“Bones and All – โบนส์ แอนด์ ออล”

24 พฤศจิกายน ในโรงภาพยนตร์

ชมตัวอย่าง https://youtu.be/vS6hp8oSti8

#BonesandAll #โบนส์แอนด์ออล

ผลงานจาก Metro Goldwyn Mayer Pictures สู่ภาพยนตร์เรื่อง “Bones and All” เรื่องราวเกี่ยวกับความรักที่กำกับฯ โดยลูกา กัวดานีโน (“Call Me by Your Name”) ที่เพิ่งได้รับรางวัล Silver Lion for Best Director ในงาน  2022 Venice Film Festival 

ภาพยนตร์เรื่อง “Bones and All” เป็นเรื่องราวของรักแรกระหว่างมาเรน (เทย์เลอร์ รัสเซล) สาวน้อยที่ต้องเรียนรู้วิธีเอาตัวรอดในสังคมที่แตกต่างและ ลี (ทิโมธี ชาลาเมต์) คนเร่ร่อนที่ไร้สิทธิใดๆ และเก็บกด… พวกเขาได้ร่วมทางกันนับพันไมล์ จนนำไปสู่ถนนลึกลับและกับดักในยุคอเมริกาสมัยโรนัลด์ รีแกน แต่ถึงแม้พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ทุกสิ่งยังพาพวกเขาหวนกลับไปหาอดีตที่เลวร้าย และต้องหนักแน่นว่าความรักของพวกเขาจะเอาชนะความแตกต่างได้

ภาพยนตร์เรื่อง “Bones and All” นำแสดงโดยเทย์เลอร์ รัสเซล (“Waves,” “The Heart Still Hums,”) เจ้าของรางวัล Marcello Mastroianni Award สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในงาน Venice Film Festival ปีนี้ ทิโมธี ชาลาเมต์ (เข้าชิงรางวัล Oscar จากเรื่อง “Call Me by Your Name,” “Dune”) ไมเคิล สตูลบาร์ก (“Call Me by Your Name,” “The Shape of Water”) อังเดร ฮอลแลนด์ (“Passing,” “Moonlight”) โคลอี้ เซเวจนี (“We Are Who We Are,” “American Horror Story”) เดวิด กอร์ดอน กรีน (“Halloween Ends,” “The Unbearable Weight of Massive Talent”) เจสสิก้า ฮาร์เปอร์ (“Suspiria,” “Minority Report”) เจค โฮโรวิตซ์ (“Adam Bloom,” “The Vast of Night”) และมาร์ค ไรแลนซ์ (เจ้าของรางวัล Oscar จากเรื่อง “Bridge of Spies,” “Wolf Hall”) บทภาพยนตร์โดยเดวิด แคจกานิช  (“Suspiria,” “A Bigger Splash”) สร้างอิงจากนยายของคามิล ดิแองเจลส อำนวยการสร้างฯ โดยลูกา กัวดานีโน, เธเรซา พาร์ค, มาร์โค โมราบิโท, เดวิด แคจกานิช, ฟรานเชสโก เมลซี เดริล, โลเรนโซ ไมลี, แกเบรียล โมแร็ตติ และ ปีเตอร์ สเปียร์ส, ทิโมธี ชาลาเมต์ อำนวยการสร้างบริหารฯ โดย จิโอแวนนี คอร์ราโด, ราฟาเอลลา วิสคาร์ดี, โมรีโน ซานี, มาร์โค โคลอมโบ และ โจนาธาน มองต์แพร์

ทีมงานเบื้องหลังที่ร่วมงานมีทั้งผู้กำกับภาพ อาร์เซนี แคตชาทูแรน (“Eyimofe (This Is My Desire),” “The Idol”) ผู้ออกแบบฉาก เอลเลียต ฮอสเทตเตอร์  (“Beckett,” “Waves”) ผู้ลำดับภาพ มาร์โค คอสต้า (“We Are Who We Are,” “Suspiria”) ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย จูเลีย เพียร์ซซานติ (“Suspiria,” “Call Me by Your Name”) และผู้ประพพันธ์ดนตรี เทรนต์ เรซนอร์ แอตติคัส รอส (“Soul,” “Mank”)

Metro Goldwyn Mayer Pictures นำเสนอภาพยนตร์ผลงานจาก A Frenesy Film Company และ Per Capita Productions ร่วมกับ The Apartment Pictures, A Freemantle Company, Memo Films, 3 Marys Entertainment, Elafilm, Tenderstories, A Luca Guadagnino Film เรื่อง “Bones and All” จัดจำหน่ายในอิตาลีผ่านบริษัท Vision Distribution และในต่างประเทศโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส มีกำหนดฉายในพื้นที่เริ่ม 23 พฤศจิกายน 2022

ความเห็นจากผู้กำกับฯ ลูกา กัวดานีโน

ในหนังมีเรื่องราวของการถูกแบ่งแยก การใช้ชีวิตในสังคมที่มีความแตกต่างและเป็นเรื่องที่ผมสนใจ ผลงานทุกเรื่องของผมล้วนเกี่ยวกับผู้ที่สังคมที่ไม่ต้อนรับ และตัวละครในเรื่อง “Bones and All” สะท้อนกับตัวผมด้วย โดยยังมีความน่าสนใจที่รายละเอียดบรรยากาศตะวันออกกลางยุค 80 ไอเดียของนักท่องเที่ยวที่คนหนึ่งเหมือนเดินทางไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย มีความเป็นชาวอเมริกันรุ่นใหม่มาก และเหมือนผมได้จังหวะที่ดีสำหรับการเริ่มสร้างหนังในสหรัฐฯ

หัวใจหลักของงเรื่องคือความอ่อนโยนและความรักของตัวละคร ผมสนใจเรื่องการเดินทางของความรู้สึกของพวกเขา และสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา ความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ระหว่างตัวละครเหล่านี้? ไม่เลย ผมไม่คิดว่าหนังมีการแหกคอกอะไร แต่เราอาจล้ำสมัยเกินไปสำหรับการถ่ายทอดเรื่องราวนี้ในแบบคลาสสิคแหวกแนว

ผมขอเชิญผู้ชมมาร่วมประสบการณ์ครั้งนี้ นี่เป็นเรื่องราวของการค้นพบคำตอบ คนเหล่านี้คือใคร? ทำไมมีท่าทางแบบนั้น? พวกเขาจะได้เรียนรู้อะไร? และพวกเราได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองบ้าง?

ผมมาจากประเทศคาทอลิก เรามีการเปรียบเทียบชีวิตของเรากับการกินว่า ร่างกายของพระคริสต์เปรียบเสมือนขนมปังบางๆ ขณะเดียวกันเรายังมีความเป็นสัตว์ แต่มีเหตุผลและสัญชาตญาณ มีสังคมและสิ่งที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเป็นตัวผลักดัน มันคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์คนหนึ่งสามารถมนุษย์อีกคนหนึ่งได้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับหนัง ในหนังอยากสื่อถึงเรื่องตัวตนที่เป็นและการเอาชนะความรู้สึกตัวเอง และสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อควบคุมตัวเองไม่ได้ และสุดท้ายคือเมื่อไหร่กันที่เราจะอยู่ในสายตาของผู้อื่น?

รายละเอียดภาพยนตร์

ผลงานจากลูกา กัวดานีโน (Call Me By Your Name) สู่เรื่องราวความรักที่มีความละเอียดอ่อน มีทั้งความหดหู่และความแปลก โร้ดทริปแห่งการค้นพบของสองชาอเมริกันที่ร่วมแชร์ความโหดเหี้ยม คาวมปรารถนาที่ทำให้พวกเขาต่างจากคนอื่น และต้องออกเดินทางจนได้พบกับบ้านที่พวกเขาจะพักพิงได้ 

การเดินทางเปลี่ยนชีวิตพวกเขาเริ่มขึ้นช่วงปี 1980 สาวน้อยมาเรนเกิดมาพร้อมความลับ ความหิวกระหายภายนอกดูเหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่ไม่สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนอื่น เธอต้องย้ายที่อยู่จากเมืองหนึ่งสู่อีกเมืองหนึ่ง และรู้สึกแปลกแยกจากสังคมมาเป็นเวลานาน เมื่อพ่อผู้จิตใจแตกสลายคิดว่าไม่สามารถช่วยเหลือเธอได้อีกต่อไป มาเรนหมดทางเลือกและทำได้เพียงย้ายออกมาโดยลำพัง จนเธอได้พบว่าเธอไม่โดดเดี่ยว ยังมีคนอื่นที่เป็นเหมือนเธอ คนที่เข้าใจในความต้องการแบบเดียวกัน คนอย่าง ลี หนุ่มหัวรั้นจากเมืองเล็กที่ช่วยให้เธออยู่รอดได้ ใกล้ชิดเธอและเห็นบางอย่างในตัวเธอมากกว่าความปรารถนาที่เธอซ่อนไว้ แม้ว่าการเคียงข้างกันจะเป็นเรื่องเสี่ยงก็ตาม 

แม้ว่าข้อจำกัดของพวกเขาคือความสยอง กัวดานีโนได้นำเรื่องราวของมาเรนและลีก้าวข้ามผ่านเส้นทางที่กำหนดไว้  ความกระหายในตัวพวกเขาไม่ได้แสดงออกมาอย่างป่าเถื่อนหรือชวนหดหู่ แต่เหมือนเส้นทางชีวิตที่ยากจะเลี่ยงได้ และเมื่อการเดินทางเริ่มขึ้นจะได้เห็นการแสดงออกถึงอารมณ์ที่ดูมีชีวิตชีวาจากซูเปอร์สตาร์ ทิโมธี ชาลาเมต์ และนักแสดงดาวรุ่งเทย์เลอร์ รัสเซลในอีกรูปแบบหนึ่ง ราวกับคู่หนุ่มสาวกำลังมีเส้นทางของตัวเอง ออกค้นหาตัวเองและตามหาความงดงามในโลกที่แฝงด้วยความอันตรายและไม่ยอมรับสิ่งที่พวกเขาเป็น  

สำหรับกัวดานีโนแล้ว ความหิวกระหายของตัวละครที่จะนำไปสู่ความโหดเหี้ยม กลับไม่ใช่เรื่องสร้างความช็อคอะไรเพราะผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม มันกลายเป็นเรื่องที่น่าสงสารของผู้ที่เหมือนคนหลงทาง ไม่ลงตัวกับที่ไหนและต้องออกเดินทางไปเรื่อยๆ แต่ถึงแม้จะไม่เป็นที่ต้อนรับของสังคมก็ยังมีกันและกัน เขาเล่าว่าเรื่อง  Bones and All เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับ “ความรักที่เป็นไปไม่ได้ การถูกตัดขาด และการฝันว่าจะได้พบกับบ้าน” 

เขาเล่าต่อว่า “มันเป็นเรื่องราวของสองหนุมสาวที่พบว่าไม่มีที่ใดเป็นบ้านสำหรับพวกเขาได้ พวกเขาจึงต้องสร้างมันขึ้นมา มาเรนและลีต่างพบตัวตนของตัวเองท่ามกลางบรรยากาศที่หนักหน่วง แต่สิ่งที่พวกเขาสงสัยคือคำถามทั่วไปอย่างฉันเป็นใคร ฉันต้องการอะไร? ฉันจะหนีจากความรู้สึกของโชคชะตาที่ต้องเผชิญนี่อย่างไร? ฉันจะได้พบกับความผูกพันกับคนอื่นได้อย่างไร?”

ที่มาของ Bones and All 

บรรดาภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดความเป็นมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งของลูกา กัวดานีโน ล้วนเป็นผลงานที่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ยากจะบรรยายออกมาได้ มีการก้าวข้ามทุกอุปสรรค ผลงานที่น่าจะเป็นที่ชื่นชอบที่สุดคือเรื่องราวความรักช่วงซัมเมอร์อย่าง Call Me By Your Name ในเรื่อง  Bones and All ก็ยังอบอวลไปด้วยความรักของวัยรุ่นเช่นเดียวกัน แต่เป็นเรื่องที่อยู่ในโลกตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง นี่คือหนังเรื่องแรกของเขาที่สร้างขึ้นในอเมริกา และพลิกโฉมหนังโร้ดทริปของอเมริกันแบบเดิมๆ เพราะนี่เป็นอเมริกาที่มีจุดพลิกผันของเรื่อง คนใดคนหนึ่งถูกสาปให้เป็นเหมือน “อีกคนหนึ่ง” โดยต่างมองไม่เห็นอนาคตและตามหาความฝันที่สดใสที่จะได้หนีและเป็นที่ยอมรับ

ครั้งแรกกัวดานีโนได้จุดเริ่มต้นของเรื่องราวจากการดัดแปลงบทภาพยนตร์ของนักเขียนคนโปรดคนหนึ่งของเขา คือ เดวิด แคจกานิช ที่เคยเขียนผลงานโรแมนติกคอมเมดี้ของกัวดานีโน A Bigger Splash และผลงานรีเมคจากเรื่องสยองคลาสสิค Suspiria ผู้กำกับฯ พบว่าตัวเองหลงใหลในเรื่องราวที่มีความแตกต่างออกไป ซึ่งเป็นเรื่องราวที่มีพื้นที่ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้มากกว่ามิติเดียว “บทของเดวิดมีความเปิดกว้างและเกี่ยวข้องกับความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ทุกเรื่องคือผลงานล้ำค่า ซึ่งผมพบว่าตัวเองถูกดูดเข้าไปในโลกใบนี้ได้อย่างรวดเร็ว” กัวดานีโนกล่าว 

โลกใบนั้นได้แรงบันดาลใจจากนยายของคามิลล์ ดีแอนเจลิส ปี 2015 YA ในชื่อเดียวกัน ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์เด็กวัยรุ่นที่โตมากับการอยากกินมนุษย์ จนเกิดเรื่องวุ่นวายกลายเป็นเรื่องราวที่เห็นพัฒนาการความเปลี่ยนแปลง 

แคจกานิชเล่าว่า “ในฐานะของคนที่อาศัยในพื้นที่ชนบทเล็กๆ ใช้ชีวิตวัยรุ่นช่วงยุค 1980 ในมิดเวสต์ ได้อ่านนิยายของคามิลล์เป็นครั้งแรกทำให้ผมคาดไม่ถึงและเกิดความสดชื่น หลายคนเข้าใจดีว่าการไม่เป็นที่ยอมรับในสายตาคนอื่นมันเป็นอย่างไร และเข้าใจความโดดเดี่ยวในช่วงเวลาที่มีหลายเรื่องเกิดขึ้น หนังสือจึงเหมือนสิ่งล้ำค่าสำหรับผมที่ต้องพยายามนึกภาพความรู้สึกนั้นตาม แต่เป็นในอีกมุมหนึ่ง”

แคจกานิชเข้าใจดีว่ามาเรนต้องต่อสู้กับความกังวลในมุมของผู้หญิงที่มองหาพลังของตัวเองอย่างไร เธอรู้สึกไม่มั่นใจทั้งเรื่องความรักและศีลธรรม เพราะด้วยความซับซ้อนและร่างกาย บวกกับความท้าทายที่จะต้องกล้าหาญเผชิญกับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ ไม่ว่าจะมีความซับซ้อนขนาดไหนก็ตาม แต่ในมุมของมาเรนเธอพบกับปัญหาใหญ่อย่างหนึ่ง คือเมื่อเธอเข้าใกล้ใครสัญชาตญาณของเธอจะถูกปลุก จนเธอกัดกินคนที่เธอรักทั้งกระดูกและทุกสิ่ง 

ระหว่างเขียนเรื่องราว แคจกานิชเล่าว่าเขา “ใช้เวลาอ่านเรื่องเกี่ยวกับการเผชิญความขัดแย้งทางร่างกายของสาวๆ ทั้งเรื่องการกินผิดปกติ การเปลี่ยนแปลงร่างกายและอีกหลายเรื่อง ผมได้คุยกับเพื่อนผู้หญิงหลายคนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงช่วงวัยรุน และได้คุยกับเพื่อนเรื่องพิเศษถึงความรักครั้งแรกของพวกเรา และหลายรายละเอียดในบทมาจากเพื่อนๆ ของผมเอง ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติและมีหน้าที่ไม่ตัดสินอะไร มันช่วยให้ผมถ่ายทอดมาเรนได้เหมือนเพื่อนคนหนึ่ง ผมรู้สึกสนิทกับตัวละครนี้มากในช่วงที่เขียนบท และหวังว่าจะสร้างผลงานออกมาได้ดีพอ เมื่อหญิงสาวคนนั้นได้เห็นเรื่องนี้จะนึกถึงหลายสิ่งที่มีความหมายในตัวเธอ”

สำหรับกัวดานีโน ทุกอย่างที่แคจกานิชถ่ายทอดออกมาทั้งเรื่องคนเร่ร่อนพเนจร และคนอ้างว้างที่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว และไม่เคยได้รับสิ่งที่ปรารถนามากที่สุด เขาเห็นจากการหาข้อมูลเรื่องความแตกต่าง ความโดดเดี่ยว และสิ่งที่ไม่ทันสังเกตในอเมริกา โดยเฉพาะสิ่งที่จะผูกพันมนุษย์เอาไว้ได้ดีที่สุดเมื่ออุปสรรคต้องแยกเราจากกัน 

“ผมสนใจมนุษย์มากกว่าเรื่องสิ่งของ สำหรับผม Bones and All เป็นเรื่องราวของคนสองคนที่ต้องอยู่ในสังคมที่มีความแตกต่าง” กัวดานีโนเล่า “ผมไม่เคยมองว่าเป็นเรื่องน่ากลัวเลย ผมอยากให้ผู้คนรักตัวละครเหล่านี้ เห็นใจพวกเขา และไม่ตัดสินอะไร ผมอยากให้ทุกคนได้เห็นปฏิกิริยาของมาเรนและลีต่อทุกสิ่งที่มีความเป็นไปได้ และทำให้มันเกิดเป็นตัวตนของเราขึ้นมา”

แคจกานิชไม่รู้สึกแปลกใจที่กัวดานีโนเล่นกับธีมจากบทภาพยนตร์ของเขา และอดใจรอดูการถ่ายทอดของเขาสู่จอยักษ์ไม่ไหว “ฉันคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นการให้กำลังใจได้ ผ่านมุมมองและตัวตนความเป็นลูก้า ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ” นักเขียนกล่า “ผมรู้ว่าเขาอดใจเชิญชวนผู้ชมเข้ามาสัมผัสมิตรภาพระหว่างมาเรนและลีไม่ไหว แม้ว่าจะน่าตกใจ มีความซับซ้อน ก่อนจะเริ่มเข้าใกล้พวกเขามากขึ้นจนสัมผัสกับความรักของหนุ่มสาวที่คาดไม่ถึง ลูก้าไม่กังวลเรื่องอะไรในบทเลย เว้นแต่เรื่องที่อาจไม่ใช่ความจริง”  

เขาเล่าว่าการกินเนื้อและเลือดเกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนาและมีการเปรียบเทียบมายาวนานแล้ว แต่เขาเลือกจะถ่ายทอดในมุมของตัวละครให้ดูเป็นเรื่องปกติของชีวิตพวกเขาเหมือนการนอนหลับ ที่สำคัญคือมันเป็นสิ่งที่กำหนดความกลัว ความอาย และทำให้พวกเขาเข้ากับคนอื่นไม่ได้ พวกเขาต้องเผชิญกับเรื่องของธรรมชาติ ความเสียหายที่เราต่างต้องพบเจอ ตอนที่พวกเขากินอาหาร กัวดานีโนเล่าเน้นย้ำว่ามันเป็น “เรื่องยากและน่าเศร้า” สำหรับพวกเขาที่เลี่ยงไม่ได้ แต่สุดท้ายก็รู้สึกผิดเสมอ   

มันยิ่งเพิ่มความสมจริงขึ้นมา “นี่เป็นเรื่องราวของคนที่ต้องอยู่ในสภาพที่ควบคุมอะไรไม่ได้ และเป็นสิ่งที่จะนำไปสู่อีกหลายเหตุการณ์อื่น” กัวดานีโนกล่าว “แต่ในช่วงงแรกผมเชื่อในตัวตนของคนเหล่านี้ และผมอยากให้ผู้ชมเชื่อในตัวตนพวกเขาโดยที่ไม่ต้องมีองค์ประกอบของความแปลกประหลาดอะไรมาข้องเกี่ยว”  

นี่คือสิ่งที่แคจกานิชหวังไว้ว่าเรื่องราวจะถ่ายทอดสู่หน้าจอได้อย่างมีชีวิตชีวา ไม่ใช่เรื่องที่ดูมืดหม่นแต่เหมือนโลกทุกวันของเรา “ภาพยนตร์คือภาษาหนึ่งของความเอาใจใส่ ผมจะเล่นกับความฉลาดทางอารมณ์ของผู้ชมเสมอ และระหว่างที่ผมไม่คิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญ ไม่มีภาพสะท้อนมุมมองของคนอื่นที่เห็นตัวละครเหล่านี้ เพราะมันจะลดความน่าสงสารจากผู้ชมลงไป” เขาเล่าถึงเรื่องการกิน “ผมอยากให้ผู้ชมมีโอกาสสัมผัสความน่าขยะแขยงไปพร้อมกับรักแท้ทุกรูปแบบ หวังว่ามันจะช่วยพัฒนาตัวละครเหล่านี้ได้” 

กัวดานีโนหลงใหลตัวละครหญิงแกร่งเสมอ เขาพยายามสะท้อนความซับซ้อนของมาเรนที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว และต้องเผชิญชะตากรรมที่เธอไม่ต้องการออกมา เธอไม่เคยยอมรับสัญชาตญาณตัวเอง พยายามใช้ชีวิตหลีกเลี่ยงการทำร้ายผู้อื่น เขาสนใจมุมที่เธอไม่ใช่แค่พยายามอยู่กับสิ่งที่เป็น แต่เธอคิดไกลกว่านั้น พยายามข้ามสิ่งที่เธออาจจะเป็น สิ่งที่กำหนดเส้นทางเธอ สิ่งที่ตัดทางเลือกเธอและทำให้เธอไม่ปลอดภัย 

“ผมมองมาเรนเหมือนคนหลงทางและนักเสาะแสวงหาในผลงานอเมริกันอันยิ่งใหญ่” ผู้กำกับฯ อธิบาย “เธอเหมือนตัวแทนของการเดินทางสำรวจ แต่ก็มีความเป็นสาวยุค 80 ที่ดูโดดเดี่ยว ไม่เข้าสังคมกับใคร” 

การเดินทางไร้จุดหมายในเรื่องก็เป็นองค์ประกอบสำคัญของแคจกานิช “เส้นทางอาจเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลง เร่งการเติบโต และเป็นเหตุผลของเรื่องราว สิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวคนๆ หนึ่งอาจเห็นได้ชัดขึ้นเมื่ออยู่ในการเดินทาง เมื่อจุดหมายของเราต้องเปลี่ยนไปในช่วงนาที” 

ขณะเดียวกันโปรเจ็กต์นี้ก็เหมือนของขวัญสำหรับกัวดานีโน เพราะเป็นโอกาสได้กลับมาร่วมงานกับชาลาเมต์ ผู้ที่เขาไม่สงสัยในความสามารถการถ่ายทอดความใสซื่อและความปั่นป่วนในตัวลี ซึ่งจะทำให้เรื่องนี้ดูเป็นยุคของพวกเรา “เรามีช่วงเวลาที่ดีร่วมกันจากเรื่อง Call Me by Your Name และหลังจากนั้นผมเฝ้าดูการเติบโตของเขาผ่านจอหนัง เขาดูน่าอัศจรรย์มาก” เขากล่าว “ผมพูดทันทีเลยว่าผมจะสร้างหนังเรื่องนี้ให้นานที่สุด ตราบเท่าที่ทิโมธีมาแสดง เขารักบทเรืองนี้ และเราเริ่มร่วมงานกันโดยที่เดวิดได้มอบโอกาสให้หลายองค์ประกอบดูสดใสมากขึ้น” 

และเขามีความสุขกับไอเดียการถ่ายทำภาพยนตร์ให้ดูแปลกตา เป็นสหรัฐฯ ในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และสร้างอเมริกายุค 80 ขึ้นมาใหม่ “ยุค 80 เป็นช่วงเวลาแห่งความแตกต่างอย่างชัดเจน” เขาสังเกต “ในหลายส่วนของเศรษฐกิจอเมริกันกำลังเฟื่องฟู แต่ก็ยังมีหลายส่วนที่ลำบากยากจน ผมรู้สึกว่าเป็นยุคคู่ขนานที่มีความแตกต่างภายในของตัวละครเหล่านี้ พวกเขามีหน้าที่รับมือกับมันแต่ก็ต้องเผชิญกับความเป็นไปไม่ได้ด้วย” 

สิ่งหนึ่งที่กัวดานีโนไม่ยอมทำ คือการปล่อยให้มาเรนหรือลีเป็นที่เยาะเย้ยหรือดูถูก เขาประคองตัวละครในทุกเฟรมด้วยความอ่อนโยน “ในเรื่องนี้จะไม่มีการเกลียดชังมนุษย์เกิดขึ้น” กัวดานีโนยืนยัน “ไม่มีให้เห็นเลย และเป็นเพราะเทย์เลอร์ ทิโมธี รวมถึงนักแสดงทุกคนตั้งใจแสดงให้มีความเป็นมนุษย์ที่สุด สำหรับผมการเยาะเย้ยและเสียดสีกันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะทำให้ฉาบฉวย แต่ในหนังเรื่องนี้ผมอยากให้มีความน่าสนใจต่างออกไป อยากให้สะท้อนถึงอารมณ์ของมาเรนและลีให้ได้มากที่สุด”  

การสร้างมาเรนขึ้นมา

สำหรับการรับบทมาเรนที่ต้องพาเธอมาอยู่ในโลกที่โดดเดี่ยว มีความเหมาะสมสำหรับสิ่งที่เธอต้องการ พร้อมเผชิญความอันตรายของผู้หญิงที่เดินทางบนถนนที่โหดร้าย กัวดานีโนมีนักแสดงในใจตั้งแต่แรก เขาเคยเห็นเทย์เลอร์ รัสเซลในผลงานที่ได้รับรางวัล ของเทรย์ ชุตส์ Waves เขารู้สึกว่าเธอมีความอยากเสาะแสวงหาอยู่ในตัว หลังการพูดคุยกันยิ่งทำให้มั่นใจในความรู้สึกที่เข้าใจกัน กัวดานีโนบอกเธอว่า “ถ้าคุณต้องการบทนี้ นี่คือบทของคุณแล้ว”

รัสเซลอยากได้โอกาสในการรับบทมาเรน เธอเล่าว่า “ลูก้าส่งบทมาให้หลังจากที่ได้เจอกัน และฉันรู้สึกทึ่งมาก เพราะไม่เคยอ่านบทแบบนี้มาก่อน ฉันรักเรื่องราวที่เกี่ยวกับความหวัง แม้แต่ความหวังในตัวผู้อื่น เราพบกับความรู้สึกที่เชื่อมโยงถึงกันลึกๆ  ฉันรักที่มาเรนมีความลึกลับและยากที่จะอธิบา ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอได้ดีค่ะ และนับตั้งแต่ที่ลูก้ากลายเป็นคนที่มีความเป็นนักกวีที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมา เข้าถึงอารมณ์และความซับซ้อนของมนุษย์ได้ดีที่สุด ฉันบอกได้เลยว่าเขาคือส่วนผสมที่ลงตัวกับเรื่องนี้มาก”  

ในฉากกัวดานีโนดูตัวละครมาเรนงอกงามขึ้นในทุกมิติ “มาเรนเติมเต็มผมผ่านตัวเทย์เลอร์” เขากล่า “เทย์เลอร์แสดงให้มาเรนดูมีความคลุมเครือได้หลายช่วง มีการแสดงคามดื้อออกมา ทำให้เห็นถึงความน่ารังเกียจบางอย่างแต่ยังคงความมีเมตตาเอาไว้ เธอทำให้มาเรนดูเปราะบางและมีความน่าสะเทือนใจได้ดี” 

สำหรับรัสเซลแล้วสิ่งสำคัญของมาเรนคือการแสดงให้เห็นว่าเธอสิ้นหวัง ถูกตัดสิน และขณะเดียวกันก็ได้พบกับการวาดฝันและความรักครั้งแรกที่ไร้ขีดจำกัด “เธอยังมีความเป็นวัยรุ่นที่เราไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ตลอดเวลา” รัสเซลสังเกต “มาเรนพบว่ามันเป็นความรู้สึกที่รุนแรงกว่าที่เคยพบเจอ ตอนที่พ่อทิ้งเธอไปก็เป็นช่วงเลาที่รู้สึกไม่ม่นคง และเธออยู่ในวัยที่เข้าใจความรู้สึกทุกอย่างได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งชีวิตของเธอถูกขีดเส้นไว้วว่าห้ามเข้าใกล้คนอื่น แต่เธอยังมีความรู้สึกหลายอย่างที่อยากระบายออกมา นั่นคือสิ่งที่เธอได้พบในตัวลี” 

ตามที่กัวดานีโนได้กำหนดเอาไว้ รัสเซลทำให้มาเรนดูไม่ผิดแปลกแตกต่างจากมนุษย์มากจนเกินไป ยังคงรักษาธรรมชาติของมาเรนที่ไร้ทางเลือก แต่ได้พบกับความท้าทายในชีวิต “มันคือสิ่งที่เธอต้องทำเพื่อการอยู่รอด” เทย์เลอร์พูดสั้นๆ “เธอต้องตอบสนองความหิวแม้ว่าจะไม่เลือกเส้นทางชีวิตแบบนี้ แต่สำหรับฉันเรือ่งการกินในเรื่องคือสิ่งที่นำไปสู่เรื่องอื่นๆ ในหนัง ยังมีอีกหลายเรื่องที่น่าสนใจกว่าข้อจำกัดของเธอ”  

การพบกับลีพร้อมรอยยิ้มที่มีความเจ้าเล่ห์และมีความดื้อในตัว ทำให้มาเรนเชื่อเรื่องการใช้ชีวิตที่ต่างออกไป มาก มีการแชร์ชีวิตกันระหว่างที่พวกเขายอมเปิดใจร่วมทางกันอย่างไร้ข้อจำกัดในที่พวกเขาเป็น การเดินทางของพวกเขาทำให้มาเรนได้พบกับสิ่งที่เธอไม่คิดว่าจะได้พบ เธอจึงเก็บเกี่ยวมันไว้อย่างรู้คุณค่า บรรยากาศรอบตัวยิ่งทำให้เธอรู้สึกประทับใจ “ความโหดร้ายของเส้นทางและผู้ชายที่เธอได้พบ ทำให้เธอได้ปลดปล่อยความดุร้ายและไม่ต้องปกปิดอะไร” รัสเซลกล่าว   

รัสเซลดีใจที่มาเรนและลีต่างมีความรู้สึกดีให้กัน “พวกเขาเหมือนคนรักที่เป็นคู่กัน แต่อีกมุมก็เหมือนฝาแฝดกัน” เธอกล่าว “พวกเขามีความหัวใจและจิตวิญญาณแบบเดียวกัน ก่อนที่เธอจะพบกับลี ไม่มีใครเคยเปิดใจกับสิ่งที่เธอเป็น หรือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความน่าอับอายหลายอย่าง แต่สำหรับลีนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้สัมผัสความเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่เธอเป็น พวกเขามีทั้งแรงผลักและดึงดูดเข้าหากัน เพราะเขาเป็นคนที่ชอบเข้าสังคมส่วนเธอจะค่อนข้างเก็บตัว เขาจะคอยดึงเธอออกมาและขณะเดียวกันเธอก็ช่วยให้เขาได้เข้ามาในชีวิต” 

การร่วมงานกับชาลาเมต์ยิ่งทำให้มีชีวิตชีวามากขึ้น “ฉันชื่นชอบเขามากค่ะ” รัสเซลกล่าว “ทิโมธีชอบคิดนอกกรอบตัวจริง และเขาเผยธาตุแท้ของตัวเองออกมาได้อย่างที่เราไม่ค่อยเห็นนักในปัจจุบัน เราพูดคุยและแชร์หลายรูปให้ดูกัน เป็นการร่วมงานกันที่มีความพิเศษและยากจะหาคำจำกัดความได้ เช่นเดียกับมิตรภาพของมาเรนและลี”

ในส่วนอื่นรัสเซลและชาลาเมต์คุยกันถึงการจับคู่ความคลาสสิคอื่นในหนัง ตั้งแต่ Badlands to Bonnie and Clyde และสังเกตฟุตเทจจากยุค 80 รัสเซลยังได้แรงบันดาลใจส่วนตัวมาจากเพลงโปรด “Wildflowers” ของดอลลี่ พาร์ตอนด้วย  

“ฉันฟังเพลงนั้นระหว่างถ่ายหนังบ่อยมาก เพราะรู้สึกเหมือนเป็นเพลงของมาเรน” เธออธิบาย เวลาที่คิดถึงมาเรนตอนสุดท้าย ฉันคิดถึงเธอแบบนั้นเลยค่ะ เหมือนคนที่ถูกปลดปล่อย ยากจะจับตัวหรือกำหนดนิยามอะไรได้” 

การกลับมารวมตัวกัน

ทิโมธี ชาลาเมต์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วโลกอย่างรวดเร็วจากบท เอลิโน ซึ่งเป็นผลงานของกัวดานีโน เรื่อง  Call Me By Your Name การแสดงของเขาช่วยทำให้ภาพยนตร์อยู่ในกระแสทางวัฒนธรรมได้จนถูกเรียกว่า “พรสวรรค์ที่เกิดขึ้นได้ในช่วงเดียว” เขาได้เข้าชิงรางวัล Oscar  มีแฟนๆ ทั่วโลก และเริ่มได้รับบทที่น่าสนใจมากมาย เช่น ในผลงานของเกรต้า เกอร์วิก Lady Bird and Little Women ผลงานของคริสโตเฟอร์ โนแลน Interstellar และรับบทนำในไซไฟฟอร์มยักษ์ Dune

หลังจากนั้นกัวดานีโนเฝ้ารอการกลับมาร่วมงานกับชาลาเมต์มาตลอด “เขาไม่ได้คิดแค่มุมมองตัวละครของเขาเอง และคิดถึงภาพโดยรวมของหนังที่กว้างขึ้นด้วย” ผู้กำกับฯ กล่าว “เขาเป็นคนช่างสงสัย เปิดกว้าง เป็นนักแสดงที่มีความเป็นธรรมชาติ แต่ก็ยังมีความทันสมัยที่จะสร้างชีวิตชีวาให้หนังเรื่องนี้ได้ ในบทของลีเขาถ่ายทอดความรู้สึกนั้นได้หลายช่วง เขาแสดงให้เห็นความไม่มั่นใจของลีและช่วงเวลาที่จิตใจแตกสลาย” 

เมื่อเขาได้รับบทจากกัวดานีโน ชาลาเมต์ตอบรับทันทีและสงสัยว่ากัวดานีโนจะสร้างเขาออกมาแบบไหน เขาเล่าว่า “นี่เป็นเรื่องราวความรักบนถนนหนทางของชาวอเมริกัน เป็นเรื่องราวของคนสองคนที่พยายามเอาชนะความโดดเดี่ยว ผมพบว่าช่วงเวลานี้มีความน่าสนใจ เป็นช่วงเวลาของใครหลายคนที่มีเหตุผลในการจะรู้สึกโดดเดี่ยว” 

ความหงุดหงิดในชีวิตของลีเรื่องการกัดกิน ชาลาเมต์มองว่าเป็นเหมือนสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง  “ผมมองว่าสิ่งที่ลีและมาเรนเป็นอยู่เหมือนการเปรียบเทียบเรื่องความแตกต่าง เรื่องบาดแผลในวัยเด็ก เรื่องความอับอาย เรื่องการติดยา ทุกเรื่องเลวร้ายที่ผู้คนต้องพบเจอในชีวิตและหลีกหนีมันไม่ได้” เขาอธิบาย “และสิ่งที่ทำให้ผมสนใจมากในตัวลีคือเหมือนเขามีกระจกล้อมตัวเองเพื่อรับมือกับทุกสิ่ง เขาย้อมสีผม แต่งตัวในแบบของตัวเอง ทำตัวเหมือนไม่สนใจอะไร และควบคุมในสิ่งที่เขาพบเห็น แต่จะเห็นได้ถึงความรู้สึกไม่ปลอดภัยทั้งหมด”

การได้พบกับมาเรนเหมือนการทำลายกำแพงที่ลีสร้างขึ้นมารอบตัวเขา “ลีเป็นคนที่มีความเปราะบางจนรู้สึกโดดเดี่ยวมาก” ชาลาเมต์สังเกต “มาเรนดึงความอ่อนโยนและความเอาใจใส่ที่อยู่ในตัวเขาออกมาได้ เธอเปิดทุกมติบนโลกนี้ให้เขาได้สัมผัส ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน นั่นคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเขา แต่ก็ทำให้เขาหวาดกลัวด้วยเช่นกัน ผมคิดว่าช่วงเวลาที่เราตกหลุมรักในรักแท้ครั้งแรก มันจะเหมือนเรากำลังดูเงาสะท้อน และนั่นคือสิงที่ลีเห็น” 

ด้วยสีหน้าของมาเรนที่เต็มไปด้วยคำถามในตัวเขา ลีเองก็เห็นพฤติกรรมของตัวเองในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน “ลีปรับเปลี่ยนเหตุผลเรื่องเป้าหมายอาหารของเขา ส่วนมาเรนยังคงหาคำตอบเรื่องศีลธรรม เธอจึงท้าทายเขาในทุกเรื่อง” ชาลาเมต์กล่าว    

สำหรับชาลาเมต์แล้ว ภาพยนตร์สะท้อนให้เห็นความสดใส ย้อนกลับไปหาจุดเริ่มต้นที่เขามีร่วมกับกัวดานีโน และขณะเดียวกันก็เป็นการผจญภัยร่วมกับผู้กำกับฯ ที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง “ลูก้าทำให้ผมมีหน้าที่การงาน” เขากล่าว” แต่หนังเรื่องนั้นเป็นบรรยากาศแบบยุโรป ผมเลยรักไอเดียที่เรื่องนี้จะมีความเป็นอเมริกาแบบดิบๆ บนถนนของโอไฮโอ เคนตักกี้ และเนบราสก้า ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีเรื่องราวความรัก ถือเป็นเกียรติมากครับที่ได้อยู่ในหนังอเมริกันเรื่องแรกของลูก้า และมีโอกาสเห็นเขาถ่ายทอดอารมณ์ออกมานอกคอมฟอร์ทโซนของเขา” 

และที่ต่างไปในครั้งนี้คือชาลาเมต์มีโอกาสพัฒนาตัวละครเบื้องหลังร่วมกับกัวดานีโนด้วย “การมีโอกาสสร้างสรรค์ผลงานร่วมกับลูก้านับเป็นของขวัญพิเศษสุดเท่าที่ผมจะนึกภาพได้เลย” เขากล่าว “เขามีทั้งแพชชั่นและเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่เก่ง เขาคือกวีตัวจริงเลยครับ”  

ชาลาเมต์สนุกกับการร่วมงานกับรัสเซลที่สร้างความเซอร์ไพรส์ให้เขาได้ทุกช่วง “เธอเป็นนักแสดงหญิงที่มีสปริริตไม่เหมือนใคร เปิดรับสำหรับทุกสิ่ง พร้อมจะลองสิ่งใหม่ๆ และถ่ายทอดความตื่นเต้นออกมา ผมรู้สึกว่าเห็นเธอแล้วเหมือนโดนดึงดูด เรียกได้ว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ผมหวังว่าจะมีโอกาสได้ร่วมงานกันอีกครั้ง” 

ที่สำคัญชาลาเมต์รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่มาเรนและลีต่างค้นพบในกันและกัน เขาเล่าวา “ทั้งคู่ต่างระวังตัว เหมือนคนที่กลัวจนพบว่าเราสามารถรู้สึกปลอดภัยเวลาอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ มันเป็นความอุ่นใจที่ไม่ต้องแบกรับอะไรในโลกอีกแล้ว” 

เพื่อนร่วมทาง: นักแสดงสมทบในเรื่อง

นักเดินทางคนแรกที่มาเรนได้พบและแชร์สิ่งที่เธอพบเจอคือ ซัลลี่ นักเดินทางทำตัวลึกลับสวมหมวกขนนก เขาเดินทางมายาวนานจนการเดินทางของเขาหล่อหลอมตัวตนสิ่งที่เขาเป็น ซัลลี่คือผู้นำมาเรนให้พบกับเส้นทางของนักล่า เขาสอนวิธีกินโดยที่ไม่คร่าชีวิตใครให้กับธอ และแสดงให้เห็นถึงการใช้ชีวิตของเขา การสะสมเสบียงของเขาระหว่างการเดินทาง  

เขาเป็นทั้งที่ปรึกษาและคนน่ากลัวสำหรับมาเรน ด้วยบุคลิกที่ดูมีความพิถีพิถันและซ่อนความเศร้าที่อยู่ในความรู้สึกของเขา นั่นคือเหตุผลที่กวาดีญีโนเสนอบทนี้ให้กับมาร์ค ไรแลนซ์ นักแสดงเล่าว่า “ผมชื่นชมและอยากร่วมงานกับเขามานานแล้ว” เจ้าของรางวัล Oscar จาก Bridge of Spies เคยเข้าชิงรางวัล Emmy จากบทโธมัส ครอมเวลในเรื่อง Wolf Hall และนักแสดงละครเวทีผู้ชำนาญผลงานเช็คสเปียร์ ไรแลนซ์ขึ้นชื่อเรื่องการสวมบทบาทได้ดีจนเหมือนการสะกดจิตและมีชีวิตชีวาในตัว  

  “มาร์คคือหนึ่งในนักแสดงที่มีฝีมือมากที่สุดบนโลกตอนนี้เลย” กัวดานีโนกล่าว “เขาเป็นคนที่ถ่ายทอดองค์ประกอบความเป็นมนุษย์ได้อย่างมีพลังและกล้าหาญ มาร์คเข้าใจซัลลี่และความโดดเดี่ยวที่อยู่ลึกๆ ในตัวเขาผ่านบท เขารู้ว่าต้องไม่ทำให้ดูเป็นคนโหดร้าย แต่เป็นคนที่มีหลายมิติสำหรับการพบปะพูดคุยด้วย ไม่มีอะไรที่ง่ายสำหรับเขา เขาเป็นคนที่ดูสุภาพวางตัวดี ในฐานะของผู้กำกับฯ สิ่งที่เราต้องทำคือการวางตัวเขาให้เหมาะสม” 

การร่วมงานกับไรแลนซ์ครั้งแรกเป็นเรื่องพิเศษสำหรับรัสเซลมาก เธอเล่าถึงปฏิกิริยาของมาเรนที่มีต่อซัลลี่ว่า “เธอสงสัยในตัวเขา เพราะเขาเป็นคนแรกที่เธอได้พบและเหมือนกับเธอ แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงลางบางอย่างเพราะเขาดูเศร้า ทำตัวแปลก และดูเหงา มาเรนกำลังอยู่ในช่วงเรียนรู้และแม้ว่าซิลลี่จะสนใจในตัวเธอ แต่เธอรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล”

ไรแลนซ์ถ่ายทอดตัวละครนี้ออกมาในแบบของเขาพร้อมด้วยเสื้อผ้าที่ออกแบบโดยจูเลีย เพียซซานติ “มีวันหนึ่งมาร์คไปตลาดที่มีของขายมากมายและกลับมาพร้อมกับเข็มพวกนี้” กัวดานีโนเล่าถึงตอนนั้น “เขาเกิดไอเดียที่จะติดพวกมันเพื่อสะท้อนสิ่งที่ซัลลี่พบเจอผ่านมา นับว่าเป็นการรวมตัวที่งดงามและดูเป็นธรรมชาติมาก”  

กัวดานีโนยังคัดเลือกนักแสดงอีกหลายคนมาร่วมงานในภาพยนตร์ของเขา ทั้งไมเคิล สตูลบาร์กที่มีฝีมือเหนือธรรมชาติ ถ่ายทอดตัวละครได้สมจริง และเพิ่งรับบททนายเดวิด รูดอล์ฟในภาพยนตร์ทาง HBO เรื่อง The Staircase ซึ่งเขาถ่ายทอดตัวละครในเรื่องราวออกมาอย่างพิถีพิถัน 

สตูลบาร์กปรากฏตัวเพียงฉากเดียวในเรื่อง Bones and All ในฐานะของนักล่าที่ตามติดมาเรนและลีในการเดินทาง และนั่นคือช่วงเวลาสำคัญในเรื่อง กัวดานีโนเล่าว่า “การร่วมงานกับไมเคิลเกิดขึ้นเรื่อยๆ เพราะเรารักตัวละครที่มีสีสันและความซับซ้อนเหมือนกัน การทำงานของไมเคิลก็วิเศษมากด้ย เช่น หนังเรื่องนี้เขามีคำถามให้ผมและเดวิด แคจกานิชมากกว่า 100 เรื่องเกี่ยวกับที่มาที่ไปของตัวละคร ได้เห็นความพิถีพิถันของเขาในฉากที่นาน 10 นาทีมีความน่าทึ่งมาก ผลลัพธ์ที่ออกมาจะทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความโชคร้ายที่จะมาเยือนมาเรนและลีอย่างแน่นอน” ในฉากเดียวกันนั้นยังมีนักแสดงที่คาดไม่ถึงอีกคน  คือเพื่อนผู้กำกับฯ เดวิด กอร์ดอน กรีน ที่มีความสนิทกับกาดาญีโน “ผมรู้จักกับเดวิดนานกว่า 15 ปีแล้วในงานเทศกาลที่ทูริน จนเรากลายเป็นเพื่อนกันตั้งแต่นั้นมา” กัวดานีโนกล่าว เดวิดกำกับฯ Suspiria ก่อนผม และผมได้ผลิตเรื่องนั้น ผมคิดว่าเขาน่าจะเหมาะกับฉากนี้ ผมเลยลองถามเผื่อเขาจะยินดีที่มาร่วมงานด้วย รวมถึงการตัดผมทรงโมฮอว์คที่ดูน่าทึ่งไปเลย”

นักแสดงที่ประสบความสำเร็จอีก 3 คนที่ร่วมงานกับกัวดานีโนมากอน มารับบทที่มีความสำคัญเหมือนแสงสว่างในครอบครัวของมาเรน ได้แก่ นักแสดงที่เข้าชิงรางวัล Academy Award และเจ้าของรางวัล Golden Globe โคลอี้ ซีวิกนี่ ผู้มารับบทคุณแม่ของมาเรนที่ดูลึกลับในฉากที่น่าทึ่ง “ผมได้ร่วมงานกับโคลอี้มาก่อนในเรื่อง We Are Who We Are และรู้ว่าเธอเป็นนักแสดงที่ไม่สร้างความน่าเบื่อแน่นอน” กัวดานีโนกล่าว “เธอลงลึกถึงบทบาทและแสดงทุกอย่างออกมาให้เห็นได้อย่างน่าทึ่ง เพียงฉากเดียวเธอก็ถ่ายทอดทุกอย่างออกมาได้อย่างชัดเจน” 

รัสเซลสนุกกับการได้ดูซีวิกนี่ทำงาน “ฉากที่เราแสดงร่วมกันเป็นฉากที่สะเทือนใจมาก ฉันรู้สึกกลัวเพราะรู้ว่ามันมีความหมายสำหรับมาเรนมาก” เธอกล่าว “แต่โคลอี้ทำตัวสบายจนทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่าย ฉันรักที่เราได้เห็นผู้หญิง 2 วัยมาร่วมงานกัน แม้ว่าการสัมผัสระหว่างพวกเธอจะเป็นเรื่องอันตราย” 

เจสสิก้า ฮาร์เปอร์ นักแสดงผู้มากฝีมือจากผลงานรีเมคของกัวดานีโน Suspiria ช่วยทำให้มาเรนได้เห็นภาพของแม่ “เจสสิก้าที่ผมรู้จักหายไปกับตัวละครนี้เลย” กัวดานีโนกล่าว “เธอกลายเป็นผู้หญิงที่จมกับความเศร้าในอดีตที่ผ่านมา และไม่คิดว่ามันจะฟื้นกลับมาได้ใหม่” 

ผู้ร่วมงานกับนักแสดงหลักยังมีอังเดร ฮอลแลนด์ ที่เคยเห็นในผลงานภาพยนตร์ Moonlight และ Selma  “ผมมีความสุขที่ได้ร่วมงานกับอังเดรในโฆษณา และคิดว่าเขาเป็นนักแสดงที่เก่ง เป็นคนที่ดูดีมาก” กัวดานีโนกล่าว “ผมสัมผัสถึงความเป็นคุณพ่อใจดี แต่ยากที่จะตัดใจทิ้งลูกสาวของเขาเพราะไม่รู้ว่าจะช่วยเธอได้อย่างไร การแสดงของเขาในหนังมีความอบอุน ดูจริงใจ และมีส่วนช่วยทำให้เข้าใจมาเรนมาก” 

นอกกรอบอเมริกา: ภาพลักษณ์

ช่วงแรกของการทำงาน ลูกา กัวดานีโน พบแรงบันดาลใจจากผลงานภาพยนตร์ที่เขารัก เขาสนุกกับการสร้างจินตนาการจากหลายเรื่องราวที่เขาซึมซับมา แต่ตอนนี้เขาอยู่ในดินแดนที่สามาถถ่ายทอดภาพสะท้อนอารมณ์ออกมาได้มากมาย ในการเตรียมตัวสำหรับเรื่อง Bones and All เขาเดินทางนานนับเดือนผ่านมิดเวสต์ ได้พบกับเส้นทางที่กว้างใหญ่และผู้คนใจดี จนกลายเป็นประสบการณ์ที่ช่วยสร้างภาพยนตร์ขึ้นมาได้  “ผมโดนความภูมิใจในความงดงามของอเมริกาดึงดูดเอาไว้ และโดยเฉพาะผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ผู้ที่เชื่อในคุณค่าทางศีลธรรมของเมืองนี้” กัวดานีโนกล่าว 

ทริปนั้นได้เปลี่ยนมุมมองของกัวดานีโน และเขาตั้งใจจะใช้ชีวิตด้วยความสดใส ทำให้เกิดภาพก่อนการถ่ายทำที่ชนหลงใหลขึ้นมา “ผมรู้สึกว่าได้เห็นความบริสุทธิ์ของเมืองมากขึ้น จนทำให้ผมเกิดคำถามที่ค่อนข้างลำเอียงเกี่ยวกับอเมริกา ผมได้เห็นความแตกต่างที่ชวนหลงใหลของสถานที่ ได้เห็นอเมริกาที่มีโอกาสแห่งความเป็นไปได้และเปิดกว้างเสมอ แต่ก็มีการทิ้งผู้คนมากมายเอาไว้ข้างหลัง ผมได้เห็นความจริงใจ ความมีน้ำใจ และความเอื้อเฟื้อ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยว”  

ความแตกต่างของภาพที่เห็นก็เช่นกัน เส้นขอบฟ้าที่ไร้ขอบเขตกับภูมิประเทศที่ดูคั้นตา ทำให้กัวดานีโนตัดสินใจตั้งแต่แรกว่าจะถ่ายทำบนถนนเส้นเดียวกับที่ลีและมาเรนออกเดินทาง “เราย้ายทีมงานไปแบบเดียวกับที่ตัวละครเดินทางผ่านอเมริกา เราถ่ายทำกัน  5 รัฐเริ่มแมรี่แลนด์และย้ายไปทางตะวันตกของโอไฮโอ ng west to Ohio, Nebraska, Indiana, and Kentucky.  We were constantly on the move and shot entirely on practical locations.”  

การตัดสินใจนั้นมีผลต่อการแสดงเป็นอย่างมาก ชาลาเมต์เล่าว่า “สำหรับผมในฐานะชาวอเมริกันคนหนึ่ง ถือเป็นเรื่องตื่นเต้นที่จะถ่ายทำกันในเมืองส่วนนี้ บนสถานที่จริง ถนนจริง รวมถึงเมืองเล็กๆ ที่ทำงานกันอย่างหนัก เรียกว่าเป็นประสบการณ์ที่ผมจะไม่ลืมเลือนไปอีกนานเลย”  

รัสเซลกล่าวต่อ “ฉันโดนบรรยากาศที่กว้างขวางโอบล้อมไว้ มีแรงผลักดันที่เกิดขึ้นท่ามกลางช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ฉันคิดว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวมาเรนค่ะ”   

กัวดานีโนมักจะกำหนดแนวทางภาพสำหรับภาพยนตร์ของเขา และคีย์เวิร์ดของเรื่องนี้คือความดื่มด่ำ สำหรับการสร้างความมั่นใจว่าภาพต่างๆ จะพาผู้ชมเข้าไปสัมผัสถึงชีวิตของมาเรนได้อย่างสมจริงและรวดเร็ว เข้าถึงความรักของเธอที่มีต่อลี และสัมผัสกับยุคพังค์ร็อคและโรนัลด์ รีแกน ผู้กำกับฯ เลือกที่จะร่วมงานกับผู้กำกับฯ ที่กำลังจะเป็นดาวรุ่ง นั่นคืออาร์เซนี แคตชาทูแรน ผู้เกิดที่เบลารุส เขารักในรายละเอียดและการแกะภาพให้โดดเด่นบนหน้าจอด้วยแสงไฟในหนังของจอร์เจียน ผู้กำกับฯ ราตี โอนีลิ และ ดีอา คูลุมบีแกชวิลิ 

ซึ่งความเสี่ยงนั้นก็คุ้มค่า “ผมชอบตากล้องที่มีความกล้าและเล่นกับความงดงามของแสงไฟและเงา ด้วยความเป็นเด็กอาร์เซนีมีความถนัดด้านแสงไฟและสามาถถ่ายทอดภาพได้อย่างลึกซึ้ง” กัวดานีโนกล่าว “เราต่างชอบการถ่ายทำของยุค 80 ถ้าได้อยู่ในยุคนั้น เพราะมีความรวดเร็วและไม่มีอะไรให้กังวลใจ” 

ฉากทั้งหมดเกือบเป็นของจริงและพวกเสื้อผ้าก็เป็นอุปกรณ์เล่าเรื่องราวและกำหนดช่วงเวลายุคนั้น กัวดานีโนมาร่วมงานกับผู้ออกแบบฉากชาวอเมริกัน เอลเลียต ฮอสเตเตอร์ ผู้เคยออกแบบให้ผลงานของกัวดานีโน We Are Who We Are “ผมรู้จักกับเขามานานและเขาช่วยให้ผมถ่ายทอดภาพของอเมริกาที่ไม่ดูเกินจริงมากไป” เขากล่าว

สำหรับเรื่องเสื้อผ้า กัวดานีโนได้กลับมาร่วมงานกับจูเลีย เพียซซานติเป็นครั้งที่ 5 เธอช่วยกำหนดเสื้อผ้าของมาเรนและลีให้ดูมีลางบางอย่าง สะท้อนถึงความเจ็บปวด ความแตกต่างจากคนอื่น และดูไม่หวือหวาจนเกินไป “จูเลียกับผมคุยกันเรื่องการแต่งตัวของลีและมาเรนที่จะสะท้อนถึงคนที่เป็นไอดอล แต่มีเอกลักษณ์อยู่ในตัว” กัวดานีโนกล่าว “จูเลียรับไอเดียของผมไปสร้างผลงานได้อย่างน่าทึ่งมาก” 

เพียซซานติและชาลาเมต์ช่วยกันสร้างเสื้อผ้าของลีขึ้นมา ชาลาเมต์เล่าว่า “ไอเดียเบื้องหลังบางส่วนเรื่องเสื้อผ้าของลีคือเขามีความหลากหลาย เพราะเป็นเสื้อผ้าที่หยิบฉวยได้จากคนอื่นบนท้องถนน แต่เราก็ต้องให้เขามีการย้อมผมสีแดงและมีรอยสักด้วย เพื่อสื่อถึงอารมณ์ของคนที่มีความใจเย็นและดื้ออยู่ในตัว พยายามแสดงออกให้เห็นถึงสิ่งที่เขาอยากเป็น ฉันคิดว่าลีน่าจะเป็นคนที่ดูกระจกแล้วพยายามเอา ‘หน้ากาก’  ที่ต่างออกไปมาสวมใส่ เพื่อให้มีสไตล์และอารมณ์ต่างไปจากสิ่งที่เขากำลังรู้สึก” 

ผลงานที่มีความละเอียดของศิลปินช่างแต่งหน้า เฟอร์แนนดา เปเรซ และช่างทำผม มาซซิโม แกตตาบรูซี มาช่วยสร้างรายละเอียดที่น่าประทับใจให้ภาพตอนจบ “ผลงานที่น่าทึ่งของพวกเขาสะท้อนถึงการเดินทางอย่างไร้จุดหมายของตัวละครผ่านใบหน้าและผิวหนังของพวกเขา” กัวดานีโนกล่าว “มันต้องอาศัยความระมัดระวัง และเป็นการเล่าเรื่องราวในอีกมิติหนึ่ง”  

เสียงดนตรีบนท้องถนน

รายละเอียดสำคัญสุดท้ายที่จะช่วยให้ผู้ชมอินไปกับความตื่นเต้นของมาเรนและลีบนท้องถนน คือเสียงดนตรีที่ช่วยสร้างบรรยากาศในเรื่อง เพลงประกอบภาพยนตร์ที่มาจาก Duran Duran ทำให้นึกถึงห้องนอนของวัยรุ่นยุค 80 รวมถึงเสียงยเพลงจากวงอินดี้ยุค  80 อย่าง Joy Division และ New Order  

แต่สำหรับเพลงประกอบภาพยนตร์ กัวดานีโนนึกถึงคู่นักดนตรีที่มาจากยุคนั้น ได้แรงบันดาลใจจากวงดนตรีเหล่านั้นและพัฒนาทักษะของพวกเขา จนถ่ายทอดผลงานให้มีความโดดเดี่ยวและเร่งรีบ: เทรนต์ เรซนอร์ และ แอตติคัส รอส ทั้งคู่ต่างมีชื่อเสียงจากวงร็อค Nine Inch Nails เพื่อสร้างผลงานเพลงประกอบที่เต็มไปด้วยจินตนาการและช่วยสร้างบรรยากาศได้ รวมถึงเพลงประกอบสร้างบรรยากาศที่ได้รับรางวัล Oscar จากเรื่อง The Social Network และผลงานทาง Pixar เรื่อง Soul

“พวกเขาเป็นนักประพันธ์ดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากในรุ่นนั้น” กัวดานีโนกล่าว “การคุยกันครั้งที่ 2 ของเราทำให้ผมเห็นการเป็นพาร์ทเนอร์ตัวจริงของพวกเขา มีการเปิดกว้างจินตนาการด้วยอารมณ์ที่ละเอียดอ่อน”

กัวดานีโนคำนึงถึงสิ่งที่เขาต้องการ โดยมีเรซนอร์และรอสผู้มีพลังอย่างเต็มเปี่ยมเคียงข้าง “เราคุยกันเรื่องการหาเสียงที่สะท้อนถึงบรรยากาศอเมริกัน และคุยเรื่องกีตาร์ที่เป็นเสียงของอเมริกานา” ผู้กำกับฯ กล่าว “ผมคดถึงเมโลดี้เรียบง่ายจากกีตาร์ข้างกองไฟในที่กว้าง เทรนต์และแอตติคัสรับไอเดียนั้นไปคิดและกลับมาในอีกหลายอาทิตย์ให้หลังด้วยธีมเพลงที่มีพลัง สัมผัสได้ถึงความรัก และมีความงดงามอย่างบอกไม่ถูก” 

เขาเล่าต่อว่า “หลังจากนั้นพวกเขาใช้เมโลดี้ที่ดูยิ่งใหญ่และสร้างบรรยากาศเหมือนมีเสียงเพลงโอบล้อมในบรรยากาศที่มีพลัง การร่วมงานกับพวกเขาเป็นเรื่องสนุกเพราะพวกเขามีความทุ่มเทมาก และพร้อมจะลองทำสิ่งที่ตรงข้ามกับที่คาดหวังเอาไว้ ตัวอย่างเช่น ช่วงที่ลีพบกับเรื่องสะเทือนใจ ดนตรีจะไม่ชวนหดหู่แต่มีความอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรัก เหมือนการเชิญชวนให้เราเปิดใจไปพร้อมกับเขา หัวใจของเรื่องสะท้อนให้เห็นจากเสียงดนตรีของเทรนต์และแอตติคัสครับ”   

ความเปิดเผยที่มาเรนและลีมีให้กัน ทำให้ก้าวข้ามทุกสัญชาตญาณ ความไม่ไว้วางใจ การหิวกระหายสิ่งที่พวกเขารัก จนกลายเป็นการเคียงข้างกันอย่างไม่โดดเดี่ยว กัวดานีโนเชื่อว่านี่คือความปรารถนาที่หลายคนเข้าใจได้ในแบบของตัวเอง แม้ว่ามาเรนและลีจะใช้ชีวิตอย่างมีชีวิตชีวาบนเส้นทางที่เหลือเชื่อ 

.  “ผมหวังว่าหนังของผมจะทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อน” กัวดานีโนกล่าว “กระจกที่สะท้อนว่าทำไมเราถึงรู้สึกโดดเดี่ยว แปลกแยกต่างจากคนอื่น และทำไมเราจึงยังอยากเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน”