้านไม่ต้องมาต่อสู้กัน แต่เอาตัวแทน มาแข่งขันกัน เรื่องราวก็จะประมาณนี้ แล้วก็มีเรื่องราวความสนุกสนาน มีเส้นเรื่องคอมเมดี้ (comedy) เหมือนเดิม โดยเรื่องนี้พระเอกจะเป็นคนภาคใต้ ซึ่งเราได้ไพศาลมาเป็นพระเอก ซึ่งคนใต้ให้ความชื่นชอบ ส่วนนางเอกจะเป็นคนภาคอีสาน เป็นปลดล็อคความเป็นนางเอกของเมืองไทยในแบบเดิมๆ ที่ว่านางเอกต้องสวย หุ่นดี เพอร์เฟค คือนางเอกไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าหญิง เพราะทุกคนต่างเป็นนางเอกในเรื่องของตัวเอง ดังนั้นเรื่องนี้เราเลยใช้ความเรียลคือ อ้วน ไม่ได้สวยมาก แต่เขาเป็นตัวเอกในเรื่อง และก็มีหม่ำ จ๊กม๊ก อาภาภรณ์ นครสวรรค์ นาย คอมเมเดี้ยน และแน๊กกี้ เดอะคอมเมเดี้ยน มาร่วมเสริมทัพความฮาในเรื่อง”

เอกชัย ศรีวิชัย ไม่ทิ้งตัวตน มุ่งทำหนังส่งเสริมวัฒนธรรมภาคใต้เรื่องใหม่ “มนต์รักวัวชน” เอกชัย ศรีวิชัย ขุนพลแดนใต้ขอกลับมาพิสูจน์ตัวตนในฐานะคนทำหนังอีกครั้ง หลังจากที่เคยประสบความสำเร็จจากภาพยนตร์ดราม่าที่แสดงความงดงามของศิลปะการแสดงพื้นบ้านของภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ‘เทริด’ หรือ ‘โนราห์’ ต่อด้วยภาพยนตร์รักเบาสมองอย่าง “มนต์รักดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ” โดยภาพยนตร์ครั้งนี้ขอมุ่งเน้นไปที่กีฬาวัวชน กีฬาท็อปฮิตของภาคใต้ ซึ่งผู้กำกับคนดังได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “ในการทำภาพยนตร์ในแต่ละครั้ง แต่ละโปรเจคนั้น เราจะมี คุณนก ปัญชลีย์ เป็นคนดูว่าเขาอยากได้กลิ่นอายของอะไร อยากได้ภาพยนตร์แบบไหน ซึ่งที่มีอัตลักษณ์และมีความเป็นปักษ์ใต้ชัดเจนและเน้นเรื่องความสนุก

ซึ่งที่ผ่านมาเรามีเรื่อง ”มนต์รักดอกผักบุ้งฯ” มันก็สำเร็จในแง่ของความบันเทิง แต่คุณนกอยากเห็นความเป็นอัตลักษณ์ของความเป็นวัวชน ให้มันใหญ่ ซึ่งตอนนี้วัวชนมันไม่ได้อยู่แค่ปักษ์ใต้ แต่มันอยู่ทั่วโลก เพราะไม่ว่าประเทศจีน ลาว เวียดนาม และในหลายๆ ประเทศก็มีวัวชน และต้องการเชิดชูกีฬาแนวนี้ ให้เห็นว่าเป็นกีฬาของคนปักษ์ใต้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เรื่องนี้เราพยายามเน้นให้เห็นว่าการพนันวัวชน และนักเลงวัวชนนั้นมันแตกต่างกันอย่างไร และเกมกีฬามันเป็นเรื่องของนักพนันวัวชนไหม หรือมันเป็นเรื่องของนักเลงวัวชน หัวใจของมันอยู่ตรงนี้แต่หลักๆ เราการดำเนินเรื่องมันก็ต้องมีความสนุก มีหวย มีความรัก มีปลากัด คือมีทุกอย่าง หลายคนอาจจะบอกว่าการกัดปลาเป็นเกมกีฬาอย่างหนึ่ง แต่ทั้งหมดทั้งมวลมันเดินคู่กันระหว่างเกมกีฬาและการพนัน ซึ่งเราจะทำให้เห็นว่าการพนัน มันดีหรือไม่ดี ให้ตัดสินใจเอาเอง” ฉาก วัวชน สุดอลังการถ่ายทำจากสถานที่จริง สนามวัวชนที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ มีคนร่วมฉากนับพัน

‘มนต์รักวัวชน’ นั้นแม้ว่าจะเป็นหนังรักกุ๊กกิ๊ก แต่หนังก็มีฉากสุดอลังการ คือฉากวัวชน ที่เอกชัยยกกองไปถ่ายทำถึงสถานที่จริง วัวชนตัวจริง และมีพี่น้องชาวใต้ให้ความร่วมมือมาเข้าฉากนับพัน เอกชัยบอกว่า “สำหรับฉากเปิดและฉากการแข่งขันวัวชนเราใช้กล้องประมาณ 7 ตัว ด้วยความที่สนามกว้างมากและคนเยอะมากมีประมาณ 3-4 พันคนในแต่ละสนาม ทำให้เราต้องใช้วิธีพูดผ่านลำโพง ซึ่งวัวชนที่เข้าฉากก็เป็นวัวชนจริงๆ ที่มีมูลค่าต่อตัว 5 ล้านบาท การถ่ายทำก็โครตยากเพราะถ้าเราเอาโดรนมาบิน เราก็กลัววัวจะตกใจ แต่วัวชนไม่กลัวเรื่องเสียงดัง เพราะถ้าเราได้ไปนั่งในสนามเราจะได้ยินเสียงคนเชียร์ มันจะรู้สึกเหมือนได้ดูฟุตบอลโลกในสนาม

ดังนั้นเรื่องนี้ที่เน้นมากคือ คนนั่งดูในโรงภาพยนตร์จะเหมือนนั่งดูในสนามวัวชนจริงๆ ระบบเสียงจัดเต็มนอกจากนี้ยังเพิ่มลำโพงรอบทิศเพื่อให้ได้ยินเสียงคนเจี๊ยวจ๊าวเหมือนกับอยู่ในสนามวัวชนจริงๆ เลย แล้วตอนวัวชน คือด้วยความที่เราไม่ได้ถ่ายแบบสารคดี เราต้องเก็บทั้งหมดทั้งด้านล่างด้านบน เราเก็บภาพ 7 มุม เพราะฉะนั้นวัวชนในเรื่องนี้คุณจะลุ้น จะจิกเก้าอี้เพราะว่ามันมันส์มากจริงๆ กีฬาวัวชนมันมีทั่วแล้วนะ พม่าก็มี เวียดนามก็มี มาเลเซียยังมี แค่ฉากวัวชน เราต้องยกกองไปถ่ายที่สนามจริง 5-6 สนาม เพราะมันจะมีทั้งสนามเล็กสนามใหญ่ (แต่เราก็ไม่ค่อยเข้าเรื่องกฎสักเท่าไร่คือเราก็ไม่เข้าใจว่ามันเป็นการเล่นพนันที่ถูกต้องไหม เพราะเขาสามารถเอาเงินเดิมพันมาวางแบบเป็นฟ่อนๆ ได้ นับเป็นเงิน 30 ล้านได้ต่อคู่หนึ่ง เอาเงินตั้งเป็นกองท่วมหัว เอาจริงๆ ถ้าไม่ใช่เราคงทำหนังเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะเราเข้าใกล้วัวมาก ซึ่งใครๆ ก็เข้าใกล้ไม่ได้ แล้วคู่ต่อสู้ของแต่ละฝั่งก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปดูวัวของอีกฝั่งหนึ่งได้ คนที่แปลกหน้าไม่สามารถเข้าไปใกล้วัวเขาได้เลย เพราะเขาไม่รู้ว่าเราเป็นใคร อย่าลืมว่าด้วยเงินเดิมพัน 30 ล้าน มันไม่ใช่เงิน 30 บาท และอีกอย่างหนึ่ง ที่เราทำให้เห็นในหนังคือเวลาถ้าวัวตำบลไหนมาชน เขาจะมาหมดตำบลเลย แล้วเขาจะตั้งเต้นท์ไว้เลย จะแพ้หรือชนะไม่รู้ ถ้าชนะก็เลี้ยงทั้งตำบล แล้วเงินเป็น 10 ล้านมันไม่ใช่เงินของเจ้าของวัวคนเดียว

แต่มันเป็นเงินของหมู่ 1 หมู่ 2 หมู่ 3 มันเป็นเงินของแต่ละหมู่บ้านมารวมกัน ซึ่งเราก็เพิ่งเคยเห็นและเพิ่งเข้าใจ ว่ามันเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นใครที่แปลกหน้าเข้าไปในหมู่บ้านวัวขน ไม่มีโอกาสได้เข้าเลย ดังนั้นการทำงานหนังของเรามันยากมาก ยากจริงๆ ยิ่งวันรุ่งขึ้นจะชน มดยังเข้าไม่ได้เลย เพราะวัวก่อนชนเขาจะมีที่พักก่อนเข้าสนาม ทุกคนจะต้องเอาวัวมาพักที่นี่ก่อน 10 กว่าวัน และทุกคน ต้องประคบประหงมวัว ต้องพาวิ่งออกกำลังกาย ต้องซ้อมชนตอนเช้า คือเราก็พยายามถ่ายทอดหลายอย่าง ต้องให้น้ำเท่าไหร่ ต้องตีกลองกี่ครั้งถึงจะแพ้จะชนะ จะมีวัวชนคู่หนึ่งที่เราลุ้นมาก เราทำซาวน์เหมือนหัวใจจะหยุดเต้น วัวชนที่เราเน้นคือตัวกลางๆ เรื่อง ส่วนตัวต้นเรื่อง เป็นวัวตัวพ่อมัน ตัวกลางๆ เรื่องเป็นตัวชนจริง

สำหรับวัวชนที่ครอบครัวบ้านพระเอกเลี้ยงไว้ “เจ้าน้ำตาล” ก็เป็นวัวชนจริง ซึ่งวัวตัวนี้ราคาแพงมาก เพราะตอนที่เจ้าของซื้อมาราคาก็สูงถึง 2-3 ล้านบาทแล้ว วันที่เข้าฉากเป็นวัวเพื่อนพี่ เพราะเพื่อนพี่เป็นเจ้าของสนาม ส่วนสนามที่เราถ่ายก็เป็นสนามอินเตอร์เนชั่นแนล เป็นสนามใหญ่สุดของภาคใต้ที่ต่างประเทศก็

เข้ามาที่นี่ ถามว่าติดต่อยากไหมคือคนอื่นทำก็ยาก อาจจะทำไม่ได้ด้วย แต่บังเอิญว่าเป็นของเพื่อนพี่หมด คือนึกออกใช่ไหมว่าเจ้าของวัวชนต้องไม่ใช่คนปกติ คือต้องมีบารมีมีธุรกิจ ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็จะเป็นเพื่อนพี่หมด มันก็เลยไม่ยากสำหรับการทำงานของพี่ในตรงนี้ เรียกว่าคุณนกใช้ถูกคน ถือว่าเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมทางด้านกีฬาภาคใต้อย่างหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดคนต่างจังหวัดได้ดูจะได้เข้าใจ บางคนอาจจะดูว่าเป็นกีฬา หรืออาจจะดูเป็นการพนันก็แล้วแต่ แต่ผมว่าหนังเรื่องนี้มันสนุก คุณเข้าไปในโรงภาพยนตร์คุณก็เล่นกันได้การพนันน่ะ เพราะผมไม่ได้ทำตามแผนของภาพยนตร์ไทยว่าของพระเอกต้องชนะ ดังนั้นจะทายไม่ถูกมันสามารถพลิกล็อกได้ตลอด

ซึ่งพระเอกคู่บุญอย่าง ไพศาล ขุนหนู ได้กล่าวว่า “วัวชน” เป็นกีฬาประจำภาคใต้ ซึ่งตนเองแม้จะเป็นคนใต้แต่ก็ไม่เคยไปสนามจริงแบบนี้มาก่อน เพราะมันหาดูยาก พอผมได้ไปตรงนั้นมันเหมือนไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลย“กีฬาชนิดนี้ ที่เราเคยได้ยินมาแต่เด็ก เราเคยเห็นแต่คนจูงวัว พอเขาไปแข่งขันแบบนี้ มันยิ่งใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ แล้วในสนามมันมีอะไรมากกว่านี้มาก แล้วจำนวนเงินในนั้นมันก็เป็นจำนวนเงินมูลค่ามหาศาล บางครั้ง เวลาผมขับผ่าน สมัยผมเด็กๆ ผมเคยถามแม่ผมว่ามันคืออะไร เพราะมันมีรถจอดเยอะขนาดนี้ ซึ่งแม่ผมก็บอกว่าเขามาชนวัวกัน รถจอดยาว 3-4 กิโล แล้วตั๋วที่เข้าชม มันไม่ได้ถูกๆ นะ 500 ต่อหนึ่งท่านคือบัตรก็ไม่ได้ถูกๆ ซึ่งเราก็จะเห็นอะไรเยอะมาก ทั้งการแข่งขัน ทั้งการพนัน รวมถึงการเล่นวัว เรื่องตรงนี้ผมต้องไปเรียนมาว่า วิชามือทำอย่างไร ชูนิ้วอย่างไร ชูนิ้วอย่างนี้สื่อสารอะไร มันมีโค้ตของคนเล่นวัว ซึ่งผมต้องให้คนที่เป็นเจ้าของวัวสอนให้ ถามว่าเรียนไหม ก็สักพักหนึ่งเพราะผมเป็นคนที่จำอะไรยากมาก เพราะภาษามือมันมีความหมายหลากหลาย ถ้าเรายกแบบนี้หมายความว่าอะไร แล้วถ้าเรายกแบบนี้ในภาษาการพนัน มีมูลค่าเท่าไหร่ ยกแบบนี้ต่อเท่าไหร่ รองเท่าไหร่ ถ้าใครได้ดูหนังเรื่องนี้ผมเชื่อว่าจะรู้จักกีฬาวัวชนดีขึ้นแน่นอน ซึ่งฉากประทับใจก็น่าจะเป็นฉากสนามวัวนั่นแหละเพราะมันเรียลและจริงมาก ซึ่งเราไม่สามารถเซตฉากขึ้นมาได้ แล้วเราต้องจัดการกับความรู้สึกของเรา เราต้องแข่งกับเวลา เราต้องแข่งกับวัว แล้วรอบข้างก็มีผู้คนที่เขาตั้งใจมาเชียร์วัวของเขาจิรงๆ เราก็ต้องทำอย่างไรก็ได้ให้ไม่ไปรบกวนความรู้สึกของวัว เราต้องทำอย่างเพื่อไม่ให้คนที่เข้ามาชมวัวชนรู้สึกว่าพวกเรามาทำอะไรอยู่ คือต้องไม่ไปขัดลูกหูลูกตาเขา เพราะฉะนั้นฉากมันก็เลยสมจริงสมจังที่สุด มันก็เลยทำให้ผม ประทับใจมาก และเราได้เห็นวัวที่มันชนกันแบบดุดันมาก เราได้เห็นศักดิ์ศรีของวัว คือตอนแรกผมก็สงสัยนะว่าทำไมวัวชนมันถึงมูลค่าแพงขนาดนี้ ตัวหนึ่งมูลค่า 20-30 ล้าน เวลานอนทำไมต้องนอนในมุ้ง ทำไมต้องเสริมอาหารโปรตีน ต้องออกกำลังกายตอนเช้า ผมมาเข้าใจตอนเข้าฉากหมดเลยว่าเพราะอะไรเขาถึงเลี้ยงวัวยิ่งกว่าลูกยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมขนาดนี้ เพราะว่ามันยิ่งใหญ่มากในการเป็นนักกีฬาวัวชน

แต่อย่างไรก็ตามผมก็อยากให้มองว่านักพนันวัวชนและการกีฬาวัวชนนั้นมันแตกต่างกัน เพราะในเรื่องพ่อของพระเอกจะสอนตลอดว่า ถ้าคุณเล่นวัว ถ้าคุณรักที่จะเลี้ยงวัว คุณก็ต้องรักจริงๆ เลี้ยงมันเพื่อแข่งขัน

อย่าไปเลี้ยงเพื่อการพนัน เพราะพ่อพระเอกมีประสบการณ์มีปมในใจเรื่องนี้มาตลอด ซึ่งคุณก็จะได้ชมในเรื่องนี้ เพราะพ่อพระเอกเคยเป็นนักเลงวัวชนมาก่อน แล้วก็มีเพื่อนรักอย่างพ่อเอกชัย และก็มีพี่หม่ำ ที่เป็นเพื่อนรักกัน คือตอนที่เลี้ยงวัวชนก็เป็นเพื่อนฝูงรักกัน แต่พอมีเรื่องการพนันเข้ามาเกี่ยวข้อง แน่นอนว่าการพนันมันเป็นอะไรที่ไม่มีอะไรที่จะยั่งยืน และทำให้อะไรดีขึ้น การพนันมีแต่การทำให้แตกหักและสูญเสีย ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็สอนให้เราแยกแยะว่า นักพนันวัวชน และนักกีฬาวัวชนนั้นมันแตกต่างกันสิ้นเชิง จงเลี้ยงวัวเพื่อเป็นนักกีฬา อย่าเลี้ยงวัวเพื่อเป็นนักพนันวัวชน”

“มนต์รักวัวชน” ไม่ได้นเน้นเรื่องกีฬาเท่ากับเรื่องความรัก แม้ในเรื่องจะเปิดฉากด้วยกีฬาวัวชน แต่เส้นเรื่องจริงๆ มันเป็นเรื่องความรักของเพื่อน 3 กลุ่ม ซึ่ง เอกชัย ศรีวิชัย กล่าวว่า “เป็นแนวเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด 3 กลุ่ม ก็จะมีเรา มีอดีตพระเอก “อ้น” มนตรี และก็มีหม่ำ 3 คน ก็มีความผูกพันธ์กันมาตั้งแต่อดีตและพอมาปัจจุบัน ต่างคนต่างไปมีสถานะ หม่ำก็ไปเป็นเสี่ยเจ้าของสนามวัวชน ตัวพ่อพระเอกอย่างอ้น ก็จะจนกว่าคนอื่นทั้งหมดตามสตอรี่ของหนัง ส่วนตัวเราเองก็เป็น กำนัน ซึ่งทั้ง 3 คนก็เชือดเฉือนกัน โดยรุ่นลูกก็มีความผูกพันธ์ โดยลูกบ้านนี้ก็ไปรักลูกบ้านโน้น เราก็จะวางปมซ่อนเรื่อง ซ่อนตัวผู้ร้ายให้คนทายไม่ถูก ว่าใครเป็นผู้ร้าย ผู้ร้ายในหนังทุกเรื่องจะเห็นชัดว่าเป็นผู้ร้ายแต่ในเรื่องนี้จะไม่เห็นว่าเป็นผู้ร้าย ด้วยวิธีการทำงาน เราจะคิดตัวละครออกมาก่อน แล้วค่อยมาคิดเรื่องใส่ อย่างเรื่องนี้ พี่หม่ำกับพี่ต้องเป็นคู่กัดเรื่องมันถึงจะขำ หลักๆ คือพี่เอกกับพี่หม่ำไม่ถูกกัน ส่วนน้องอ้นที่เป็นพ่อของพระเอกก็เดินเรื่องดราม่าไป มันจะได้เชือดเฉือนกัน เอาความเป็นตลกของพี่หม่ำและพี่เอกมางัดมุกกัน ซึ่งพี่หม่ำก็ไม่ได้มาเล่นแค่รับเชิญนะ เขาให้คิวเรื่องนี้มาตั้ง 5 วัน และลงไปอยู่ใต้กับเราเลย เรียกว่าทุ่มให้เราเต็มที่ ไม่ได้เล่นแค่วันเดียว ถ่ายแค่ฉากสองฉากเพื่อเอาชื่อหม่ำมาขาย ไม่ใช่เลย พี่หม่ำเล่นเต็มตัว ส่วนตัวเราก็เล่นเต็มที่ก็พยายาม ทำตัวให้ขึ้เหร่ เราก็พยายามหาคาแรกเตอร์ไม่ให้ซ้ำกับเรื่องอื่นๆ เรื่องนี้ก็จะใส่ฟันเหยินคนจะได้ไม่เบื่อ ถ้าใส่หมวก ใส่หนวดมันก็จะเป็นคาแรกเตอร์เดิมๆ ดัน “ตั๊กแตน ชลดา” ขึ้นแท่นนางเอกเต็มตัว เสริมด้วยนักแสดงแดนใต้คับคั่ง นอกจากนักแสดงหลักรุ่นพ่ออย่าง เอกชัยศรีวิชัย หม่ำ จ๊กม๊ก และ มนตรี แสงมณี แล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้กำกับคิวทองอย่าง เอกชัย ศรีวิชัย ยังเป็นป๋าดัน ตั๊กแตน ชลดา มาร่วมงานกันอีกครั้ง หลังติดใจฝีมือการแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง “อีหล่าเอ๋ย” โดยเรื่องนี้ตั้งใจให้เป็นนางเอกเต็มตัว ประกบคู่กับ ไพศาล ขุนหนู พร้อมลิลี่ เลิกคุยทั้งอำเภอ มาประกบคู่กับพระเอกนักบู๊สายเลือดใหม่ พลตรี แสงมณี “ถามว่าเราวางตัวไว้ก่อนหรือเปล่าคือไม่ อย่างตัวไพศาล พี่ชายไพศาล และตัวลูกน้องลิลลี่ นั้น เราไม่ได้วางตัว

ไว้ มันมาจากบท ตัวที่วางไว้มีแค่พี่เอกกับหม่ำ เพราะถ้าเป็นภาคใต้ก็ต้องพี่เอก อีสานก็ต้องเป็นพี่หม่ำ ส่วนตัวละครตัวอื่นก็ตามบท อย่างไพศาล ก็เหมาะกับตัวนี้เป็นนักเลงวัวชน ซึ่งมันมีพัฒนาการของมัน เริ่มตั้งแต่มันไม่อะไรกับวัว เมือพ่อตาย ก็เลยพลิกสภานภาพตัวเองมาเป็นนักเลงวัวชน และตอนท้ายก็จะมีข้อสรุปว่าทำไมถึงเข้าไปเล่นวัวชน ส่วนพี่ชายเขาก็เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงที่ภาคใต้มากๆ คือออเบิ้ล พี่ก็ไม่เคยเห็นเขาเล่นหนัง เพลงประกอบภาพยนตร์เขาก็เป็นคนร้อง และแต่งเพลงเองด้วย ส่วน ตั๊กแตน เราเคยได้ทำงานกับเขาเรื่องหนึ่งคือ “อีหล่าเอ๋ย” ก็เลยชอบเขา ชอบวิธีการศึกษาการแสดงของเขา เขาเป็นเด็กมีพรสวรรค์ ก็เลยคิดว่านางเอกหุ่นแบบนี้ก็ได้นะ นางเอกไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำส้มเหมือนสมัยก่อน คือเราอยากจะฉีกความเป็นางเอกกับตัวเอกที่เรายึดติดมาตลอด จริงๆ แล้วนางเอกก็คือตัวเอก

ซึ่งตัวเอกในนิยามของเราไม่จำเป็นต้องครบครัน พระเอกหนังในต่างประเทศอายุ 60 70 ก็ยังเป็นพระเอกหนังอยู่เลย มันมีความเท่ห์ มันมีความเป็นตัวตนของเขาอยู่ มีพรสวรรค์ในการแสดง อย่างพี่ฮาย อาภาภรณ์ ก็เล่นเป็นเมียพี่ทุกเรื่อง คือเราอยากให้เป็นล็อกต๊อกกับชูศรี อยากให้เด็กรุ่นหลังจำว่า ไม่ว่าหนังเรื่องหนังของพี่พี่จะเอาอาภาภรณ์มาเล่นเป็นเมียพี่ทุกคน ให้คนเข้าใจว่าอาภาภรณ์เป็นเมียเอกชัย วางไว้เป็นอย่างนั้น แล้วเล่นกับเขามันง่ายที่เราจะเล่นกับเขาก็ได้ เหมือนเขาเล่นกับพี่ ก็ทำอะไรกับพี่ได้หมดมันก็เลยได้หมดแล้วมันก็สะดวกมากด้วย ส่วนลิลลี่เรื่องนี้เขาโต เขาเป็นนางเอก ในการถ่ายทำเสื้อผ้าเราก็พยายามให้เขาโตขึ้น เราก็พยายามอัดไฟ หามุมที่เขาดูโอเค หลังจากนั้นก็มีนักร้องวัยรุ่นที่เป็นขาโจ๊ะในภาคใต้ แอมซีทรู เอ็ม อัมรินทร์ และน้องบอลวงกลม 3 ตัวฝาแฝด เล่นเป็นลูฏสมุนของลิลลี่ เป็นเบอร์ใหญ่ๆ ในใต้” “ตั๊กแตน” ปลื้มได้รับโอกาสเป็นนางเอกเต็มตัวใน “มนต์รักวัวชน” ซึ่ง ตั๊กแตน ชลลดา ได้กล่าวถึงการมารับบทบาทเป็นนางเอกเต็มตัวในภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “ก็รู้สึกดีใจที่เราได้รับโอกาสนี้เพราะเราไม่ได้มาทิศทางนี้ตั้งแต่แรกเพราะเราเป็นนักร้องมา แล้วเราได้มีโอกาสได้มาแสดง เต็มตัวแล้วเป็นหนังด้วยเราก็รู้สึกตื่นเต้น เราขอบคุณผู้ใหญ่ที่ให้โอกาสเรา เล่นหนัง 2 เรื่องติด เรื่องนี้ก็เล่นเต็มเรื่อง ถือเป็นนางเอกเต็มตัวเรื่องแรก เรื่องนี้ รับบทเป็นเป็ดน้อย เป็นแฟนของพระเอก ซึ่งพระเอกพ่อเขาเสียชีวิต แล้วเขาก็สืบหาความจริงโน่นนี่นั่น แล้วเขาก็สืบหาความจริง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเลี้ยงวัวชน และก็มีเรื่องความรักเข้ามาสอดแทรก ถามว่าแตกต่างจากรเรื่องที่แล้วไหม คือเรื่องนี้เราต้อคีฟลุคนิดหนึ่ง คือจะตลกแบบเป็นแฟนพระเอก แต่ในอีหล้าเอ๋ยจะเป็นตลกแบบไม่ห่วงสวย แต่เรื่องนี้เราก็ต้องคีฟลุคนิดหน่อย เล่นกับไพศาล น้องเขาก็น่ารัก นิสัยดี การถ่ายทำก็สนุกดี โลเคชั่นเราก็ต้องไปถ่ายทำที่ภาคใต้ ก็มีวิวภูเขา มีภูผาสวยๆ ถ่ายหนังเรื่องนี้เหมือนเราไปเทียวรู้สึกดีจังเลย ที่ผ่านมาก็เลยไปเล่นคอนเสิร์ตที่ภาคใต้ แต่เราก็ไม่เคยเข้าหมู่บ้าน เรียกว่าเป็นประสบการณ์ใหม่มากๆ สำหรับเรา ที่เราภาคภูมิใจด้วย ส่วนเรื่องภาษาในเรื่องนี้ไม่มีปัญหาเลย คือเรื่องนี้เราไม่ได้พูดภาษาใต้ ด้วยความที่เราเป็นแฟนพระเอก เป็นคนที่มาจากที่อื่นก็เลยใช้

ภาษากลางได้ เรื่องนี้ได้ร่วมงานกับพี่เอกอีกครั้ง มันทำให้เรารู้สึกว่าทำไมพี่เอกถึงได้เก่งขนาดนี้ ป๋าเก่งมาก โปรเฟสชั่นแนล (Professional) ในการทำงานแกจะมีความละเมียดละมัย บางครั้งบทที่แกเขียนมาเราไม่ได้ทำตามบทเลย คือแกจะไปแก้หน้างานใหม่หมด จะครีเอทตลอดเวลา และใส่ใจทุกตัวละคร” สำหรับเรื่องกีฬาวัวชน นักร้องดัง ตั๊กแตน ชลดา กล่าวว่า เพิ่งรู้จักวัวชนเพราะเล่นหนังเรื่องนี้ แม้ในภาพยนตร์จะมีฉากชนวัวแต่เราไม่ได้เข้าฉากด้วย เพราะเราไปทำงานที่อื่น “ก็ไปเข้าซีนหลังจากที่เขาแข่งเสร็จแล้ว แล้วเราก็ไปเก็บตาม ส่วนฉากประทับใจคงเป็นฉากขอหวยมั้ง (หัวเราะ) คือเป็นฉากจีบกันกับพระเอก แล้ว เป็ดน้อย ซึ่งเป็นคนบ้าหวย ก็เล่นหวยเพราะอยากได้เงินมาแต่งงานกับแฟนที่คบอยู่ เราก็ประทับใจกับคาแรกเตอร์ของนางเอกซึ่งเป็นลูกคนรวย แต่ก็ไม่ได้จะเอาเงินพ่อเงินแม่ แต่ที่ขำคือดันไปหวังกับสิ่งลมๆ แล้งๆ หวังกับหวย ซึ่งปกติตั๊กแตนก็เล่นบ้าง แต่ไม่บ่อย

สงขลา สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ที่จะเห็นได้จากหนังเรื่องนี้ เรียกว่าไม่ผิดหวังจริงๆ เพราะภาพยนตร์ทุกเรื่องของ เอกชัย ศรีวิชัย ที่นอกจากจะนำเสนอเกี่ยวกับวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของภาคใต้แล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือสถานที่ที่ใช้ในการถ่ายทำ เรียกได้ว่าเป็นโลเคชั่นใหม่ที่เตะตามากๆ ซึ่งในภาพยนตร์เรื่อง ‘มนต์รัก วัวชน’ ก็ยกกองไปถ่ายทำกันที่เขาคูหา (เขาโคหาย) อ.รัตภูมิ จ.สงขลา ซึ่งเอกชัย ศรีวิชัย กล่าวว่า “ตั้งแต่ทำหนังมาโลเคชั่นเรื่องนี้สวยมาก สวยจริงๆ ฉากไล่ล่าด้วยรถมีแบล็กกราวเป็นผาสวยมาก ที่นั่นเขาเรียกว่าเขาโคหาย จ.สงขลา นอกจากนี้เรายังยกกองไปถ่ายทำในงานกาชาดเราที่จ.ตรัง เป็นงานใหญ่มาก เป็นงานประจำปีของจังหวัดตรัง โชคดีมากที่ทำงานง่ายเพราะชาวบ้านให้ความร่วมมือกับพี่เอกหมด พอดีเรารู้จักกับเจ้าของงานด้วย อย่างฉากสาวน้อยตกน้ำในงานวัด ทุกวันนี้มันไม่มีแล้ว แต่เขาหามาให้เรา ฉากสาวน้อยตกน้ำเลยเป็นฉากที่เซทขึ้นมาเพราะปัจจุบันไม่มีแล้ว คือเจ้าของ เขากว้างขวางเขาก็เลยหามาให้ รวมที่สุดในหลายๆ อย่าง ในขณะที่ ไพศาล ขุนหนู พระเอกของเรื่อง ได้กล่าวถึงสถานที่อันซีนแห่งนี้ไว้ว่า “โลเคชั่นในเรื่องสวยมาก เรื่องนี้เหมือนเปิดโลเคชั่นใหม่ ถ่ายที่สงขลา อ.รัตภูมิ ปกติผมไม่เคยเห็นวิวแบบนี้มาก่อน ทั้งๆ ที่บ้านผมอยู่ภาคใต้ บ้านผมอยู่สงขลาด้วยซ้ำ เรื่องนี้เหมือนเราเปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่เลย แล้วเขาตรงนั้นก็เป็นเขาที่แบล็กกราวสวยมาก ตรงนี้พ่อเอกได้พรรคพวกดี ตอนที่เขาไปดูพื้นที่ถ่ายทำ เพื่อนเขาก็จะแนะนำว่าตรงนี้ไหมพี่เอก เขาตรงนี้สวยนะ ต่อไปเราจะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้นะถ้าหนังเรื่องนี้ได้เผยแพร่ออกไป พ่อเอกก็ไปดู เรียกว่าเป็นการเปิดโลเคชั่นใหม่ๆ หลายทีเลยทีเดียว เรียกว่าหนังทุกเรื่องของพ่อเอกนั่นเปิดอันซีนภาคใต้ได้เลย โลเคชั่นที่ภาคใต้เขาไม่ค่อยได้รับการถ่ายทำหรือเผยแพร่ในภาพยนตร์ คือมันถ่ายยากถ้าไม่ใช่คนในพื้นที่ และมันไกลด้วย ถ้าไม่ใช่ทีมพ่อเอกยกกองมาที่ใต้เราก็คงไม่เห็นโลเคชั่นสวยๆ ที่เราไม่เคยเห็นจากหนังเรื่องไหนมาก่อน จริงๆ แล้วหนังทุกเรื่องของพ่อเอกที่ถ่ายมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทริด โนราห์ จุดที่เราเคยถ่ายทุกวันนี้

กลายเป็นจุดท่องเที่ยว แม้กระทั่งรีสอร์ทที่เราไปถ่าย ทุกวันนี้ก็ต้องจองคิวเพื่อจะไปเข้าพัก สะพานเลน้อย สะพานที่มีความน้ำดำในทะเลทุกวันนี้เป็นจุดถ่ายรูป เป็นจุดสัญจรของคนที่ผ่านไปผ่านมาเขารู้จักเพราะได้ดูจากภาพยนตร์ ซึ่งเรื่องนี้ผมก็เชื่อว่าก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผมเชื่อว่าเขาลูกนั้นก็จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว อีกแห่งหนึ่งของจ.สงขลา” “มนต์รักวัวชน” ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำช่วงโควิดระบาด การ์ดห้ามตก เป็นหนึ่งในภาพยนตร์อีกหลายๆ เรื่องที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด ซึ่ง เอกชัย ศรีวิชัย กล่าวถึงปัญหาต่างๆ ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในช่วงโควิดว่า “ประสบปัญหามาก ทั้งเรื่องการเข้าพื้นที่ ทั้งเรื่องการตรวจสอบ รวมถึงตัวเราเองที่ต้องระมัดระวังตัวเอง คือในช่วงนี้มันไม่ปกติ แต่ที่ที่เราอยู่มันเป็นที่เป็นทางและไม่มีคนอื่นเข้ามาปน คนนอกเข้ามาเราก็ตรวจสอบ คือคนชองเราเราตรวจสอบหมดแล้ว และไม่ไปคอนเน็กชั่นกับคนนอก คนใหม่ที่เข้ามาเราก็กันพื้นที่ไว้ อสม.และสาธารณสุขก็เข้ามาทุกวัน แต่ก็ยุ่งยากในเรื่องของกระบวนการนิดหนึ่ง แต่ก็แก้ไขได้ มาตราของกอง” ด้านไพศาล ขุนหนู กล่าว่าก็ปัญหาบ้าง จะมีเรื่องการขออนุญาติ แต่ทางกองถ่ายจะมีความเข้มงวดในการถ่ายทำอย่างแน่นหนา เพราะมีทั้งอสม. มีทั้งเจ้าหน้าที่มาตรวจวัดอุณภูมิ มีการจำกัดคนเข้าออก การวัดอุณภูมิ สวมแมส ใช้เจลล้างมือ คือเราจะมีเจ้าหน้าที่ประจำที่กองถ่าย คนนอกก็จะไม่ค่อยได้เข้าไปในกอง คนมาดูก็จะอยู่รอบนอก ปลอดภัยหายห่วง” ไพศาล ขุนหนู กับประสบการ์ณใหม่ ที่ท้าทายมากกว่าเดิม สำหรับชาวใต้ ไพศาล ขุนหนู คือพระเอกหนังเจ้าของบทสุดเข้มข้นใน ‘เทริด’ ‘โนราห์’ และ‘มนต์รักดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ’ ที่ได้รับความนิยมถล่มทลายมาแล้ว ครั้งนี้นักแสดงหนุ่มต้องมาพลิกบทบาทมาเป็นนักพนันวัวชนหลังพ่อเสียชีวิต “ในบทเป็นคนที่ชอบวัวชนตั้งแต่เด็กเพราะมีพี่ชายคนหนึ่งชื่อไข่นุ้ย ที่เป็นคนที่ชอบเลี้ยงวัว ชอบวัวชน แต่พี่จะต่างกับเราเพราะว่าพี่ก็จะชอบเกี่ยวบกับการพนัน แต่เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการพนันเพราะกลัวพ่อ ตั้งแต่ไหนไรพ่อจะบอกว่าจะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการพนันซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าพ่อมีปมอะไรหรือเปล่า เพราะพ่อไม่ได้บอก วันหนี่งพ่อรู้ว่าเราไปบ่อนวัวก็โดนตี โดนพ่อด่า ถามว่าบทบาทที่ได้รับแตกต่างจากเรื่องอื่นไหม จริงๆ แล้วคาแรกเตอร์ในแต่ละเรื่องมันก็จะแตกต่างกัน อย่างเทิรด โนราห์ มันก็จะเป็นตัวตนของเราเพราะมันเกี่ยวกับการร้องการรำ แต่พอมาเรื่องวัวชน เรียกว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ เพราะเราต้องไปเรียนรู้เรื่องวัวชน แต่มันก็ไม่ได้ยากเพราะว่าโดยวัฒนธรรมชองภาคใต้ วัวชนนั้นมันเป็นเรื่องของกีฬาชนิดหนึ่งซึ่งผมเคยเห็นตั้งแต่เด็ก เพราะแถวบ้านก็จะเห็นเขาจูงวัวเพราะเขาเลี้ยงวัวชน

แต่เรื่องนี้เราต้องศึกษาเกี่ยวกับวัวก่อนว่า วิธีการเลี้ยงวัวชนเป็นอย่างไร เพราะวัวชนไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็จะเข้าใกล้เขาได้ คนที่เข้าใกล้ได้ต้องเป็นเจ้าของ และวัวชนแต่ละตัวมูลค่าแพงมาก หากมีอะไรผิดพลาดเกี่ยวกับวัวเราก็ต้องรับผิดชอบ เราก็จะมีการศึกษาเกี่ยวกับวิธีเล่นวัว ภาษามือภาษากาย วิธีจูงวัวเป็นอย่างไร ให้หญ้าวัวเป็นอย่างไร ลูบเขาอย่างไรไม่ให้เขาดุ ร่างกายส่วนไหนของเขาที่เราสามารถจับต้องได้บ้าง ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ทางด้านการเลี้ยงวัว แต่ถ้าถามถึงเรื่องภาพของวัวชนผมก็คลุกคลีมาตั้งแต่เด็ก แต่เรื่องนี้ถือว่าเรามาเรียนรู้ประสบการ์ณเกี่ยวกับการเลี้ยงวัวทากกว่า ถามว่าผมมีประสบการณ์ในการเลี้ยงวัวไหมก็มีเพราะคุณตาของผม เขาเลี้ยงวัวอยู่แล้ว แต่เป็นวัวบ้านแต่วัวบ้านกับวัวชนนั้นแตกต่างกัน เพราะวัวบ้านคือวัวที่เลี้ยงเพื่อขาย เลี้ยงตั้งแต่เด็ก วัวคลอดลูกมาเราก็จูงไปกินหญ้า พอเขาโตขึ้นเราก็ขาย แต่วัวชนเป็นอะไรที่เราต้องเลี้ยงแบบทะนุถนอม เหมือนเลี้ยงเด็ก เรียกว่ายุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ที่หลับที่นอนก็ต้องดีๆ ขกองกินก็ต้องกินดีๆ แล้วก็ต้องมีการฝึกฝน เหมือนเลี้ยงนักมวยคนหนึ่งเพื่อให้ขึ้นสังเวียน ซึ่งก่อนถ่ายทำ ผมก็จะมีพี่ชาย พี่น้าๆ ให้คำปรึกษา ก็ได้ศึกษาว่าวัวชนมีอุปนิสัยอย่างไร วิธีการเข้าหาเขาเข้าหาอย่างไร วิธีจูง วิธีการให้อาหาร วิธีการตัดหญ้า เราก็ต้องศึกษาอยู่สักพัก พอเขาหน้างาน เราก็ได้เจอทีมเลี้ยงวัว (เจ้าของวัวที่เราเอามาเข้าฉาก) เราก็ต้องถามเขาว่าวัวมีอุปนิสัยอย่างไร จับต้องเขาได้หรือเปล่าต้องเข้าอย่างไรออกอย่างไร มันก็มีระยะเวลาที่ผมต้องศึกษาเกี่ยวกับวัวชน ถามว่าตื่นเต้นไหม ก็ตื่นเต้น เพราะผมกลัวด้วย ต้องบอกก่อนว่าวันที่เรามาดูโลเคชั่น คือเราต้องมาดูว่าสนามวัวเป็นอย่างไร การแข่งขันเป็นอย่างไร เพราะพ่อเอกชัยท่านพาผมมาดูด้วย คือตอนนั้นเรายังไม่ได้ถ่ายแต่ต้องมาดูสถานที่จริง แล้วภาพที่ผมเห็นคือวันนั้นเป็นวันที่เขามีจัดวัวชนพอดี คือภาพที่ผมเห็นจึงเป็นภาพที่เขาชนกัน เราไม่ได้เห็นมุมที่เขาน่ารัก แต่เราเห็นมุมที่เขาดุดัน เราก็เลยรู้สึกว่าทำไมวัวเขาดุขนาดนี้ บางครั้งแล้วแต่อารมณ์เขาด้วย คือเราเดาอารมณ์วัวไม่ออกว่าเขามีอารมณ์แบบไหน เราก็กลัวว่าเราจะเอาเขาอยู่หรือเปล่า ตอนนั้นก็เลยรู้สึกกลัว ประหม่าแล้วเวลาที่เราเข้าฉากกับเขา ตาเราก็ต้องมองเขาตลอด ไม่ว่าตอนนั้นเราจะโฟกัสอะไรก็แล้วแต่ แต่หางตาเราจะละจากตัวเขาไม่ได้เลย” พระเอกหนุ่มยังกล่าวต่อว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำนานมาก เพราะสนามวัวชนนั้นทางทีมงานเไม่สามารถเซทฉากขึ้นมาได้เอง ซึ่งถือเป็นความโชคดีที่ผู้กำกับของเรื่อง อย่าง เอกชัย ศรีวิชัย มีพรรคพวกเพื่อนฝูงเยอะมาก ทำให้การทำงานหรือการขอใช้สถานที่ค่อนข้างง่าย “เวลาถ่ายเราไม่ฟิกไม่ได้ว่านักแสดงเอ็กซ์ตร้าต้องอยู่ตรงนี้นะ วัวชนต้องอยู่ตรงนี้ ต้องเล่นแบบนี้ คือภาพที่เราเห็นในภาพยนตร์จะเป็นภาพจริงทั้งหมด แล้วสนามชนวัวในแต่ละครั้งมันจะมีการเดิมพันเงินเป็น 10 20 ล้าน การที่เอานักแสดงหรือกองถ่ายไปอยู่ตรงนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก ถ้าไม่ใช่คอนเนกชั่นของพ่อเอก คือถ้าพ่อเอกไม่ได้เป็นเพื่อนกับเจ้าของเราจะไม่สามารถเข้าไปได้เลย เพราะมันอาจจะทำให้วัวแตกตื่นตอนเจอกล้อง เจอเสียงตะโกน เจอนักแสดงไปยืนที่สนาม คือพอจะถ่ายเราก็ต้องไปเสียบตรงนั้นเลย เพราะเราไม่สามารถเซตได้ มันเลยเป็นความยากอีกอย่างหนึ่ง คือภาพที่ออกในโรงภาพยนตร์ ภาพเราไม่ได้เซท ในเรื่องวัวชนต้องเดินทางไปแข่งตามสนามแข่งต่างๆ ซึ่งเราก็ต้อง

เดินทางไปดูในสนามแข่งต่างๆ ด้วย ในเรื่องสนามชนวัวที่เราใช้ก็มีหลายแห่งเหมือนกัน แต่สนามหลักๆ ที่เราใช้ มันเป็นสนามมาตราฐานคือถ้าเทียบกับสนามฟุตบอลก็เป็นราชมังคลา เป็นสนามชนวัวนานาชาติ เป็นสนามชนวัวที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ ที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา แล้วใจจ.สงขลามันก็จะมีบ่อนเล็กๆ อีก เป็นสนามวัวเล็กๆ ต่างอำเภอ ต่างตำบล แต่แมทใหญ่ๆ เราจะไปชนกันที่สนามวัวนานาชาติ คือคนดูก็มาดูกันจริงๆ วัวที่มาชนก็เป็นวัวชนจริงๆ กรรมการก็เป็นกรรมการจริงๆ คือทุกอย่างจริงหมดเลย ถามว่าถ่ายไหม ผมว่ายากนะ เพราะการถ่ายทำบางครั้งพ่อเอกต้องขออนุญาติเพราะในระหว่างที่เขากำลังชน แล้ววัวกำลังพัก เราต้องเซทปะรำพิธี เพื่อพ่อเอกเพราะในเรื่องนี้พ่อเอกแสดงเป็นกำนันช้าง เป็นเจ้าของบ่อนวัวชน ระหว่างที่วัวพักเราก็ต้องเซทประรำพิธีเพื่อจัดฉากพิธีเปิด แล้วเราก็ต้องใช้ไมโครโฟนจริงๆ แล้วเราต้องให้คนที่มาดูวัวชนต้องปรบมือตามตอนเปิดงาน แสดงความยินดี คือเราต้องทำงานแข่งกับเวลามาก แล้วช่วงที่ถ่ายก็เป็นหน้าฝน ฝนก็กำลังจะตก แล้วถ่ายนานก็ไม่ได้ เพราะคู่ต่อไปก็รอลงสนาม ส่วนฉากไทนที่ผมต้องอยู่ในสนามเราก็ต้องดูเวลา ว่าวัวอยู่ตรงไหนที่สนาม ต้องบอกก่อนว่าสนามวัวชนนั้นมันมีคอกกั้น แล้วคุณผุ้ชมก็จะอยู่บนอัฒจันทร์ แล้วในสนามก็มีเฉพาะ เจ้าของวัวว ฝั่งละ 4-5 คน สมมุติแดงชนกับน้ำเงิน แดงก็ 5 คน น้ำเงินก็ 5 คน แล้วเราเป็นนักแสดง แล้วเราต้องเป็นหนึ่งในนั้น เราต้องไปร่วมเขียร์วัว แล้วในการชนแต่ละครั้งเราก็ไม่สามารถกำหนดได้ว่า คนไหนแพ้หรือชนะ มันก็เลยเป็นอะไรที่เรียล และจริงมาก ลุ้นทุกฉาก แล้วที่ลุ้นกว่านั้นคือเวลาที่ชนเสร็จมันจะมีตัวที่แพ้ มันจะวิ่งรอบสนาม แล้วอีกตัวมันจะไล่ซึ่งเราจะต้องหลบให้ได้ มันมีอยู่ฉากหนึ่งที่ผมต้องกระโดดหลบไปนอกอัฒจันทร์ ไม่อย่างนั้นวัววิ่งมาเราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอันตรายอะไรบ้าง ก็เรียกว่าเราก็ต้องเซฟตัวเอง เพราะขนาดเจ้าของวัวเข้าใกล้มัน ตัวที่มันแพ้ ยังโดนเขาวัวขวิดคือโดนแบบถาก ถือว่าโชคดีเพราะถ้าโดนเข้าเนื้อเต็มๆ ผมก็ไม่รู้ว่าจะอย่างไร อันนี้คือเจ้าของวัว บางครั้งซีนนั้นยังถ่ายไม่เสร็จแล้ววัววิ่งมาเราก็ต้องเซฟตัวเอง ต้องหนีก่อนเลยแล้วค่อยมาถ่ายต่อ “ไพศาล” ประกบคู่ “ตั๊กแตน” เป็นครั้งแรก เรียกว่าเป็นการประกบคู่กันครั้งแรกระหว่าง ไพศาล ขุนหนู และ ตั๊กแตน ชลดา ซึ่งนักแสดงหนุ่มกล่าวถึงนักแสดงสาวว่า “พี่ตั๊กแตนเก่งมาก พ่อเอกยังชมเลย ขนาดเราผ่านการแสดงมามาก พ่อเอกยังบอกให้เราเล่นดีเหมือนพี่ตั๊กแตน คือในเรื่องนี้เหมือนคาแรกเตอร์ของเราจะต้องมีจุดเปลี่ยน เหมือนผมแรกๆ จะเป็นคนตลกไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง จะเป็นคนทะเล้น ซึ่งจะต่างกับพี่ตั๊กแตนที่เป็นคนบ้าหวย เป็นคนเล่นหวย แล้วเราต้องคอยห้ามเขาตลอด พี่ตั๊กแตนก็จะยกตัวอย่างว่าการพนันมันดีอย่างโน้นอย่างนี้ เราไม่ต้องทำงานให้เหนื่อย คือทำงานกว่าจะได้เงินต้องใช้เวลาแต่ถ้าเราเล่นหวยมันก็มีสิทธิ์ที่ถูก สร้างอนาคตสร้างครอบครัวได้ ซึ่งเราจะเห็นต่างตลอด จนวันหนึ่งที่เป็นจุดเปลี่ยน คือหลังจากที่พ่อเราเสียจากผู้ชายนิ่งๆ ไม่เอาการพนัน เราก็ต้องเปลี่ยน เป็นคนที่เอาตัวเองเข้าไปในการพนัน แล้วก็โทรม ไว้หนวดไว้เครา ไม่เอาไหน แฟนเราเองเราก็ไม่สนใจ ทำให้พี่เรา ให้แฟนเราแปลกใจว่าทำไมเราถึงเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้ บ้านก็ไม่ยอมเข้า ของที่บ้านก็ขายหมด

แล้วก็เป็นคนนิ่งสุขุม เป็นคนจริงจังกับชีวิตมาก ทีนี้พี่ตั๊กแตน ก็เปลี่ยนจากคนเล่นหวยก็ไม่เล่นเพราะเป็นห่วงแฟนตัวเอง แต่เราก็มีบางอย่างของเราที่ต้องเข้าไปยุ่งเรื่องการพนัน เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง ก็ต้องไปดูกันว่าเราเข้าไปเพื่ออะไร คาแรกเตอร์ผมก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นสเต็ป ซึ่งเรื่องนี้ผมถูกบรีฟมาตั้งแต่แรกแล้วว่าเรื่องนี้เรามีจุดเปลี่ยน บทครั้งนี้มันไม่ได้นิ่ง มันมีสเต็ปสำคัญตลอด แต่ผมโชคดีที่ผมสามารถพูดคุยกับพ่อได้ตลอด พ่ออยากได้อะไรก็บอกได้ และที่สำคัญคือพ่อเอกเขาเป็นคนที่จริงจังกับการทำงานมาก ดูแลทุกขั้นตอน เราต้องทำการบ้านเยอะหน่อย ต้องตีตัวละครให้แตก วิธีของผมคือปรึกษาพ่อเอกในแต่ละซีนละฉาก ว่าพ่อเอกต้องการอารมณ์ประมาณไหน คือบางทีเราเล่นเบาไป คือผมจะเล่นให้พ่อเอกดูก่อน ถ้าพ่อเอกบอกว่าเราเล่นเบาไป อารมณ์เราต้องสื่อสารอีกแบบ คือเราก็จะปรึกษาพ่อเอกตลอด ทำการบ้านตลอด ฉากบู๊ในเรื่องก็หนัก ก่อนถ่ายทำผมต้องเข้าครอสเรียนฉากกับอ.ดำประมาณ 2 เดือนได้ ก็ใช้เวลาว่างไป ก็ไปฝึกซ้อมเกี่ยวกับคิวบู๊ เพราะครูดำบอกว่าท่าบู๊ปกติแกไม่เอา แกบอกว่ามันซ้ำกับคนอื่น ใครๆ ก็ทำได้ แต่ของครูดำจะเป็นท่าบู๊แบบพิสดาร เวลาดูแล้วเราจะรู้สึกเจ็บจริง มันดูสมจริง ไม่ว่าจะเป็นท่ากระโดด ท่าลงไปเล่นกับดินกับทราย แล้วเรารู้สึกเจ็บจริง ถามว่ายากกว่าบู๊กปกติ ไหมยากกว่ามาก คือที่ผ่านมาผมเล่นละครผ่านมา 5-6 เรือ่งแล้ว ที่เล่นมาไม่มีเรื่องไหนไม่บู๊เลย ก็บู๊มาตลอด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเตะ ต่อย รับ แต่ของครูดำจะเป็นท่าที่คนมันต้องจำ มีทั้งมีดทั้งดาบมาครบแล้วสตั๊นในเรื่องนี้เก่งมาก เพราะโดนเตะแล้วลอยตกลงไปที่กิ่งไม้ เรียกว่าเล่นจริงเจ็บจริง เรื่องถลอกเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะเวลาเล่นบู๊ผมเป็นคนที่ชอบเล่นเอง เรื่องนี้เราเล่นเองทุกฉากบางครั้งเราก็ลืมไปว่ามันมีลูกกรวดลูกหิน บางทีเราไปนอนเกลือนอนกลิ้งคือตอนถ่ายไม่รู้สึก แต่พอถ่ายเสร็จถึงจะรู้สึกเจ็บ เรื่องผิดคิวเป็นเรื่องปกติในการเข้าฉากบู๊ มีฉากหนึ่งผมรู้สึกเหมือนโดนตัดขา จริงๆมันก็มีวิธีเซฟโดยการเอาสะโพกลง แต่ครั้งนั้นผมดันเอาแขนลง แล้วดินข้างล่างมันเป็นกรวดเป็นทรายก็เลยถลอก เล่นบู๊หนักๆ ผมไม่กลัว ที่ว่าเล่นบู๊หนักๆ จะทำให้ร่างกายทรุดเร็วเพราะใช้ร่างกายเยอะนั้น ผมคิดว่ามันเป็นความเข้าใจของแต่ละบุคคลมากกว่า นอกจากการดูแลร่างกายแล้ว การดูคิวคนที่เข้าฉากด้วยกันกับเราก็สำคัญ คือเราต้องเข้าใจกันและเขาจะต้องเป็นคนที่เซฟนักแสดงด้วย ว่าต้องเตะอย่างไร ต่อยอย่างไร ต้องห่างแค่ไหน แต่สำหรับผมคิดว่าส่วนสำคัญคือเราต้องระวังตัวเองต้องเซฟตัวเอง คือเราไม่จำเป็นต้องทุ่มสุดตัว แต่บางครั้งเราลืมตัว เล่นจริงทีไรพ่อเอกก็จะชมว่าเก่งอย่างโน้นอย่างนี้ คือถ้าเราซ้อมถึงการผิดคิวก็จะน้อย เรียกว่าคิวต้องแม่น “ลิลลี่ เลิกคุยทั้งอำเภอ” กับภาพยนตร์เรื่องที่สองในชีวิตที่โตมากขึ้นกว่าเดิม ก่อนหน้านี้ ลิลลี่ เลิกคุยทั้งอำเภอ เคยร่วมงานแสดงภาพยนตร์ภายใต้การกำกับของเอกชัย ศรีวิชัยมาแล้วครั้งหนึ่งใน “มนต์รักดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ” ในครั้งนี้ได้กลับมาร่วมงานกับอีกครั้งใน “มนต์รักวัวชน” ซึ่งลิลลี่ได้กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้แสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “ เรื่องนี้หนูเล่นเป็นปลากริม เล่นเป็นลูกของป๋าเอกในเรื่อง นิสัยก็จะก้าวร้าวและดื้อกับพ่อ ในเรื่องหนู่จะมีบ่อนปลากัดเป็นของตัวเอง แล้วก็จะมีลูกน้อง 3 คนที่จะตัวติดกันตลอด บทที่ได้รับในเรื่องนี้ก็จะโตขึ้น เพราะ

ในเรื่องมนต์รักดอกผักบุ้งหนูจะไว้แต่ผมสั้น แต่เรื่องนี้ได้ไว้ผมยาวแล้ว ป๋าบอกว่าเรื่องนี้จะโตกว่ามนต์รักดอกผักบุ้ง เรื่องนี้ได้มาร่วมงานกับป๋าเอกอีกครั้ง หนูดีใจมากเพราะคิดว่าชีวิตนี้คงไม่ได้เล่นหนัง แต่พอได้เล่นหนังมนต์รักดอกผักบุ้งก็ดีใจระดับหนึ่งแล้วว่าเราได้เล่นหนังแล้วนะ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เล่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่พอเรื่องมนต์รักดอกผักบุ้งฉายเสร็จ ป๋าก็พูดคร่าวๆ ว่า เรื่องต่อไปป๋าจะให้เล่นอีก ซึ่งหนูก็ตั้งความหวังรอป๋า พอได้มาแสดงจริง ดีใจมากเลย เพราะหนูคิดว่าหนูน่าจะโอเคกับการเป็นนักร้องมากกว่า ไม่เคยคิดว่าจะได้เล่นหนัง ก็ต้องขอบคุณป๋า ที่ให้โอกาส ถามว่าติดใจงานแสดงไหมก็ติดใจถ้าป๋าชวนอีกหนูก็ไปแสดงด้วยเลย แต่สำหรับคนอื่นหนูไม่มั่นใจว่าจะร่วมงานได้เหมือนกับป๋ามากกว่า ในเรื่องได้เล่นคู่กับพี่ตรีเหมือนเดิม เหมือนพ่อเอกจะจับเป็นคู่จิ้น คือเราได้เคยเล่นคู่กันในเรื่องมนต์รักดอกผักบุ้ง แต่ในเรื่องนั้นหนูจะเป็นคนตามจีบพี่ตรี แต่ในเรื่องนี้พี่ตรีตามจีบหนู คือในเรื่องเขาก็ทำงานของเขาแต่พอมาเจอเราเขาก็ชอบ แล้วก็ตามจีบ รู้สึกว่าตัวเองสวยเลย ถามว่าชอบฉากไหน ชอบฉากโดนลักพาตัว เพราะหนูไม่เคยเล่นอะไรแบบนี้ ที่ผ่านมาก็จะเล่นแต่ฉากมีความสุข ฉากดราม่าก็แค่ร้องไห้กับพ่อ แต่เรื่องนี้มาโดนลักพาตัวก็เลยรู้สึกตื่นเต้นมากๆ เพราะเวลาถ่ายหนูจะชอบหลุดขำ แต่ฉากนี้หนูต้องพยายามไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ เราต้องพยายามบอกตัวเองว่าต้องแสดงความตกใจให้สมจริง พ่อเอกก็จะคอยบอกว่าห้ามยิ้มเด็ดขาด ซึ่งตอนแสดงหนูก็ไม่หลุดนะเพราะว่าพี่ๆ ส่งอารมณ์มาให้ เรื่องนี้ถ่ายทำช่วงโควิด ซึ่งทางกองก็มีมาตราการป้องกัน มีทั้งวัดอุณภูมิ มีเจลล้างมือและต้องเว้นระยะห่าง เวลาวางคิวถ่ายก็จะวางคิว 2-3 วันถ่ายทีเดียว เราจะได้ไม่เสียเวลาในการเดินทางและเสี่ยงด้วย” พลตรี แสงมณี พระรองนักบู๊ คู่จิ้นคู่ใหม่ของ ลิลลี่ เลิกคุยทั้งอำเภอ ผ่านผลงานการแสดงไม่มาก สำหรับ พลตรี แสงมณี พระรองป้ายแดงเด็กปั้นคนล่าสุดของ เอกชัย ศรีวิชัย ซึ่งก่อนหน้านี้เคยแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “มนต์รักดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ” มาก่อน ส่วนเรื่องนี้เล่นเป็นเรื่องที่สอง บทบาทที่ได้รับในครั้งนี้ก็แตกต่างจากเรื่องแรก เรื่องนี้เล่นเป็นตำรวจ ซึ่งมันยากมากเพราะผมไม่เก่งเรื่องบท ก็มีทำการบ้านบ้าง ก็ตื่นเต้น เพราะบทเยอะกว่าเดิมเยอะมาก เราก็ใช้ความเข้าใจส่วนตัวเพราะการถ่ายหนังมันไม่ได้ถ่ายเรียงซีน เราก็ใช้การเช้าใจในการจำบทจะง่ายกว่า “ในเรื่องรับบทเป็นร้อยตำรวจเอกพลตรี บุคคลิกในเรื่อง เป็นคนนิ่งๆ และขี้สงสัยขี้เล่น หยอกล้อเก่ง เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ ถามว่ายากไหมผมว่ายากนะ ถึงแม้ว่าผมเป็นคนใต้ อยู่นครศรีธรรมราช แต่ภาษาที่ใช้ในเรื่องนี้จะเป็นทางการ เป็นราชการต้องเข้มๆ เป็นตำรวจก็จะยากหน่อย เพราะโทนเสียงเรายังควบคุมไม่ได้ เรื่องนี้มีฉากบู๊ ซึ่งผมถนัดมาก ในเรื่องมีฉากบู๊เยอะมาก มาเล่นได้เพราะบทนี้บทบู๊เยอะลุกเอกเห็นว่าเหมาะกับเราก็เลยเอาเรามาเล่น ได้มาเล่นเรื่องนี้ผมตื่นเต้นมาก ถามว่าต้องไปเรียนการแสดงเพิ่มไหม ก็มีไปเรียนเพิ่มก่อนโควิด ไปเรียนของเพื่อนคุณพ่อเขาเป็นนักแสดง แต่ส่วนใหญ่ผมจะติดเรื่องการพูดเพราะผมเป็นคนพูดไม่ชัด เรียบเรียงคำพูดไม่ค่อยได้ ออกคำควบกล้ำไม่ชัด ลุงเอกก็ฝึกหนักเพราะผมโดนด่าเรื่องนี้ประจำ เรื่อง

สำเนียงเรื่องการพูดไม่ชัด และโทนเสียงซึ่งผมจะเป็นคนที่โทนเสียงสูงเกิน ไม่แมน มันก็จะยากเวลาแสดง เรื่องนี้ลุงเอกเป็นผู้กำกับ ถามว่าดุไหมก็ดุ แต่ท่านดุเพราะเป็นห่วงเรา ดุให้เรามีสติ เอยากให้เราแสดงให้ดีที่สุด เพราะหนังเรื่องนี้ท่านก็ทุ่มทั้งใจทั้งกาย ท่านรักก็อยากให้เราทำให้ดีที่สุด ท่านก็มีสอนเวลาอ่านบทแล้วก็ให้เราพยายามเข้าใจตัวละคร พยายามเป็นตัวละครนั้นให้มากที่สุดเพราะมันจะออกมาจากอินเนอร์ของเรา ถ้าเราเชื่อว่าเป็นคนคนนั้นเราก็จะเล่นออกมาได้ดี เราก็จะเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังออกมาทั้งหมด แล้วมันจะออกมาดี เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับกีฬาวัวชน ซึ่งผมก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกจากหนังเรื่องแรก ฉากที่แข่งวัวชนผมไม่ได้เข้าฉากนี้ ส่วนใหญ่เราจะไปจับโจรมากกว่า (หัวเราะ) ตอนที่พี่เขาส่งคลิปวัวชนมาให้ดู เราก็อยากไปดูเหมือนกัน ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้เล่นกับพี่ตั๊กแตน ชลดา พี่ไพศาล ขุนหนู ซึ่งเราก็จะไม่ค่อยเกร็งสักเท่าไหร่ แล้วก็มีเล่นกับพี่หม่ำ และพี่บ่าววี ลุงเอก แล้วก็ลิลลี่ ซึ่งเราจะเกร็งกับนักแสดงรุ่นใหญ่มากกว่า กับพี่หม่ำก็ได้เข้าฉากเยอะเหมือนกัน เข้าหลายฉากอยู่ สิ่งที่ยากเวลาเข้าฉากกับพี่หม่ำก็คือเวลาเห็นสีหน้าเขาแล้วผมกลั้นขำไม่ค่อยได้ เพราะตลก แล้วพี่หม่ำเป็นดาวตลกที่ผมชอบมาก เวลาเข้าฉากเราก็จะหลุดขำ จะโดนเทคบ่อย ส่วนฉากประทับใจ ก็จะเป็นฉากแอคชั่น เป็นฉากที่ไปช่วยนางเอกต้องต่อสู้กับผู้ร้าย เป็นฉากแอคชั่นลองเทค คือเล่นยาว ฉากนี้ก็เกิดอุบัติเหตุด้วย ก็ผิดคิวนิดหน่อย ตกจากที่สูงเพราะกระโดดแล้วตกลงมาทำให้ขาข้างซ้ายพลิก มันเกิดจากเอ็นอักเสบแบบรุนแรง เพราะพอเกิดอุบัติเหตุ แต่เรายังฝืนแสดงต่อจนเสร็จ แล้วค่อยไปหาหมอ หมอบอกว่าเอ็นอักเสบรุนแรงมาก ผมต้องทนความเจ็บปวด เราต้องแสดงจนจบ เส้นเอ็นมันเลยเหมือนโดนขยี้มันก็เลยอักเสบ พอถ่ายฉากนั้นจบก็ไปโรงพยาบาลเลย ก็รักษาอาการประมาณ 2 เดือน ตอนนี้อาการตอนนี้ก็ดีขึ้นเกือบเป็นปกติแล้ว เรียกว่าเป็นฉากที่ต้องจดจำตลอดชีวิตเพราะมันทรมานมาก” เมื่อถามถึงฉากที่ต้องกลับมาเล่นกับลิลลี่อีกครั้ง ซึ่งนักแสดงหนุ่มกล่าวว่า “ในเรื่องเล่นเป็นคู่กัดกับลิลลี่ เรื่องนี้เล่นด้วยกันเป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งแรกเล่นเรื่อง “มนต์รักดอกผักบุ้งฯ” พอได้มาเล่นครั้งนี้ก็ทำให้ลื่นขึ้น ไม่เกร็ง ไม่เขินมากและเล่นกับน้องได้เยอะขึ้น ลุงเอกก็อยากให้เป็นคู่จิ้น ซึ่งจริงๆ แล้วน้องก็น่ารักนะ นิสัย และเล่นเก่งมาก ผมก็แอบชื่นชมเขาเพราะเขาเล่นเก่งจริงๆ ส่วนฉากกุ๊กกิ๊กในเรื่องก็มีนิดหน่อย ก็ต้องไปชมกันในภาพยนตร์” “มนต์รักวัวชน” หนังที่ได้สาระกลับไป นอกเหนือจากความสนุกสนาน หากถามว่าภาพยนตร์เรื่อง “มนต์รักวัวชน” เน้นเรื่องกีฬาและการพนันเป็นพิเศษไหม ซึ่งผู้กำกับของเรื่องอย่าง เอกชัย ศรีวิชัย ก็กล่าวแจงเรื่องนี้ทันทีว่า “ก็ไม่นะ ภาพยนตร์ก็คือภาพยนตร์ หลักๆ คือเราเอาบันเทิงนำสาระ คือดูหนังแล้วต้องดูบันเทิงไม่ใช่สารคดี ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ้นต์แล้วก็ต้องวางบันเทิงไว้ 80 เปอร์เซ้นต์ คนทำหนังต้องคาดหวังว่าต้องมีสาระ คือทุกอย่างทำได้แต่เมื่อเฉลี่ยแล้ว พี่ว่ามันไม่ควรเกิน 20 เปอร์เซ็นต์ คือถ้าดูหนังแล้วเป็นสารคดีก็ไปเรียนเอาในวิทยาลัยก็ได้ ภาพยนตร์คือบันเทิงในความรู้สึกของพี่

แต่ภาพยนตร์ของพี่ทุกเรื่อง ที่เป็นบันเทิงไม่ได้เป็นบันเทิงว่างเปล่า แต่เป็นบันเทิงที่ให้อะไรเยอะ อย่างเรื่องนี้เราก็ไม่ได้คาดหวังว่าคนดูจะได้อะไรไป ทุกตัวหนังสือมันมีมุมมองของมัน ทุกคำพูดมันก็มีมุมมองของมัน พี่มองว่ามันขัน อยู่ที่คนจะมอง การเล่นหวยทำไมบางคนทายแล้วถูก ทำไมบางคนทายไม่ถูก ทำไมบางคนได้ บางคนไม่ได้ มันขึ้นอยู่ที่มุมมองของคน เราไมได้ทำภาพยนตร์มาเพื่อ เอาภาพยนตร์มาสอนคน หรือเอาภาพยนตร์มาเป็นตำราหรือบทเรียนเพราะภาพยนตร์คือบันเทิง แต่เมื่อดูบันเทิงดูละครเพื่อย้อนดูตัว อย่างที่บอก เราก็เอาภาพยนตร์มาเป็นข้อคิดได้แต่ไม่ใช่ทั้งหมด สาระมันมี แต่อยู่ที่ว่าจะหยิบตรงไหนมาใช้ บางครั้งไม่ได้ถูกวางไว้ในเส้นเรือ่ง บางครั้งมันถูกวางไว้ในคำพูด อย่างพ่อจะตายพ่อพูดอะไรไว้ อย่างคำว่า นักเลงวัวชนกับนักการพนันวัวชน 2 คำนี้มันใกล้กันมากแยกมันให้ออกนะลูก หลังจากนั้นต้องคิดเองบ้าง อันนี้คือความคิดเห็นของพี่ในฐานะผู้กำกับ เพราะในมุมมองของแต่ละคนอาจจะมองไม่เหมือนกัน ผมไม่ได้บอกว่าการพนันไม่ดี แต่ว่าในเรื่องพี่เอกเล่นการพนัน เล่นๆๆๆ อย่างเดียว พอออกมานุ่งกางเกงในตัวเดียว แล้วใส่เสื้อกล้ามตัวนึงอย่างนี้คุณทายออกไหมว่ามันดีหรือไม่ดี อย่าหวยเราพี่ก็นำเสนอว่า เราไปไหว้เจ้าแม่ไทร ธุป 3 ก้านและพวงมาลัย 1 พวงไปขอหวย แล้วมองกลับกัน เจ้ามือหวยเขาตั้งหัวหมู ตั้งเครื่องเส้น แล้วเทวดาจะเลือกฝั่งไหน ถามว่าหวังไหม ทุกคนต่างคาดหวังในการทำงานหมดแหละว่าอยากให้หนังประสบความสำเร็จ แต่ว่า ตรงนี้เป็นเรื่องของคุณตน ในส่วนของพี่คือทำงานอย่างไรให้ดีที่สุด และทำให้คนดูมีความสุขที่สุดในการดูภาพยนตร์อันนี้คือเราประสบความสำเร็จแล้ว เพราะว่ากระบวนการของการทำภาพยนตร์ มัน ไม่ใช่แค่ว่าทำหนังให้ดีอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการพีอาร หน้าที่ของแต่ละฝ่าย โรงอะไรต่าง แต่ณ ตอนนี้ เดือนสิงหาคมโควิดน่าจะเบาลงแล้ว และหนังก็ไม่น่าจะมี ซึ่งเราก็น่าจะฉายได้ สองเดือนสามเดือน หน้าที่พี่เอกเมื่อเราทำหนังแล้วเจ้านายแฮปปี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อการทำอะไรเราทำทุกคอมเม้นต์ของเจ้านาย เขาอยากได้อะไรเราก็ไม่ดื้อ เราก็เชื่อฟังการตลาด เมื่อภาพยนตร์ผ่านการคัดกรองจากเจ้านายแล้ วและเราก็แฮปปี้กับหนังแล้ว ผลออกมาอยางไรก็ต้องยอมรับทุกฝ่าย คือหนังจะได้ตังค์ไหมเราไม่รู้เพราะตัวแปลมันยังมีอยู่อีกเยอะมาก ช่วงจังหวะ ไทมมิ่งเวลา มันมีอีกหลายอย่าง แต่ถ้าเราเชื่อว่าเราทำหนังดี ไม่ได้ทำหนังเสียหายออกมาแล้วคนด่า ตั้งแต่ทำหนังออกมา 6-7 เรื่องก็ยังไม่เคยมีใครออกจากโรงมาแล้วด่าหนังพี่ ส่วนรายได้ก็ว่ากันไป เพราะมันไม่ใช่ตัวกำหนด ตอนนี้ตัวกำหนดที่น่ากลัวที่สุดก็คือโควิดนี่แหละ” เอกชัยกล่าว ต่อด้วยพระเอกคู่บุญของเอกชัย ศรีวิชัย อย่าง ไพศาล ขุนหนู ซึ่งอยากจะฝากภาพยนตร์เรื่องนี้กับแฟนภาพยนตร์ว่า “สำหรับหนังเรื่องนี้ สิ่งที่พ่อเอกอยากถ่ายทอดคือการกีฬาของภาคใต้ ที่ตอนนี้ไม่ได้เป็นกีฬาของภาคใต้อย่างเดียวเพราะกีฬาวัวชนเป็นกีฬาของคนทั่วโลกไปแล้ว พ่อเอกอยากนำเสนอวัวชนซึ่งเป็นเลือดนักสู้ที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ปู่ ย่า ตา ยาย เพราะมันมีการเลี้ยงวัวการเล่นวัวมาตั้งแต่สมัยคุณปู่คุณย่า และสิ่งที่สำคัญที่สุดบางคนอาจจะมองว่ามันเป็นการพนัน การเข้าไปดูวัวชนคือการเข้าเล่นการพนัน เรื่องนี้จะทำให้เห็นว่านักกีฬาวัวชน และนักพนันวัวชนนั้น มันแตกต่างกันอย่างไร นอกจากนี้ยังได้เห็นความรักของพ่อ

ลูก ได้เห็นความรักของเพื่อน ที่มีต่อเพื่อน ที่มีต่อลูก และการพนันมันก็ไม่ได้ทำให้อะไรมันดีเลย มันมีแต่การสูญเสีย วันนี้อาจจะได้ พรุ่งนี้เราอาจจะเสีย แต่เท่าที่เห็นมา มันก็มีแต่ความสูญเสีย และไม่ว่าเส้นเรื่องจะเป็นอย่างไร หนังพ่อเอกทุกเรื่องไม่เคยทิ้งเรื่องวัฒนธรรม และความเป็นตัวตนของเขา เราจะได้เป็นโลเคชั่นสวยๆ ของภาคใต้ ได้เห็นภาษาพื้นบ้าน ได้เห็นประเพณีปฎิบัติ รากของวัฒนธรรมภาคใต้ว่าเป็นอย่างไร ได้เห็นชาวบ้านว่าเขาดำเนินชีวิตอย่างไร ได้เห็นความเป็นบ้านๆ แน่นอนที่สุดคือเสียงหัวเราะเพราะเรื่องนี้ฮามาก” ฟาก ตั๊กแตนชลลดา กล่าวว่า “ช่วงที่ถ่ายทำก็เป็นช่วงที่โควิดระบาดพอดี ก็ส่งผลกระทบนะ เพราะทุกคนในกองต้องใส่แมสหมด ใส่ตลอดเวลา คือต้องระมัดระวังในการถ่ายทำ แล้วก่อนเข้ากองก็จะมีการตรวจ มีวัดอุณหภูมิ ตอนถ่ายเราก็มีการระวัง แตนว่าเรื่องการเลื่อนฉายนั้นน่าจะส่งผลกระทบกับผู้จัดมากกว่า กับทางนักแสดงก็ส่วนหนึ่ง แต่ก็ไปหนักที่ผู้จัดผู้ลงทุนมากกว่า ก็เห็นใจเขาเหมือนกัน และถ้ามาฉายในช่วงโควิดคนก็ไม่กล้าเข้าโรงหนัง ไม่กล้าเข้าไปดู ก็อยากให้ไปดูกัน เชื่อว่าคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ จะได้รู้จัก “วัวชน” แน่ๆ ว่าวัวชนคือกีฬาอย่างหนึ่ง ซึ่งทางไทยมีกีฬาวัวชนอยู่ด้วย ที่ต่างประเทศก็มีและฮิตพอสมควร นอกจากนี้ยังได้คติสอนใจว่าอย่าไปงมงายกับเรื่องไม่ดี คือเรื่องนี้จะให้คติสอนใจเรื่องการพนัน อย่างนางเอกก็บ้าหวย พระเอกก็บ้าพนันวัว ทั้งๆ ที่วัวชนเขาทำมาเพื่อให้เป็นกีฬาไม่ใช่ทำมาเพื่อการพนัน” ในขณะที่ พลตรี แสงมณี พระรองป้ายแดงของเรื่องกล่าวว่า “คนดูจะได้เปิดประสบการณ์ใหม่เรื่องกีฬาวัวชน ปลากัด ได้เห็นวัฒนธรรมของภาคใต้หลายอย่าง โลเคชั่นในการถ่ายทำ เหมือนเป็นการเปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ในจังหวัดสงขลา เขาโคหาย ซึ่งสวยมากเรียกว่านอกจากจะได้ทราบเรื่องวัฒนธรรมภาคใต้แล้ว ก็ยังได้รู้จักสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ของภาคใต้ด้วย ” ปิดท้ายที่ ลิลลี่ เลิกคุยทั้งอำเภอ กล่าวว่า “คนดูต้องได้ความสุขและความตลกแน่ๆ ขนาดหนูแสดงเองยังตลกเลย ถามว่าคาดหวังไหม หนูก็คาดหวังให้คนมาดูแต่ก็ไม่ได้หวังมากเพราะหนูก็เข้าใจสถานการ์ณช่วงนี้ว่า มันติดโควิด แต่ก็คิดว่าน่าจะมีคนดูบ้างแหละ ก็ฝากเอฟซีคนใต้ ที่อยากดู เราก็สามารถมาดูได้เพราะหนังเรื่องนี้มีครบรส นอกจากตลกแล้ว ก็ยังมีฉากน้ำตาซึมๆ ถ้าคนที่ได้มาดูหนูคิดว่าคนดูต้องไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน”