มีคำถามหลายคำถาม ที่แฟนละคร “ศีรษะมาร” ทางสานีโทรทัศน์ช่อง 8 อยากรู้ ทั้งในเรื่องวิทยาศาสตร์ การต่อหัว หรือแม้กระทั่งกระแสพลังจิต จากเรื่องราวของ “ปี๋” ที่มีชีวิตเหมือนตายแต่ก็ไม่ตาย แถมหัวขาด แต่เธอก็ยังสามารถอยู่ได้ด้วยพลังจิต มิหนำซ้ำพลังจิตของเธอยังบังคับใครต่อใครให้ทำตามที่ตัวเองดั่งใจนึก วันนี้เลยพาทุกท่านมาร่วมค้นหาความจริงกับ ศาสตราจารย์พิเศษ ร้อยโท ดรบรรจบ  บรรณรุจิ  ราชบัณฑิต ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังจิต จากสถาบันพลังจิตตาสุภาพ ๙ บ้านบรรณรุจิ ว่าพลังจิตมหาศาลของปี๋เป็นไปได้ไหมว่าจะมีจริงบนโลกใบนี้ และไม่ได้อยู่แค่ในละครเท่านั้น

พลังจิต คือ อะไร เกิดจากอะไร?

พลังจิตถ้าเกิดว่าแปลตามตัวก็คือ จิตที่มีพลัง หรือจิตที่มีความเข้มแข็ง ซึ่งในจิตที่มีพลังขั้นสูงจะทำให้เกิดฤทธิ์ หรือ ปรากฎการณ์แปลก ๆได้ พลังจิตจะเกิดจากการมีสมาธิในขั้นสูงในคัมภีร์พุทธศาสนา ก็คือสมาธิระดับฌานขั้นที่ 4  หมายความว่าคุณเข้าสมาธิอยู่ในฌานแล้วจะตัดความรู้สึกภายนอกออกไปทั้งหมด แต่ว่าตื่นจากข้างใน แต่ไม่ใช่เป็นการหลับ เพียงแค่ตัดการรับรู้ความรู้สึกจากภายนอก อย่างเช่นข้างนอกเขาจะทำอะไรเราไม่รุ้เลย จะมีฟ้าผ่า จะมีคนมาทำเสียงดังใกล้ ๆ จะไม่รับรู้เลย เพราะสมาธิที่ถูกต้องตามหลักศาสนา ต้องมีสติกำกับ  หากไม่มีสติกำกับมันจะหลับ สติต้องรู้ตัวว่าขณะนี้ทำอะไรแล้วก็ประคองให้สมาธิเข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ

 

แล้วพลังจิต แบ่งเป็นระดับยังไงบ้าง?

เมื่อเรานิยามว่าพลังจิตเกิดจากสมาธิ มันก็จะมีสมาธิอยู่ 3 ระดับ ก็คือสมาธิช่วงสั้น ๆ แต่เกิดต่อเนื่อง อันนี้จะช่วยให้เราสามารถดำรงชีวิตในทุก ๆวันได้ ระดับต่อมาหลังจากนั้นเมื่อเราไปฝึกนั่งสมาธิ ที่เป็นการนั่งหลับตา เมื่อสติสามารถจับอารมณ์ที่เรากำหนดได้ จับท้องพอง-ยุบ จับพุท-โธ ได้ สมาธิก็จะเกิดโดยธรรมชาติ แสดงว่าเลื่อนระดับจากชีวิตประจำวันขึ้นมาระดับหนึ่ง แต่มันก็จะมีตัวชี้วัดคือความสงบจะเริ่มเกิด ตรงนี้บ่งบอกว่าสมาธิของเราเจริญก้าวหน้าแล้วในเบื้องต้น ต่อขึ้นไปอีกมันจะตัดความวิตกกังวล ตรงนี้ก็จะนับเป็นขั้นสูง ขั้นฌานแล้ว

พลังจิตของปี๋ ทำร้ายมนุษย์ แต่หากพลังจิตมีด้านดี จะช่วยมนุษย์อย่างไรบ้าง?

สำหรับคนที่มีพลังจิตสูงสามารถช่วยคนได้ เช่นถ้าคนที่มีพลังจิตสูงจะสามารถรับสัมผัสเสียงร้องขอให้ช่วยเหลือของคนทั้งหลายได้ สามารถแปลงร่างเป็นกายทิพย์ สัตว์อะไรต่าง ๆ ที่เป็นแบบนั้นได้ จริง ๆ มีเรื่องที่เป็นการช่วยเหลือจากพลังจิต อย่างในพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดสัตว์โลกตามที่พลังจิตของท่านรับรู้ว่าใครที่ต้องการความช่วยเหลือ

อย่างในปัจจุบัน คนมีจิตที่แย่ลงเช่นการฆ่าคนง่ายมาก ปล้นชิงทรัพย์ก็ง่าย อาจารย์คิดว่าจะแนะนำพวกเขาอย่างไร?

การคิดบวกเป็นสิ่งที่ดี แต่การคิดบวก จะเกิดขึ้นได้ต้องมีสติสัมปชัญญะ พอเจออะไรที่จะกระตุ้นให้เกิดความรัก หรือโทสะ ที่ควบคุมไม่ได้ ต้องมีสติรู้ตัวว่าเรากำลังเป็นแบบนี้นะ อย่างที่โบราณสอนให้นับ 1-10 นี่สามารถทำได้ดีเลย หรือ การนึกพุท-โธ ก็ช่วยได้ แต่ทุกวันนี้สิ่งแวดล้อมทำให้เราขาดสติ ทำให้เราอยากได้ ทำให้เราร้อนและตัดสินใจเร็ว สติจึงสำคัญมาก หากไร้สติ พลังจิตเราก็น้อย ทำให้เราอาจจะประมาทได้ครับ

อย่างคนที่ทำผิดไปแล้ว แล้วรู้สึกผิด อาจารย์มีวิธีแนะนำให้เขาเดินต่อไปข้างหน้าได้?

อย่างแรกเลยคือต้องเกิดปัญญาก่อน รู้ว่าตัวเองผิด แล้วคิดต่อว่าอยากพ้นจากความผิดนั้นมั้ย ถ้าเกิดความรู้สึกแบบนี้เราถึงจะสามารถชี้นำได้ ต้องมองตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก และยอมรับแง่คิด หรือพัฒนาจิตตัวเองให้ดีขึ้น

พลังจิตเป็นวิทยาศาสตร์ หรือ ไสยศาสตร์?

มันใช้ได้สองอย่าง จะใช้ให้เป็นไสยศาสตร์ก็ได้ ถ้าเราใช้พลังพวกนี้ไปฆ่าคนมันก็เป็นด้านที่ไม่ดี เป็นมิจฉาสมาธิ ส่วนถ้าใช้แบบวิทยาศาสตร์ก็ได้ สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุด้วยผล ในพุทธศาสนาเรียกว่าพุทธศาสตร์ ไม่ใช่ไสยศาสตร์แน่นอน แล้วก็ไม่ใช่แค่วิทยาศาสตร์ แต่เป็นพุทธศาสต์ที่เข้าไปทำให้เกิดปัญญาและชำระกิเลส

ถ้า “ปี๋” มีจริง จะเกิดเหตุการณ์ อย่างไรบ้าง?

                โลกเราคงยุ่งนะ การพยาบาท แก้แค้น การล่าร่างมนุษย์มาเป็นของตัวเอง อาชญากรรม และฆาตกร ร่วมถึงการมีศีลธรรมคงหมดไป เพราะใครๆก็ต้องการให้ตัวเองอยู่รอดเหมือนในละคร สังคมคงเหนื่อยไม่น้อยเลยครับ

สุดท้ายนี้ ศาสตราจารย์พิเศษ ร้อยโท ดรบรรจบ  ยังฝากแง่คิดเกี่ยวกับละคร ศีรษะมาร “อีกว่าละครเป็นสิ่งบันเทิง ทำให้เกิดความสุข สนุกสนาน บางเรื่องก็มีโครงเรื่องจริง บางเรื่องก็เป็นจิตนาการ มันอาจจะสอดคล้องกับเหตุผลที่เป็นจริง หรือ บางทีก็อาจจะเหนือความเป็นจริง ท้ายที่สุดผู้ชมต้องมีวิจารณญาณและตัดสินว่าอันไหนจริงหรือไม่จริง และเป็นประโยชน์กับชีวิต ซึ่งส่วนที่เป็นประโยชน์ก็อาจจะยึดจากความสำเร็จของฝ่ายดี ช่วยวิเคราะห์ปัญหา และแก้ไขจนบรรลุเป้าหมาย ส่วนฝ่ายร้ายก็จะมุ่งไปในทางทำร้ายและเอาตัวเองเป็นหลัก สุดท้ายละครไม่ว่าจะประเทศไหนในโลกก็มันจะสอนว่า “ธรรมะชนะอธรรมเสมอ” หมายความส่วนใหญ่ในโลกเข้าใจตรงกันว่าความดีย่อมชนะความชั่วเสมอ แต่ว่าต้องมีวิธีการที่ชาญฉลาดในการใช้ความดีนั้นทำให้ผ่านไปได้ครับ”

………………………………………………………………………………………………….. 

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ