“รอบวัดใจ ท้าสยองก่อนใคร”กับ #EvilDeadRise #ผีอมตะผงาดเฉพาะในวันที่ 17-19 เมษายน 2566รอบเวลา 19.00 น. เป็นต้นไปฉายจริง 20 เมษายน ในโรงภาพยนตร์รายละเอียดเพิ่มเติม | https://www.evildeadrisethai.com/

New Line Cinema และ Renaissance Pictures ขอนำเสนอการกลับมาของแฟรนไชส์สยองขวัญที่มีเอกลักษณ์ “Evil Dead Rise” ผลงานจากผู้เขียนบทฯ / ผู้กำกับฯ ลี โครนิน (“The Hole in the Ground”) ภาพยนตร์นำแสดงโดยลิลลี่ ซัลลิแวน (“I Met a Girl,” “Barkskins”) อลิซซ่า ซูเธอร์แลนด์ (“The Mist,” “Vikings”) มอร์แกน ดาวีส์ (“Storm Boy,” “The End”) แกเบรียล  เอ็คโคลส์ (“Reminiscence”) และแนะนำตัว เนล ฟิชเชอร์ (“Northspur”)

พลิกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าสู่ตัวเมือง “Evil Dead Rise” ถ่ายทอดเรื่องราวที่พลิกผันของ 2 พี่น้องที่ไม่ค่อยถูกคอกัน รับบทโดยซูเธอร์แลนด์และซัลลิแวนที่การกลับมาพบกันเกิดเรื่องผิดคาด เพราะการโผล่ขึ้นมาพของพวกปีศาจที่สิงร่างมนุษย์ พวกเขาต้องสู้เพื่อความอยู่รอดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับฝันร้ายสุดชีวิตที่มาในรูปแบบของครอบครัว 

ภาพยนตร์เรื่อง “Evil Dead Rise” อำนวยการสร้างฯ โดยร็อบ ทาเพิร์ท (“Ash vs Evil Dead,” “Don’t Breathe”) และอำนวยการสร้างบริหารฯ โดย แซม ไรมี่ ผู้ผลิตซีรีส์และผลงานสยองขวัญชื่อดัง ตำนานความคัลท์ความ “หมองหม่น” ของตัวเอง บรูซ แคมป์เบล พร้อมด้วยจอห์น เควิลล์, แม็คดารา เคลลีเฮอร์, ริชาร์ด บรีเนอร์, เดฟ นิวสแตดเตอร์, โรเมล อดัม และ วิคตอเรีย พัลมิเอรี 

ผู้ร่วมงานหลังกล้องกับโครนิน ได้แก่ ผู้กำกับภาพ เดฟ การ์เบ็ตต์ (“Z for Zachariah,” “Underworld: Rise of the Lycans” ผู้ออกแบบฉาก นิค บาสเซ็ตต์ (“Guns Akimbo,” “Sweet Tooth”) ผู้ลำดับภาพ ไบรอัน ชอว์ (“Ash vs Evil Dead,” “Spartacus”) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ซาราห์ วูน (“Chasing Great,” “Inside”) เพลงประกอบภาพยนตร์โดยสตีเฟน แม็คคีออน (“The Hole in the Ground,” “Primeval”)

A New Line Cinema / Renaissance Pictures นำเสนอผลงานจาก Pacific Renaissance และ Wild Atlantic Pictures เรื่อง “Evil Dead Rise” จะจัดจำหน่ายทั่วโลกโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส มีกำหนดเปิดตัวในโรงภาพยนตร์อเมริกาเหนือวันที่ 21 เมษายน 2023 และต่างประเทศเริ่มวันที่ 19 เมษายน 2023

 

รายละเอียดการถ่ายทำ

ความปรารถนาที่จะเสิร์ฟความสยองขวัญ ทำให้เกิดการกลับมารวมตัวกันของทีมงานเบื้องหลังภาพยนตร์ต้นฉบับ “Evil Dead” ที่ประสบความสำเร็จ ทั้งผู้อำนวยการสร้างฯ ร็อบ ทาเพิร์ท และ ผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ แซม ไรมี่ และ บรูซ แคมป์เบล พวกเขาได้มาร่วมมือกับผู้สร้างภาพยนตร์ที่สร้างความสำเร็จอย่างลี โครนิน เพื่อพาเรื่องราวมาสู่จุดใหม่ (และพัฒนาขึ้น) ในเรื่อง “Evil Dead Rise”  

นับตั้งแต่ปี 1981 ที่ผลงานคัลท์คลาสสิค “The Evil Dead” มีการฉายและขยายผลงาน จนฐานแฟนๆ ที่ชืนชอบมีมากมายหลายรุ่น ทีมงานมีการวางแผนจะสร้างภาพยนตร์เรื่องใหม่ขึ้นมาในรูปแบบแฟรนไชส์ ไรมี่ได้พบกับผู้บริหารสตูดิโอปี 2018 และนำเสนอไอเดียที่จะสร้างความแปลกใหม่บนจอหนัง  สร้างผลงานที่ขยายเรื่องราวให้กว้างขึ้นอีก 

ทาเพิร์ทเล่าว่า “ไอเดียเรื่องนี้ต่างจากทุกครั้งที่เคยมีมาก่อน ภาพยนตร์จะเป็นบรรยากาศชานเมืองที่สร้างความตื่นเต้นให้ทุกคน สิ่งหนึ่งที่เราอยากทำใน ‘Evil Dead’ ภาคใหม่คือการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เราเคยทำกันมา สร้างความแตกต่างจากสิ่งที่เคยมีมาก่อน นอกจากเรื่องของฉากแล้วคือเรื่องการให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายเดินเรื่องด้วย”

แคมป์เบลเล่าเหตุผลว่า “มีการนำสิ่งที่สร้างความสำเร็จให้โปรเจ็กต์ก่อนๆ กลับมา และไม่ว่าเราจะเคยสร้างอะไรเอาไว้ แฟนๆ มักจะถามอีกว่า ‘มีอีกไหม?’ เราไม่มีวันสร้างความพอใจให้แฟน ‘Evil Dead’ ได้ ไมมีทางเลย นั่นคือสิ่งที่งดงาม เมื่อเราเดินหน้าและดึงลีเข้ามาร่วมงาน เขาเขียนบทฯ ส่วนเราอยู่ฝ่ายพัฒนา หลังจากนั้นคุยกันว่า ‘เราจะถ่ายทำที่ไหนดี’ ‘ไปถ่ายที่นิวซีแลนด์กัน’ เราได้ทีมงานเก่งๆ กลับมาและมีลีอยู่ที่นั่นด้วย หน้าที่ของเราในฐานะผู้อำนวยการสร้างฯ คือ ’อย่ามัดมือเขาไว้ ปล่อยให้เขามีอิสระ!’ เรียกว่าเป็นประสบการณ์ที่ดาก มันถึงเวลาออกจากกระท่อมกันแล้ว”

ไรมี่ออกความเห็นว่า “ผมคดว่าลีเข้าถึงตัวละครลึกซึ้งขึ้นกว่าที่เราเคยผ่านมา ในเรื่อง ‘Evil Dead’ 3 ภาคแรกเราเน้นไปที่คอเมดี้ บรูซมีความถนัดด้านนั้นและดึงนักแสดงที่มีพรสวรรค์มาร่วมงานกันได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมรัก เราโตมาพร้อมกับการสร้างคอมเมดี้แนวนั้นร่มกัน และตอนนี้ลีจะพาตัวละครก้าวสู่อีกขั้น”

โครนิน นักเขียนบทฯ / ผู้กำกับฯ ชาวไอริชจำได้ว่า “ผมเพิ่งฉายผลงานเรื่องแรก ‘The Hole in the Ground’ ในงาน Sundance ปี 2019 ได้รับการตอบรับอย่างดี ก่อนกลับบ้านมีการประชุมสุดท้ายในทริปคือการพบกับแซมและทีมพัฒนาของเขา เราคุยกันเรื่องความหลากหลายของแต่ละโปรเจ็กต์ ผมประทับใจในตัวพวกเขามาก พวกเขาอยากรู้ว่าผมพอจะทำอะไรกับ ‘Evil Dead’ ได้บ้าง และผมจะพามันไปสู่จุดไหน” 

โครนินไม่ใช่คนแปลกหน้าในวงการหนังแฟรนไชส์สยองขัญ เขาโตมาพร้อมกับมันตั้งแต่อายุยังน้อย “ผมรู้จักโลกใบนั้นเพราะพ่อเปิด ‘The Evil Dead’ และ ‘Evil Dead II’ ให้ผมดูทาง VHS ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนั้นผมอายุ 9 ขวบ ตอนนั้นมันโด่งดังมาก เรียกว่าเป็นประสบการณ์พิเศษของการดูหนังเหล่านั้น มันสร้างความตรึงใจให้ผม หลังจากนั้นผมก็ย้อนกลับมาดูตอนช่วงวัยรุ่น มันติดแน่นฝังอยู่ในหัวผมเลยครับ”

หลายปีต่อมาเขาเริ่มสร้างภาพยนตร์ของตัวเอง โครนินเล่าว่า “ผมจำได้ว่าเคยคิด ‘สิ่งที่ผมอยากลองคือการทำหนัง ‘Evil Dead’ หรือมีส่วนร่มในโลกใบนั้น’” 

สิ่งสำคัญมากสำหรับทีมผู้สร้างภาพยนตร์คือการเลี่ยงตัวเอกที่เป็นผู้ชาย (ส่วนใหญ่) และให้นักแสดงหญิงถูกมัดมือในเรื่องใหม่ ทาเพิร์ทเล่าว่า “ลี โรนินใส่รายละเอียดที่ไม่อยู่ในหนัง ‘Evil Dead’ เรื่องอื่น เรื่องราวดราม่าดำเนินไปได้ด้วยดี แต่เขาต้องรวมหลายสิ่งที่เราคุ้นเคยเข้าไปในด้วย เพื่อสร้างความพอใจยิ่งขึ้นให้กับแฟนๆ ผู้จงรักภักดีต่อแฟรนไชส์นี้” 

พล็อตเรื่องจะเกี่ยวกับครอบครัว และทีมงานทำให้ตัวละครดูเรียบง่ายเข้าถึงได้ “มีความสมจริง” โครนินกล่าว พวกเขาสร้างบ้านสำหรับครอบครัวที่ดูสมจริงขึ้นมา เลี่ยงบรรยากาศบ้านที่กว้างยาวแบบตัวละครจะเดินหากันไม่เจอ อพาร์ทเมนท์ในเมืองหลังนี้ไม่ได้เหมาะสมและน่าอยู่เท่านั้น แต่ด้วยอายุของตึกที่เหมาะกับการรื้อถอนด้วย ครอบครัวอยู่ในช่วงพบการเปลี่ยนแปลง ความเครียดของสมาชิกในบ้านยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะเกิดเรื่องเหนือธรรมชาติขึ้นได้

“ตอนที่ผมคิดว่าเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว” โครนินอธิบาย “ผมรู้ว่าต้องมีเด็กๆ อยู่ในเรื่อง และ ‘Evil Dead’ ในรูปแบบหนังต้องมีแบบไหน มีเด็กบางคนถูกสิงจนนำไปสู่เหตุการณ์ที่สนุก ผมอยากเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเด็ก ‘ผีดิบ’ [เวอร์ชันที่ถูกผีสิง] เราจะฉีกแขนขาเด็กและโยนทิ้งไปเลยก็ได้ สำหรับผู้ชมแล้วอะไรก็เกิดขึ้นได้เลย” 

ฉากเปิดตัวแฟรนไชส์คือตัวกระตุ้นพลังของเหล่าผู้สร้างภาพยนตร์ ทาเพิร์ทย้ำว่า “มันย้อนกลับไปหาโลกของ ‘Evil Dead’ จริงๆ การมีผู้กำกับฯ คนใหม่ที่เราไม่เคยร่วมงานมาก่อน นับเป็นความพิเศษที่ได้ร่วมงานกับคนที่มีมุมมองต่างไปจากเดิ ต่างจากความคาดหวังในแฟรนไชส์ของเรา โดยเฉพาะสิ่งที่เราทำกันมา 40 ปี ลีขยายโลกความเป็น ‘Evil Dead’ ได้มากขึ้น เขาพาเราเข้าสู่การเดินทางนั้นได้จริงๆ” 

ไรมี่เล่าว่า “ลีนับว่าเป็นผู้ชำนาญคนหนึ่งในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ได้เลย เขารู้ว่าจะรวมฉากต่างๆ อย่างไรและสร้างความน่าสงสัยขึ้นมาได้ เขาเป็นนักเล่าเรื่องที่เก่ง เขารู้วิธีการนำหุ่นเข้ามาใช้งานราวกับเป็นนักเล่นหุ่นที่เก่ง เขารู้ว่าผู้ชมอยู่ในอารมณ์ไหนและไม่ทำให้รู้สึกหวาดกลัว แต่พาผู้ชมอินไปกับเรื่องและพบกับสิ่งที่คาดไม่ถึง หัวใจของเรื่อง ‘Evil Dead Rise’ ที่เกี่ยวกับเรื่องครอบครัวมีความแปลกใหม่สำหรับเรามาก”

ทุกคนในครอบครัว: ทีมนักแสดง

ขณะที่เขากำลังพัฒนาบทและตัวละครในเรื่อง โครนินเล่าว่าเขาสังเกตครอบครัวตัวเองเพื่อหาแรงบันดาลใจ (อาจไม่ใช่เรื่องการฉีกแขนขาแน่นอน) เด็กๆ ในเรื่องมีการอิงมาจากหลานๆ ของเขาเอง “พกวเขาแชร์ไอเดียเล็กๆ น้อยๆ กับผมจนเกิดประกายระหว่างการเขียนบทขึ้นมา” 

สำหรับพี่น้องเบธและเอลลี่ สองตัวละครนำที่โครนินต้องใส่ใจเรื่องความคิดของตัวละครและมีผลต่อการเลือกนักแสดงในชีวิตจริง “ผมคิดว่ามันน่าสนใจดีที่ได้สังเกตว่าผู้คนมีการตัดสินใจที่แตกต่างกัน และเรื่องราวก็ดูมีความเป็นธรรมชาติตรงที่สะท้อนผ่านมุมมองของสองนักแสดงนำ”

“เอลลี่ดูแตกแยกออกจากครอบครัวมากที่สุด” อลิซซา ซูเธอร์แลนด์อธิบาย เธอรับบทเป็นศิลปินรอยสักและคุณแม่ “เธอแยกทางกับสามีและต้องออกจากบ้าน หาที่อยู่ใหม่ให้ตัวเองพร้อมกับลูกอีก 3 คน… ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากในแอล.เอ.” 

ระหว่างที่เธอพยายามประคองทุกอย่าง เบธ น้องสาวของเธอผู้มีความถนัดเรื่องกีตาร์ที่รับบทโดยลิลลี่ ซัลลิแวนก็โผล่อย่างไม่คาดคิด ซึ่งเป็นการเพิ่มความกังวลใจมากขึ้น

“ผมอยากให้เบธกลับเข้ามาในครอบครัว” โครนินอธิบาย “และครอบครัวนั้นก็อยู่ในช่วงมีการเปลี่ยนแปลง ผมไม่อยากให้ดูเป็นครอบครัวที่กลมเกลียวเกินไป อยากให้สัมผัสได้ถึงรอยร้าวและความแตกแยกอย่างสมจริง ซึ่งผมคิดว่าจะสร้างบรรยากาศง่ายขึ้น โดยการเริ่มความน่ากลัวจากจุดนั้น”

สำหรับการรับบทพี่น้อง ซิลลแวนเล่าว่า “อลิซซากับผมเคยเจอกันแล้วและเราก็สนิทกัน ลี อลิซา และผมอยากเข้าใจตัวละครอย่างลึกซึ้งก่อนจะทำลายพวกเขาเป็นเสี่ยงๆ เราศึกษาข้อมูลและเรื่องราวในอดีตที่ค่อนข้างเป็นความลับสำหรับเรา ทั้งเบธและเอลลี่ต่างเป็นนักสู้ พวกเธอคือผู้รอดชีวิตผ่านมาได้ พบเจอความลำบาก ไม่ได้ยากจนนัก และต่างมีความเป็นตัวของตัวเองอย่างมั่นใจ” 

ความขัดแย้งเกิดจากการที่เบธต้องการครอบครัวและบ้านที่เอลลี่สร้างขึ้นมา ครอบครัวของเอลลี่เปรียบเสมือนโลกทั้งใบ ในบางมุมก็เหมือนเธอขาดอิสรภาพในแบบที่เบธมีอยู่

“เอลลี่อยู่ในจุดที่เป็นผู้นำครอบครัวและเป็นพี่สาวของเบธ แต่ก็เป็นคุณแม่ของลูกที่ยังเล็กมากด้วย” โครนินกล่าว “โลกที่เธอสร้างขึ้นมานั้นรายล้อมไปด้วยครอบครัว เธอคือคนที่เบธมักดูเป็นแบบอย่างหรือขอคำแนะนำเสมอ”

“การร่วมงานกับอลิซซาง่ายมากตั้งแต่วันแรก” ซัลลิแวนกล่าว “มีคืนหนึ่งคุณแม่มาเยี่ยมจากออสเตรเลีย เราออกไปดินเนอร์ด้ยกันและพนักงานถาม ‘คุณเป็นพี่น้องกันหรือ? นี่คุณแม่หรือ?’ มันน่าสนใจที่เรามีความน่ารักและดูสนิทกัน แนรักการร่วมงานกับเธอเพราะคิดว่าเราได้หัวเราะกันยาวนานหลายชั่วโมง ดูเป็นพี่น้องกันมากเลยค่ะ”

ซูเธอร์แลนด์เห็นด้วย “การร่วมงานกับลิลลี่มันดีมาก! เราพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเราได้อย่างรวดเร็ว มิตรภาพระหว่างเอลลี่และเบธมีความน่ารัก ลี ลลลี่ และผมคุยกันหลายอย่างเรื่องการเตรียมตัว และคิดว่าพวกเธอดูเหมอืนพี่น้องกันแม้ภายนอกจะดูต่างกัน เราคุยกันถึงประเด็นสำคัญว่าเอลลี่จะก้าวเข้ามาและดูแลเบธช่วงที่แม่ของพวกเธอไม่สามารถดูแลได้ ผมคิดว่ามันมีความเป็นแม่เริ่มต้นที่จุดนั้นสูงมาก”

โครนินคุ้นเคยกับซูเธอร์แลนด์เป็นอย่างดี เพราะเคยพบเธอเมื่อ 10 ปีก่อนในฉากเรื่อง “Vikings” ซึ่งถ่ายทำที่ไอร์แลนด์ “ผมจำตอนที่คุยกับเธอได้ และท่าทางของเธอดูน่ารักแบบนี้เลย ตอนที่มีชื่อของเธอโผล่ขึ้นมาและอยู่ในลิสต์ของผู้มารับบทเอลลี่ ผมตื่นเต้นมากที่จะได้เห็นว่าเธอจะทำอะไรได้บ้าง” โครนินกล่าว “และเธอก็บันทึกเทปที่น่าทึ่ง ถ่ายทอดตัวละครของเธอออกมาได้อย่างชัดเจนตรงตามต้องการ”

ซัลลิแวนคือ “ตัวเลือกที่ง่ายมาก” โครนินกล่าว “เหมือนนักแสดงของเราทุกคน ลิลี่ส่งเทปมาสำหรับหนังเรื่องนี้และแสดงอารมณ์ออกมาให้เห็น ผมได้คุยกับเธอและชื่นชอบบุคลิกของเธอ ผมไม่ใช่ผู้กำกับฯ ที่ชอบพูดคุยอะไรกันมากมายไม่รู้จบ หากผมเห็นใครที่ใช่ผมก็จะดึงพวกเขามาเลย ลิลลี่ดูมีความแกร่งอยู่ในตัวและมีอารมณ์ขัน ผมอยากถ่ายทอดสิ่งนั้นออกมาในเรื่อง… ไม่อยากให้มีแต่ความหดหู่อย่างเดียว”

ลูกของเอลลี่ทั้ง 3 อยู่ในความดูแลของแม่และน้า ทุกคนต่างมีความเป็นตัวของตัวเอง ตรงไปตรงมา น่าสนใจและมีความคิดสร้างสรรค์ 

พี่คนโตของเธอ แดนนี่ หลงใหลเสียงดนตรี ฉลาด ช่างสังเกตและรักการต่อสู้ รับบทนี้โดยมอร์แกน เดวีส์ “ผมคิดว่าแดนนี่เป็นตัวละครที่มีความน่าสนใจ พร้อมต่อสู้เพื่อครอบครัวตัวเอง” เดวีส์กล่าว “เขารักทุกคน แต่เขาเป็นพวกทำก่อนคิด มีความช่างสงสัยและสิ่งที่เขาทำเป็นตัวนำสู่เหตุการณ์ต่างๆ และทำให้เขาพบการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นตลอดเรื่อง เขาทำให้ครอบครัวพบกับความอันตราย ขณะเดียวกันก็พยายามปกป้องและแก้ไขข้อผิดพลาด นับเป็นการผจญภัยที่น่าเข้าไปสัมผัส” 

คนต่อมาคือบริดเจ็ตรับบทโดยแกเบรียล เอโคลส์ เธอเล่าอย่างรวดเร็วว่า “บริดเจ็ตมีหลายอย่างเหมือนเอลลี่ เธอมีความใส่ใจและปกป้องตัวเองสูงมาก โดยเฉพาะน้องสาวของเธอแคสซี่ นั่นคือบุคลิกหนึ่งของเธอที่คล้ายฉัน เธอมีความใส่ใจอยู่ในตัว ซึ่งอาจมองไม่เห็นจากการพูด แต่เห็นได้จากการกระทำของเธอแน่นอน โดยเฉพาะในช่วงที่หลายอย่างเริ่มวุ่นวาย เธอเป็นคนมีเหตุผล ยึดหลักตามความเป็นจริง อย่างตอนที่เราจัดการเรื่องเสื้อผ้าของบริดเจ็ตกันอยู่ ก็มีคำถามเกิดขึ้นว่าหากฝนตกเธอจะสวมเสื้อกันฝนมั้ย? เธอเป็นคนที่มีเหตุผล ต้องสวมชุดกันฝนแน่ และเราก็คิดว่าเธอต้องเป็นคนประหยัดแน่เพราะคิดอะไรถี่ถ้วน”

เนล ฟิชเชอร์ ผู้แคสต์บทแคสซี่น้องเล็กสุดไม่คุ้นเคยกับโลกของ “Evil Dead” แต่รู้เรื่องราวต่างๆ เพราะ “คุณพ่อดูหนังเรื่องนี้ทุกตอน”  

สิ่งที่สำคัญในบทของเธอ ฟิชเชอร์อธิบายว่า “แคสซี่เป็นคนช่างจินตนาการ เธอมีความกล้าหาญ ร่าเริง แต่อีกมุมก็… แปลก ฉันคิดว่าเธอเหมือนฉันหลายด้าน โดยเฉพาะเรื่องความช่างจินตนาการ ฉะนั้นการได้เล่นหนังแบบนี้มันดีมากค่ะ เพราะต้องใช้ความรู้สึกมากกว่าร่างกาย เพราะฉันเล่นยิมนาสติกด้วย อลิสซ่าและลิลลี่ก็น่ารักมากด้วย ทำให้สร้างบรรยากาศความเป็นครอบครัวกับพวกเธอได้ง่าย มันคงจะยากกว่านี้ถ้าพวกเธอไม่เป็นแบบนั้น!”

ไรมี่เล่าว่า “ทีมนักแสดงเจ๋งมาก ทุกคนมีพลังในตัวเหลือล้น และผมคิดว่านั่นคือสิ่งสำคัญ เพราะลีถ่ายทอดเรื่องสยองเกี่ยวกับครอบครัว ฉะนั้นต้องสนใจตัวละครเหล่านี้ที่ถ่ายทอดบรรยากาศของเรื่องราวได้ มันอยู่ที่การเขียนบทฯ แต่การแสดงและทักษะของนักแสดงก็คือส่วนสำคัญที่สุด”

เตรียมพร้อมสู่การสิงร่าง: การฝึกซ้อม

อย่างที่แฟนๆ “Evil Dead” มักจะพูดว่าเมื่อเราถูกสิง เรามักจะทำอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้ นั่นหมายความว่าร่างกายของนักแสดงต้องผ่านการฝึกฝน อย่างที่ทาเพิร์ทร่วมแชร์ว่า “ในเรื่องนี้มีบทที่ยากสุดจาก ‘Evil Dead’ ที่ผ่านมาทุกตอน ทุกคนได้รับบทที่ท้าทาย ไม่ใช่แค่ทางร่างกายแต่ด้านอารมณ์ด้วยเช่นกัน และผมไม่แน่ใจว่าจะมีใครถ่ายทอดความเป็นเอลลี่ได้ในระดับเดียวกับอลิสซ่า”

ซูเธอร์แลนด์ผู้รับบทเอลลี่ที่ต้องแปลงร่างจากคุณแม่ผู้เสียสละ สู่คุณแม่ผีดิบหลังจากที่ถูกสิง เธอเป็นมือใหม่สำหรับการแสดงผาดโผนต่างๆ เธอและนักแสดงคนอื่นต้องอยู่ในบูทแคมป์ของครอบครัวเพื่อเตรียมตัวหลายสัปดาห์ก่อนจะเปิดกล้อง นับเป็นการช่วยให้นักแสดง “เข้าถึงบทบาท” และพร้อมจะสู้กับปีศาจ… หรือกลายเป็นปีศาจ “พวกเขาให้เราคลานใต้ตาข่ายและผ่านด่านสิ่งกีดขวางต่างๆ” ซูเธอร์แลนด์กล่าว “ฉันรักการฝึกร่างกายค่ะ และเมื่อใดก็ตามที่ฉันถูกบังคับให้เพิ่มเวลาอีกครึ่งชั่วโมงในช่วงเตรียมความพร้อม ฉันต้องผ่านการแสดงผาดโผนและต่อสู้กับพวกเขา ฉันคิดว่าเป็นสิ่งที่ต้องเจอในการถ่ายทำนี้ จนสุดท้ายพบว่ามันช่วยให้เรามีท่าทางในการแสดงที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันก็ขยับหัวและม้วนท้องตัวเองได้ด้วย”

ซิลลิแวนเห็นด้วยว่า “ในการถ่ายทำใช้ร่างกายอย่างหนักหน่วงมาก ผมไม่คาดคิดว่ามันจะเข้มข้นขนาดนี้ บางครั้งเราถึงกับช็อคไปเลย บางคนก็ได้แผลฟกช้ำขนาดใหญ่ด้วย!”

แต่นับเป็นความโชคดี “สจ๊วต ธอร์ปเป็นผู้ควบคุมการแสดงผาดโผนที่น่าทึ่งมาก เขาสอนทุกเทคนิคให้กับเรา… เราจะผ่อนคลายร่างกายอย่างไร จะทำอย่างไรไม่ให้กลายเป็นการ ‘ต่อสู้หรือลอย’ จริง แต่นักแสดงทั่วไปเมื่อได้ยิน  ‘แอ็คชั่น’ มักคิดว่า ‘ทุกสิ่งเกิดขึ้นจริง ฉันคิดแบบนั้น!’ และฉากหนึ่งทีต้องล้มทับแขนตัวเอง กลิ้งใต้รั้วที่ปิดอยู่ ทำให้ฉันคิดว่าตัวเองไม่ใช่นักแสดงผาดโผนเอาซะเลย” ซัลลิแวนหัวเราะ 

เอโคลส์เป็นนักบัลเลต์มืออาชีพมาก่อน เธอพบว่าการฝึกซ้อมช่วยให้เธอเตรียมรับบทบริดเจ็ตได้ดีเป็นพิเศษ “การมีพื้นฐานด้านการเต้นมาก่อน ช่วยให้ฉันคุ้นชินกับการเจ็บปวดของร่างกายค่ะ มีหลายช่วงที่ร่างกายเราจะต้องอยู่ในจุดไม่สบายตัว นั่นก็เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นตอนเต้น” เธอหัวเราะ

เอโคลส์เคยถูกขอให้แสดงฉากผาดโผนที่ยากบางฉากด้วยตัวเอง เธอเล่าว่า “เมื่อมีโอกาสได้แสดงฉากผาดโผนด้วยตัวเอง ฉันจะพุ่งใส่ทันที เพราะมันไม่ใช่แค่การแสดงฉากที่เข้มข้นขึ้น มีการถ่ายใกล้ขึ้น แต่สิ่งที่ร่างกายจะได้สัมผัสตอนนั้นมันช่วยให้เข้าถึงความเข้มข้นมากขึ้นกว่าฉากอื่นที่ผ่านมา”

ความสยองเกิดขึ้นที่บ้าน: การออกแบบ

สำหรับฉากสำคัญที่ไม่ใช่ไม้ แต่เป็นอพาร์ทเมนท์ของครอบครัวในลอสแองเจลิส ซึ่งกำลังจะเป็นศูนย์รวมความสยองที่ผู้สร้างฯ ได้ความช่วยเหลือจากผู้ออกแบบฉาก นิค บาสเซ็ตต์ ผู้ร่วมงานจากแฟรนไชส์ที่ผ่านมา (“Ash vs Evil Dead”)

บาสเซ็ตต์เล่าว่า “ผมคิดว่าความน่าสนใจของเรื่องนี้คือย่างก้าวใหม่ของแฟรนไชส์ ลีมาพร้อมกับบทที่มีความแปลกใหม่ และผมตื่นเต้นกับการสร้างบรรยากาศชานเมืองที่มีความทันสมัยของแอลเอที่มีความชั่วร้าย บวกกับผู้ที่เดินทางมาจากไอร์แลนด์เพื่อสร้างบรรยากาศหนังในแอลเอ ถ่ายทำกันที่นิวซีแลนด์ การผสมผสานกันทุกอย่างทำให้ผมเห็นความน่าสนใจเยอะมาก” 

บาสเซ็ตต์มีส่วนร่วมในเรื่องเป็นเวลานานก่อนจะเริ่มมีการเตรียมตัวกันอย่างเป็นทางการ “การร่วมงานกับนิคนับเป็นความน่ายินดีและลงตัวกับหนังเรื่องนี้มาก” โครนินกล่าว “ไม่มีอะไรจะดีพอสำหรับนิค ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมคิดไว้เหมือนกัน เราจะเพิ่มอะไรลงไปอีกหน่อยได้อย่างไร? มันอาจดูเรียบง่ายแต่ทำให้ดูมีรายละเอียดขึ้นได้บ้าง เพราะเมื่อทุกอย่างมาอยู่ด้านหลังฉากที่มีความรุนแรง มันจะทำให้รู้สึกสมจริงมากขึ้น”

ทีมงานวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ กันตั้งแต่ช่วงแรก สังเกตทั้งผลงานรูปถ่ายชาวอเมริกัน เกรกอรี่ ครูว์สัน (มีชื่อเสียงจากการศึกษาบรรยากาศภายในที่พักใกล้เคียงและที่อยู่อาศัย) นอกจากนั้นยังมีพวกหนังสือสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ลอสแองเจลิส โทนสีที่ใช้ได้ข้อสรุปจากการคุยกับตากล้องเดฟ การ์เบ็ตต์ ศิลปินอีกคนที่ร่วมงานในแฟรนไชส์ โมเดล 3 มิติของฉากต่างๆ ในช่วงแรกถูกแชร์และถกเถียงกันผ่านซูม

โครนนตั้งใจว่าในหนังจะไม่มีป่า “Evil Dead Rise” จึงมีภาพที่เห็นชัดเจน “ผมรู้สึกเสมอว่าทางยาวในตึกและลิฟต์คือป่าของหนังเรื่องนี้ ซึ่งเป็นอะไรที่ต่างจากการวิ่งรอบป่า เรารู้ว่าต้องเก็บรายละเอียดให้ถูกต้อง เพราะเราใช้เวลากับพื้นที่ภายในฉากเหล่านี้เยอะมาก เราอยากให้บรรยากาศที่นั่นดูมีมุมที่ชวนหลอนและมีจุดที่น่าค้นหา”

บาสเซ็ตต์และทีมงานสำรวจสถานที่ในออคแลนด์ที่มีโครงสร้าง Art Deco อย่างที่บรรยายไว้ในบท ดีไซน์เนอร์เห็นสิ่งที่น่าสนใจจากโฆษณาทางทีววีท้องถิ่น พอเอาให้โครนินดูก็ได้รับการอนุมัติ บรรยากาศภายนอกของ 3 ชั้นแรกกลายเป็นจุดเร่มต้นของการออกแบบอพาร์ทเมนท์ 4 ชั้น ฉากอพาร์ทเมนท์ 14 ชั้น (รวมถึงทางเดินยาวและลิฟต์ มีห้องใต้ดินและลานจอดรถป ถูกสร้างขึ้นมาในโรงถ่าย 

ส่วนพื้นฐานที่สร้างอพาร์ทเมนท์ในตึกแบบเดียวกับที่จำได้ในฉากกระท่อมกลางป่าของ “Evil Dead” บาสเซ็ตต์เล่าว่า “เราอยู่ในตึกที่มีเอกลักษณ์อย่างที่ไม่เห็นในแอลเอ แต่มันก็มีจริง”

สำหรับการสร้างความแปลกตาขึ้นมา การผลิตเสื้อผ้าสำหรับหนังสักเรื่องที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในคืนเดียวต้องดูเรียบง่าย…  แต่ในความเป้นจริงแล้ว ซาร่า วูน ผู้ออกแบบเสื้อผ้าเล่าว่า  “แม้เรื่องราวจะเกิดขึ้นในคืนเดียว แต่มันมีรายละเอียดเยอะมาก เราต้องเก็บรายละเอียดตัวละครช่วงเวลานั้น เราเริ่มจากบทและสังเกตการณ์ผจญภัยตัวละครของเรา บางครั้งต้องมีการจำลองสถานการณ์ขึ้นมาด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง เรามีชาร์ทแสดงให้เห็นว่าเสื้อผ้าพวกเขาจะเปลี่ยนไปแบบไหน มีเลือดและรอยแทง คราบอาเจียนหรือคราบของเหลวที่ไหลออกมาจากร่างกายพวกเขา มีหลายอย่างที่ปรากฏบนนั้นเลย!”

วูนไม่ต่างจากหัวหน้าแผนกอื่นๆ ที่รวบรวมข้อมูลอิงจากเสื้อผ้าของชาวลอสแองเจลิสที่ดูเหมาะสม เช่น มีการถ่ายชุดนางแบบสวมเสื้อโอเวอร์ไซส์ และเชิ้ตสีดำที่มีปรินท์ลายอย่างน่าสนใจ “เรารู้สึกว่า ‘โอ้ เหมือนเอลลี่เลย’”

เมื่อเลือกเสื้อผ้าต่างๆ ได้เลย พวกมันจะถูกส่งไปผลิตคราบเลือด วูนอธิบายว่า “รอยเลือดบนเสื้อผ้าเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนมาก มันต้องสร้างขึ้นอย่างมีขั้นตอน ปกติเราจะผลิตขึ้นในห้องทำงาน เช่น เสื้อเชิ้ตและกางเกงขาสั้นของเอลลี่ จากนั้นจะเอาไป ‘ทำลาย’ ในฉากที่เธอต้องสวมใส่ ขั้นตอนนี้เราจะถ่ายทำกันไปตามเรื่องราว ซึ่งเป็นเรื่องโชคดีสำหรับเราที่ระหว่างถ่ายทำผู้ชำนาญก็อยู่ที่นั่นเพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้นในแกด้วย ทำให้จำลองเช้ตและกางเกงขาสั้นอีก 4-5 ตัวสำหรับฉากต่อไปได้ เรามีการใช้เลือดพิเศษที่ทำให้มีรูปแบบต่างๆ ได้ เพราะในเรื่องนี้คราบเลือดมีหลายแบบมาก!” 

สิ่งสำคัญของฉากแอ็คชั่นในเรื่อง  “Evil Dead” คือ Book of the Dead ที่ต้องแปลกตาและออกแบบใหมสำหรับโครนิน 

ในการเริ่มต้นทาเพิร์ทเอาหนังสือ O.G. จากภาพยนตร์ให้กับผู้ชำนาญด้านอุปกรณ์ประกอบฉาก เอลิซ คิตซ์ ไม่ใช่การจำลองขึ้นมาใหม่ แต่เก็บรายละเอียดบนเล่มนั้นกันอย่างจริงจัง ตามบทที่กล่าวไว้ Book of the Dead ผลิตขึ้นมาจากเนื้อของมนุษย์และเขียนขึ้นมาด้วยเลือด “เราได้ไอเดียว่าหนังสือผลิตจากเหยื่อที่ถูกฟ้าผ่า และสันหนังสือคือซากหนังแห้งของแมว” โควิตซ์กล่าว

“ผมรู้ว่าตัวเองอยากให้หนังสือดูแปลกตาในแบบของตัวเอง” โครนินยืนยัน “ผมชอบไอเดียที่มันดูมีชีวิตมากขึ้น ไอเดียของหนังสือนี้คือเรื่องเนื้อหนังที่มีทั้งเส้นเลือดดำและเส้นเลือดแดงเยอะมาก ดูแล้วเห็นร่องรอยการมีชีวิตหรือยังมีชีวิตให้เห็นบางส่วน”  

โควิตซ์ บาสเซ็ตต์ และโครนินร่วมงานกับผู้ชำนาญด้านคอนเซปต์ อัล กิลลีส์ ที่สร้างผลงานขึ้นหลายเวอร์ชันโดยอิงจากการพูดคุยและพัฒนาจากการทดสอบสิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าจอ นักวาดภาพชวยสร้างข้อความขึ้นมาโดยอิงจากภาษาเซลทิคโบราณ โครวิตซ์อธิบายว่า “ดูเหมือนถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่โดยผู้ที่อินกับมันมาก ฉะนั้นทุกราละเอียดจะเห็นได้จากตัวอักษร”

ภาพในหนังสือได้แรงบันดาลใจจากผลงานของดาวินชี่หรือผลงานคลาสสิคอื่นๆ ผู้ชำนาญด้านการเย็บเล่มหนังสือเป็นผู้ให้คำปรึกษาตลอดการถ่ายทำ รวมถึงเรื่องอื่นๆ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าหนังสือจะดูแบนราบตลอดการถ่ายทำ แต่ละ 50 หน้าที่ต่างกันถูกผลิตขึ้นมา และก็อปปี้เพิ่มอีก 400 หน้า ต้องใช้เวลา 3 เดือนสำหรับการถ่ายทำถึง 4 เวอร์ชัน 

“มีความผิดพลาดหลายอย่างเกิดขึ้น” โควิตซ์หัวเราะ “เรามีเส้นเลือดดำหลายจุด แต่ลีอยากให้เห็นเด่นชัดขึ้น เราเลยต้องดึงหนังขึ้นมา และเริ่มกันใหม่อีกรอบ” 

ผีดิบ ผีดิบอยู่ทั่วทุกแห่ง: การถ่ายทำ

เมื่อเข้าสู่การถ่ายหนังของโครนิน ผู้กำกับภาพฯ การ์เบ็ตต์รับหน้าที่เรียกพวกสัตว์มาให้ได้มากที่สุด (หรือความสยองที่อยู่ในผนัง) บนหน้าจอ เขาเล่าว่า “ฉากส่วนใหญ่มีความซับซ้อนมาก เพราะมีทั้งการผสมการแต่งหน้า การแต่งหน้าเทียม การแสดงตอบโต้กับแสงไฟ วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ และการเคลื่อนไหวมุมกล้องที่ต้องถ่ายทำสอดคล้องกันในแต่ละฉาก เราไม่อยากใช้วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์สำหรับการเคลื่อนไหวร่างปีศาจของเรา เราเลยเลือกใช้พวกลวดสลิงมาควบคุมการขยับเพื่อสร้างมิติให้นักแสดง นักแสดงผาดโผน  และผู้ควบคุมการเคลือนไหว บางครั้งเราใช้เทคนิค ‘บนหน้าจอ’ แบบสมัยก่อนด้วยซ้ำ เช่น การใช้วิธีหักเหแสง [ฟิลเตอร์ที่โฟกัสเพียงครึ่งเลนส์] ลีอยากให้ทุกฉากมีความโดดเด่น เราเลยมักไม่ค่อยใช้การถ่ายทำที่ซ้ำกัน ทุกฉากถูกออกแบบเฉพาะตัวเพื่อการถ่ายทอดเรื่องราว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ” 

สำหรับฉากพิเศษที่ต้องถ่ายทอดความสยองที่เกิดขึ้นบนทางเดิน โครนินเลือกใช้ “ไม้” โดยที่ผู้เขียนบทฯ / ผู้กำกับฯ และตากล้องพัฒนามุมมองฉากนั้นขึ้นมาเป็นพิเศษ “ผมคิดว่าเราอยู่ในโลกที่ทุกคนอยู่ในพื้นที่เล็กๆ” โครนินกล่าว “ความสยองอยู่นอกประตูและผมอยากให้มันเข้าไปเคาะถึงหน้าประตู… นั่นคือเหตุผลที่ผมพัฒนาช่องสำหรับมองตรงประตูขึ้นมา มันเป็นช่องเล็กๆ ที่เราจะมองออกไปได้ ทุกความสยองเกิดขึ้นหน้าประตูห้องของครอบครัว บริเวณพรมหน้าประตูสำหรับใช้ต้อนรับ กลับมีแต่เลือด แขนขา และเรื่องราวความวุ่นวาย”

กองถ่ายเลือกใช้อุปกรณ์ที่จะช่วยโครนินสำหรับการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพ ไรมี่เล่า “เราสามารถติดตั้งเทคโนโลยีล่าสุดของลีในฉากได้ ตั้งแต่กล้องไปจนถึงเสียง เราไม่เคยผสมผสานเรื่อง ‘Evil Dead’ ในรูปแบบ 7.1 Dolby มาก่อนเลย”

สำหรับผู้กำกับฯ การ์เบ็ตต์เล่าว่า “ลีเป็นผู้ชำนาญไร้ที่ติและเป็นนักเล่าเรื่องที่มีความละเอียดรอบคอบ เขาชอบชักชวนผู้ชมผ่านเรื่องราวในภาพยนตร์ พบทั้งความเซอร์ไพรส์และความตกใจที่เกิดขึ้นตอนนั้น เขาอยากให้หนังดูหดหู่ แต่ก็ต้องมีความงดงามและน่าชื่นชม บรรยากาศต้องดูสมจริงแต่ก็ต้องน่ากลัวสุดขีด”

บางทีอาจไม่มีอะไรที่ตัวละครได้พบเจอไปมากกว่าเลือดอีกแล้ว ทั้งจากความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม “เลือด” มาจากผู้ควบคุมสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ เบร็นแดน ดูเรย์ (และสร้างขึ้นโดยผู้ออกแบบการแต่งหน้าเทียมและการแต่งหน้าเอฟเฟ็กต์ ลุค โพลติ) บริษัทของดูเรย์เคยร่วมงานกับกองถ่ายของทาเพิร์ตตั้งแต่ปี 1990 และมันมีการใช้เลือดเยอะมาก

ดูเรย์อธิบาย่า “การผสมเลือดมีการพัฒนาไปเยอะมาก เรามีอะไรต้องทำหลายอย่างและต้องสร้างเลือดขึ้นมาหลายแบบ รวมถึงเลือดของแวมไพร์ด้วย ช่วงเวลาหลายปีเรามีส่วนผสมที่ลงตัมาก ทำให้เลือดอยู่ตัว มีสีสันที่เข้ม แต่เราก็ต้องผสมสีสว่างลงไปด้วย สำหรับเวลาที่ใส่สีเยอะไปและต้องใช้เกี่ยวกับภายใน สำหรับเรื่อง ‘Evil Dead Rise’ เราพบว่าส่วนผสมของเราไม่ลงตัวกับปริมาณความต้องการในเรื่อง เราต้องศึกษาหาข้อมูลและพัฒนาขึ้นมาจนได้สูตรใหม่”

สูตรที่ว่านั้นผลิตเลือดขึ้นมาได้มากกว่า 6,500 ลิตร นั่นคือจำนวนรวมที่ใช้สำหรับการถ่ายทำเรื่อง “Evil Dead Rise” (เปรียบเทียบได้ว่ามนุษย์ปกติจะมีเลือดราว 5 ลิตร… ตำนวณแล้วเท่ากับจำนนร่างกายราว 1,300+ คน)

เมื่อได้เลือดตามที่ต้องการ แขนขาที่ถูกฉีกกระจายคือสิ่งที่สร้างความท้าทายในฉากใหม่ ดูเรย์เล่าว่า “สำหรับอุปสรรคสำคัญในฉากเวลาที่เราต้องฉีดพ่นเลือดทั่วทิศทาง เราต้องทำให้เลือดมีความเหนียวข้นพอเหมาะ มีการใช้หม้อแรงดันและหลอดฉีดพ่นเลือดขนาดที่ต่างกัน ต้องมีการทดลองว่าแบบไหนถึงจะลงตัว จากนั้นจึงทดสอบต่อหน้าลีเพื่อให้ตรงกับที่เขาคิดเอาไว้ แต่ละวันมีทั้งความสำเร็จและผิดพลาดสูงมาก เมื่อเราเริ่มสาดเลือดใส่นักแสดงแล้ว มันต้องใช้เวลาพอควร และต้องมีการทำความสะอาดหลังจากนั้นอีก เราทดลองกันให้ได้มากที่สุดก่อนจะเริ่มการถ่ายทำ”

แดนนี่ ตัวละครของเดวีส์ต้องแปลงสภาพหลังจากที่กลายเป็นผีดิบ และนักแสดงต้องใช้เลาแต่งหน้านานหลายชั่วโมง รวมถึงมีการ “ทดลองเลือด” เขาจำได้ว่า “ผมไม่เคยแต่งหน้าเทียมมาก่อนเลย ผมต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้นานราว 5 ชั่วโมง มันไม่ใช่เรื่องยากที่สุดบนโลก ทีมงานแต่งหน้าเทียมน่าทึ่งมากครับ ส่วนที่ยากคือพวกเลือด มันเหนียวและเปื้อนไปทั่วทุกที่ แม้เราจะระวังแค่ไหนมันก็ติดทั่วทุกที่ไม่ว่าจะหัวหรือลำตัว สิ่งที่น่าตื่นเต้นมากคือเรามีแขน ขา หัวอยู่ทั่วทั้งฉากจนกลายเป็นเรื่องปกติ ผมเริ่มชินกับมันแล้ว เพราะผมเองก็เป็นแฟนหนังสยองขวัญ แต่มันกลายเป็นเรื่องลำบากใจเวลาที่ต้องจับชิ้นส่วนแขน แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกธรรมดา และผมก็แกล้งทุกคนเพราะผมอยากเก็บแขนเทียมของผมเอาไว้”

สำหรับการเน้นย้ำบรรยากาศตึงเครียดในครอบครัว ฉากแอ็คชั่น ความกล้า และคราบเลือด โครนินได้ความช่วยเหลือจากผู้ประพันธ์ดนตรี สตีเฟน แมคคีออน ผู้เคยร่วมงานกับผู้สร้างภาพยนตร์ในเรื่อง “The Hole in the Ground” 

แม็คคีออนไม่ต่างกับผู้กำกับฯ ของเขาเออง เขายอมรับว่าตัวเองเป็นแฟนหนังสยองขวัญตัวยง เขาเล่าว่า “For ‘Evil Dead Rise’ ลีต้องการเพลงประกอบที่มีรายละเอียดเพื่อสร้างบรรยากาศนั้นให้ได้มากที่สุด ซึ่งการจะสร้างบรรยากาศนั้นขึ้นมาได้ ผมได้บันทึกข้อมูลหลายอย่างไว้ก่อนจะเริ่มทำการแต่งเพลง ลีชอบไอเดียของเสียงหัวเราะนอกจอ การชื่นชอบความเจ็บปวด และความสยองของตัวละครต่างๆ ผมเลยบันทึกเสียงของผู้หญิง 2 คนที่ทำเสียง ‘หัวเราะเยาะเย้ย’ และเสียงเอ็ฟเฟ็กต์ต่างๆ” 

โครนินเล่าถึงนักแต่งเพลงว่าได้สร้างผลงานที่สร้างความหลอนออกมาจากภายใน ขณะเดียวกันก็ฝากความรู้สึกของครอบครัวที่ต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดไว้ด้วย เขาขอให้แม็คคีออนแต่ง “เพลงที่เป็นเอกลักษณ์” ขึ้นมาใหม่ด้วย ความคิดแรกคืออิงจากตัวละครของเบธที่เธอทำงานด้านกีตาร์ 

แม็คคีออนเล่าว่า “ผมเลยเริ่มสร้างเสียงดนตรีและใส่รายละเอียดของกีตาร์ลงไป เสียงสายกีตาร์ที่ถูกดึงและขาด สายที่ถูกตัดด้วยมีดและกรรไกร รวมถึงอีกหลายเอ็ฟเฟ็กต์แปลกๆ หลายเสียงที่นำมาใช้ช่วยสร้างรายละเอียดในบรรยากาศ แต่สุดท้ายสำหรับเสียงเอกลักษณ์ เราเกิดไอเดียที่เรียกว่า ‘เครื่องบดเนื้อ’ ผมใช้เลาราวอาทิตย์หนึ่งเพื่อสร้างหลายเสียงและใช้หลายเทคนิค แต่สุดท้ายแล้วเสียงที่เหมาะสมคือเสียงที่ผมกรีดมีดไปพร้อมกับเสียงเปียโน และเสียงสับ ลากเสียงให้เหมือนเสียงเครื่องบดเนื้อปีศาจ”

นักแต่งเพลงยังเลือกใช้วิธีแหวกแนวตอนที่แต่งเพลงสำหรับออเคสตร้าและคอรัสผู้หญิง เพื่อสร้างเสียงดนตรีหลักในเพลงประกอบภาพยนตร์ “พวกเขามาช่วยสร้างเทคนิคที่แหวกแนวเพื่อให้ได้เอ็ฟเฟ็กต์ที่เข้าถึงบรรยากาศในเรื่องมากที่สุด ส่วนใหญ่จะเป็นเสียงดนตรีที่ไม่ใช่โน้ตมาตรฐาน แต่เป็นการเล่นดนตรีตามช่วงเวลา มันทำให้รู้สึกถึงการสุ่มและความยุ่งเหยิงในเสียงดนตรี…  มันต้องอาศัยนักดนตรีที่ตอบโจทย์เรื่องอารมณ์ได้ วิธีเดียวนี้ต้องใช้นักดนตรีเครื่องสาย 50 กว่าคนและอ่านโน้ตง่ายๆ  ที่ ‘สร้างความวุ่นวาย 15 วินาที’”

สำหรับการเพิ่มเอ็ฟเฟ็กต์นี้ให้มากขึ้นไปอีก แม็คคีออนยังใช้เครื่องดนตรีสายและเครื่องดนตรีเคาะอีกหลายชนิด “ต้องถ่ายทอดความเจ็บปวด การแตกหัก และการแยกฉีกขาดเป็นส่วนออกมา มีการบันทึกเสียงสับ เสียงงอ เสียงยืด เสียงร้องกรี๊ดขอความเมตตาลงไปในเพลงประกอบ” 

ร็อบ ทาเพิร์ทกล่าวย้ำว่า “ทีมนักแสดงสร้างความน่าทึ่งได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ลีเขียนบทที่ต้องอาศัยนักแสดงมีความสามารถเฉพาะตัว และปล่อยให้พวกเขาแสดงพลังออกมาในหลายมิติ ตั้งแต่ควาสยองไปจนถึงความตลก ความรู้สึกต่างๆ เกี่ยวกับความเครียดในครอบครัว ผมคิดว่านี่คือขอบเขตของ ‘Evil Dead’ มันมีความเป็น ‘Evil Dead’ อยู่ในโลกนั้น และผมคิดว่าทุกคนจะสนุกกับแฟรนไชส์นี้ อันที่จริงหนังมีเสียงตอบรับจากผู้ชมอย่างชัดเจนตอนทำการศึกษาข้อมูลการฉาย ซึ่งจะไม่มีการฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลก เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แฟนๆ ด้วยความน่ากลัวสุดขีด เลือดสาดกระจาย และความตื่นเต้นนองเลือดสุดจินตนาการ นี่คือหนังที่เหมาะจะดูในโรงภาพยนตร์มืดๆ เพื่ออรรถรสความตื่นเต้นสุดชีวิต”

แซม ไรมี่เล่าว่า “ลีเก็บทุกรายละเอียดที่เคยมีได้ เข้ารวบรวมทุกสิ่ง ให้ความสนใจ และเล่นกับมันในแบบของเขา เขาตัดส่วนที่แย่ออกไป พัฒนาต่อยอดส่วนที่ดีและนำตัวละครที่เราใส่ใจมาอยู่ศูนย์กลาง นี่คือความเป็นเอกลักษณ์ของโลก ‘Evil Dead’ วิญญาณที่เข้าสิงใช้ชีวิตไปตามอารมณ์ของตัวเอง นับเป็นพื้นที่สร้างผลงานที่สนุกสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์และนักแสดง การร่วมงานกับลีนับเป็นประสบการณ์ที่วิเศษมาก คุณอาจคิดว่าผู้สร้างหนังสยองขวัญเหล่านี้จะต้องเป็นคนไม่ดีหรือผิดปกติ แต่ไม่ใช่เลยพวกเขาเป็นคนตลกที่อยากสร้างความตื่นเต้นให้ผู้ชม การร่วมงานกับลีนับเป็นเรื่องสนุกครับ”

แต่ไม่ว่าในเรื่อง “Evil Dead Rise” จะใช้สีแดงแบบใดก็ตาม ลี โครนินก็ย้อนกลับไปหาความดั้งเดิมได้อย่างรวดเร็ว เขากล่าวปิดท้ายว่า “ผู้ชมจะรักความสยองขวัญ เพราะสิ่งแรกและเป็นสิ่งสำคัญสุด เวลาที่เราสร้างหนังสยองสักเรื่อง เราอยากให้มีความน่ากลัวและสนุก ผมคิดว่าผู้ชมจะสนุกกับภาพที่เห็นและความกระสับกระส่ายที่เกิดขึ้นตอนดูหนัง พร้อมกับการรับประสบการณ์ใหม่ นี่คือความเป็น ‘Evil Dead’ แต่มันคือภาคปัจจุบัน และหวังว่าจะเป็นการเข้าสู่โลก ‘Evil Dead’ ที่ดีขึ้นกว่าที่เราเคยรู้จัก ผมคิดว่าความสยองที่ดีที่สุดคือเมื่อเราดูแล้วมันตามเรากลับบ้านได้ เวลาที่เราปิดไฟทำให้รู้สึกว่าเป็นบ้านที่ชวนหลอน”