อนันดา เอเวอริงแฮม * มาริโอ้ เมาเร่อ * ภาคิน คำวิลัยศักดิ์

ภูมิภัทร ถาวรศิริ * ษริกา สารทศิลป์สุภา

ชิดจันทร์ ห่ง * ฟิลลิปส์ ทินโรจน์

กำกับและเขียนบทภาพยนตร์โดย

ก้องเกียรติ โขมศิริ

2 มีนาคม 2566

พร้อมจับตาย ในโรงภาพยนตร์

ศรัทธาคลั่ง อาคมเดือด สู่วันพิพากษา “ขุนพันธ์ 3”

พ.ศ. 2493 บ้านเมืองยังคงได้รับผลกระทบจากสงคราม ข้าวยากหมากแพง ชุมโจรเสือร้ายยังคงชุกชุมไปทั่วทุกหนแห่ง ข้าราชการเต็มไปด้วยความฉ้อฉล ใช้อำนาจในทางที่ผิด จะเหลือก็เพียง “ขุนพันธรักษ์ราชเดช” (อนันดา เอเวอริงแฮม) นายตำรวจมือปราบผู้ยึดมั่นในความถูกต้อง และเป็นความหวังเดียวของผู้คน

แต่หลังจากสยบโจรใต้อย่าง “อัลฮาวียะลู” (กฤษดา สุโกศล แคลปป์) รวมถึง 2 ใน 4 เสือร้ายอย่าง “เสือฝ้าย” (พันเอก (พิเศษ) วันชนะ สวัสดี) และ “เสือใบ” (อารักษ์ อมรศุภศิริ) ขุนพันธ์กลับถูกเพ่งเล็งว่าอาจแปรพักตร์หันไปคบค้ากับพวกโจร จึงตัดสินใจคิดวางมือและกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติสุขที่บ้านเกิดนครศรีธรรมราชกับ “ครูนุ่น” (ชิดจันทร์ ห่ง) ภรรยาที่กำลังจะให้กำเนิดชีวิตใหม่ แต่แล้วกลับมีเหตุที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ท่านขุนต้องกลับไปปฏิบัติภารกิจไขปริศนาการหายสาบสูญของ 3 บุคคลสำคัญทางการเมือง และคำสั่งให้ปิดคดีล่าตัว 2 เสือร้ายที่กำลังฮึกเหิมและท้าทายอำนาจรัฐที่ไม่เคยมีใครเข้าถึงตัวได้อย่าง “เสือมเหศวร” (มาริโอ้ เมาเร่อ) ฉายา “จอมโจรร้อยหน้า” และ “เสือดำ” (ภาคิน คำวิลัยศักดิ์) ฉายา “สุภาพบุรุษเสือดำ” ที่พกความแค้นและอาคมแกร่งกล้าไม่เป็นรองใคร ที่สำคัญพวกเขาต้องการเด็ดหัวขุนพันธ์อย่างถึงที่สุด

งานนี้ได้ “ร้อยเอกทัตเทพ” (ภูมิภัทร ถาวรศิริ) นายทหารหนุ่มหัวก้าวหน้ามาร่วมช่วยขุนพันธ์ในการล้างบางถ้ำเสือชุมโจรด้วย โดยต้องผ่านดินแดนที่เข้าถึงยากที่สุด ลึกลับที่สุด และคร่าชีวิตผู้คนมากมายในสมรภูมิที่ถูกขนานนามว่า “แก่งกินศพ” ที่เต็มไปด้วยอันตรายและอาคมล้อมรอบนับไม่ถ้วน

การจับตายครั้งนี้อาจไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะความคงกระพันของขุนพันธ์เองก็ดูเหมือนจะเริ่มสั่นคลอนและคลายความขลังลงทีละน้อย เขาจะสามารถบรรลุ “ภารกิจไล่ล่า” เหล่าเสือร้ายที่ทางการหมายมั่นก่อนอาคมขลังจะเสื่อมสลายลงได้หรือไม่ หรือครั้งนี้ถึงเวลาแล้วที่เจ้าอาคมขลังอย่างขุนพันธ์จะกลายเป็น “ผู้ถูกล่า” เสียเอง!

ทุ่มทุกศรัทธาที่มี รีเสิร์ชทุกดีเทลตัวละคร

สู่เรื่องราวสุดความเข้มข้น พัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงทุกด้าน

ตลอดช่วงเวลา 10 ปีแห่งภาพยนตร์ไตรภาค “ขุนพันธ์”

เพื่อให้ “ขุนพันธ์ 3” เป็นภาพยนตร์พีเรียดแอ็กชันที่สมบูรณ์แบบในทุกด้าน ทั้งเรื่องราว ฉาก เสื้อผ้า และองค์ประกอบแวดล้อมของตัวละคร ผู้กำกับและทีมงานจึงต้องทุ่มเททำการบ้านอย่างหนักในการค้นคว้าข้อมูล ทำให้ทุกตัวละครมีพัฒนาการที่ปรับเปลี่ยนไปตามประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น ทุกช่วงเวลาในภาพยนตร์มีความสมจริง และภาพที่ออกมาสร้างช่วงห่างของเวลาในแต่ละภาคได้เป็นอย่างดี

“ในแง่ของวิชวล ‘ขุนพันธ์’ ถูกฟิกซ์ไว้ด้วยยุคสมัย เนื่องจากเป็นหนังพีเรียด ภาค 1 เป็นสมัยก่อนสงครามโลก แฟชั่น เสื้อผ้าหน้าผม แม้กระทั่งหนวดเขี้ยวของขุนพันธ์ก็จะย้อนกลับไปก่อนสงครามโลกจะเกิด ถ้าจำได้จบภาค 1 ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ชุมพร และมีข้าราชการไทยเป็นไส้ศึกพร้อมเปิดตัวเสือใบไว้ตอนท้าย

เข้าสู่ภาค 2 เปิดเรื่องมาญี่ปุ่นแพ้สงคราม หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ข้าวยากหมากแพง คนกลายเป็นโจร เกิดเสือร้ายขึ้นทั่วประเทศ ขุนพันธ์ต้องออกมาปราบปราม ภาคแรกลงไปปราบโจรใต้ก็จะมีความเป็นโลกอีกใบหนึ่งในแผ่นดินฝั่งใต้ พอมาภาค 2 เป็นเสือร้ายภาคกลาง เราจะเห็นว่าจากภาค 1 ที่ขี่ม้ากันอย่างเดียว ภาค 2 ขุนพันธ์ขี่มอเตอร์ไซค์แล้ว แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีม้าอยู่ เริ่มมีอาวุธแปลกๆ มีปืนแส้ มีความนำสมัย เป็นผลพวงจากอาวุธที่ได้มาจากพวกญี่ปุ่นทิ้งๆ เอาไว้ ก็มีพัฒนาการเหล่านี้ รวมไปถึงชุดของพวกโจรที่ต้องใส่สูท ทุกคนใส่หมวกตามนโยบายมาลานำไทยของจอมพล ป. มันก็มีกลิ่นอายการเมือง ทำให้บรรยากาศของเรื่องแตกต่างไป แอ็กชันจะเริ่มเปลี่ยน

พอมาถึงภาค 3 สงครามเลิกไปแล้วสัก 4-5 ปี ประมาณปี 2493 ถึง 2495 สถานการณ์ทั้งโลกเข้าสู่ยุคสงครามเย็น สงครามสายลับ เกิดวิกฤติทางการเมือง ความจนยังอยู่ เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างสูง คนรวย ข้าราชการ คฤหบดีมีอำนาจรวยแบบเบ็ดเสร็จ คนจนก็จนลง โจรยังคงอยู่ บ้านเมืองเข้าสู่ความทันสมัย เทคโนโลยีเริ่มเข้ามา เลยหลังจากนี้ไปไม่กี่ปีก็เข้าสู่ยุคเอลวิสแล้ว เสื้อผ้าหน้าผมมันก็จะดีขึ้นอีก คัตติ้งของสี มูด โทน ความเป็นหนังแบบสงครามเย็น มันจะมีความรู้สึกของหนังสายลับขึ้นมามากขึ้น ตัวขุนพันธ์เองก็มีพัฒนาการขึ้นมาเรื่อยๆ แม้กระทั่งวัยวุฒิ พอภาค 3 เริ่มโฟกัสชัดเจน เกิดการตั้งคำถามกลับไปว่าตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ขุนพันธ์เริ่มพิพากษาตัวเองว่าตกลงสิ่งที่ทำลงไปมันคืออะไร หรือเราควรหยุดเสียที มีสิ่งที่ต้านทานไม่ได้หรือ เริ่มค้นพบว่าตัวเองอาจจะไม่ใช่คำตอบของความดีงามหรือกระทั่งคำว่าศรัทธาอีกต่อไป เพราะฉะนั้นใครที่เป็นคนที่จะพิสูจน์ได้ว่าความดีหรือศรัทธามันอยู่ที่ไหน หนังมันก็จะโยนพลังนี้กลับไปที่ประชาชนว่าเราจะฝากความหวังไว้ที่ซูเปอร์ฮีโร่คนเดียวหรือเปล่า ขุนพันธ์ตั้งคำถามกับตัวเองว่าหรือฉันก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง แล้วซูเปอร์ฮีโร่มันอยู่ตรงไหน ในภาค 3 มันเป็นประเด็นที่โตขึ้น ผ่านวุฒิภาวะมามากขึ้น สงบนิ่งมากขึ้น ตรงประเด็นมากขึ้น แต่บู๊กันหนักเหมือนเดิม เดือดเหมือนเดิม”

 

 

การกลับมาของมหึมาความมันส์ครั้งใหม่

ก้าวกระโดดสู่อีกสเต็ปแอ็กชันเหนือจินตนาการครั้งใหญ่

จากต่อต่อตา ฟันต่อฟัน สู่การล่าท้าตายด้วยคำพิพากษา

จากภาคที่แล้ว ผู้กำกับใช้เวลาถึง 4 ปีก่อนที่จะกลับมาพร้อมการปิดไตรภาคอย่างสมศักดิ์ศรีใน “ขุนพันธ์ 3” โดยกลั่นกรองจากประสบการณ์ทั้งหมดและถ่ายทอดภาพที่มองเห็นอย่างชัดเจนผ่านบทภาพยนตร์คุณภาพ คาแร็กเตอร์นักแสดงตัวฉกาจ ทีมงานระดับมืออาชีพ โลเคชันสุดละเมียด และรายละเอียดที่ตอบโจทย์เรื่องราวแบบเต็มร้อยในทุกขั้นตอน ที่ขาดไม่ได้คือการเผชิญหน้ากับบททดสอบของอุปสรรคสำคัญ ศัตรูร้ายที่พร้อมกลืนกินจิตวิญญาณและท้าทายความศรัทธาแบบไม่แพ้สองภาคแรก

“ในภาคนี้สิ่งที่ ‘ขุนพันธ์’ ต้องเผชิญคือวันพิพากษา เพราะถึงแม้กระทั่งในตัวขุนพันธ์เองที่มีการปราบโจรโดยใช้ความรุนแรงมาตลอดเวลา ครั้นพอยุคสมัยเริ่มเปลี่ยน มีคนบอกว่าเฮ้ย…นี่มันเครื่องจักรสังหารของคนรุ่นเก่า มันไม่ใช่ยุคของขุนพันธ์ มันควรจะหมดยุคไปได้แล้วกับวิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน ยุคนี้มันคุยกันด้วยศาล คุยกันด้วยเหตุและผล กฎหมายไม่ใช่แบบนั้น ขุนพันธ์ควรถูกพิพากษา เขาไม่ใช่ผู้ดำรงความถูกต้อง เขาคือโจร นี่คือ Conflict แรกที่ขุนพันธ์ต้องเจอ และในขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญหน้ากับโจรผู้เก่งกาจอีกสองคนคือ ‘เสือมเหศวร’ และ ‘เสือดำ’

และทันทีที่มุมมองและแนวความคิดดังกล่าวถูกส่งต่อไปยัง “อนันดา เอเวอริงแฮม” ที่มีส่วนร่วมในการสร้าง และพัฒนาตั้งแต่ตัวบุคลิก คาแร็กเตอร์ และสร้างลมหายใจให้วีรบุรุษมือปราบเหนืออาคมในตำนานโลดแล่นมีชีวิตบนแผ่นฟิล์มมาตลอด 10 ปี เขาก็รู้สึกเห็นชอบกับไอเดียและแนวความคิดดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความตั้งใจที่อยากให้ภาพยนตร์ “ขุนพันธ์ 3” มีพัฒนาการและความแปลกต่างในทุกๆ องค์ประกอบไม่ว่าจะเป็นแอ็กชันดีไซน์ รูปแบบอาคม โปรดักชันงานสร้าง โลเคชัน ไปจนถึงเรื่องราวและภารกิจปราบเสือ การเข้าร่วม “จักรวาลขุนพันธ์” ผ่านมิติของตัวละครใหม่ๆ ที่จะเข้ามาสร้างสีสันและสะท้อนให้เห็นหลากหลายแง่มุมรวมถึงพัฒนาการของตัวขุนพันธ์เองด้วย

“เพราะ ‘ขุนพันธ์’ คือตัวละครที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมไปแล้ว อันนี้ต้องยอมรับ 10 ปีของชีวิตผม มันคือ 1 ใน 4 ของชีวิตที่อยู่กับตัวละครตัวนี้ แล้วถ้าพูดถึงจำนวนปีที่ผมอยู่ในวงการ มันก็คือเวลาครึ่งหนึ่งในวงการที่ผมอยู่กับตัวละครตัวนี้ จะไม่ให้มันซึมเข้ามาในร่างของผมเลยคงเป็นไปไม่ได้ พอเราเดินทางมาถึงปีที่ 10 เราก็คุยกันกับพี่โขมไว้ว่านี่อาจจะเป็นภาคสุดท้ายที่เราทำด้วยกัน บางมุมของตัวละครที่เรารู้สึกว่ายังไม่ได้แตะในสองภาคแรก หรือเกี่ยวกับเรื่องอาคม เรื่องมิชชันต่างๆ เราอยากเห็นมุมมองของท่านในแง่คนหนึ่งคน เราก็เลยคุยกันว่าภาคนี้จะเป็นภาคที่เราได้เห็นด้านที่เป็นมนุษย์มากที่สุดของท่านขุน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฃองครอบครัวท่าน กำลังจะเป็นพ่อคน ความสัมพันธ์กับภรรยา รวมไปถึงอะไรที่มันซับซ้อน ไม่ว่าจะเรื่องของความกลัวตาย การมีชีวิตเพื่อคนอื่น ซึ่งมันก็จะเป็นมุมที่น่าสนใจ เป็นมุมมองที่ในฐานะนักแสดงเราค่อนข้างชอบ เพราะมันก็เปิดพื้นที่ให้กับตัวละครตัวนี้เพิ่ม พี่โขมรู้สึกว่าภาคนี้เราอยากเห็นมุมที่เป็นมนุษย์มากขึ้น มันว่ากันด้วยความอยู่รอด ทำไงก็ได้ให้มันอยู่รอด เพราะว่ามันมีสัญญาตั้งแต่ต้นแล้วว่าฉันจะกลับมา มันก็เลยแบกตรงนี้ไว้ตลอดเวลาว่าเราสู้สุดชีวิตก็จริง แต่ว่ามันก็มีคนอื่นรออยู่ ไอ้ตรงนี้มันทำให้ตัวละครมันน่าสนใจ มันทำให้ตัวละครมีมิติเพิ่มขึ้น”

ปลุกชีวิต “2 เสือในตำนาน” แห่งภาคกลาง

“มาริโอ้ เมาเร่อ” และ “โตโน่ ภาคิน”

ทุ่มเทสุดจิตวิญญาณ ผ่านสุดยอดการแสดง

เก่งฉกาจ ปราดเปรื่อง เจ้าคาถาอาคม ไม่รู้จักคำว่าตาย

เพราะ “คู่ปรับ” ในทุกภาคของ “ขุนพันธ์” นั้นไม่มีคำว่าธรรมดา การคัดเลือกนักแสดงของผู้กำกับ “โขม ก้องเกียรติ” ให้มารับบทบาทและเทียบชั้นห้ำหั่นกับนายตำรวจหนวดเขี้ยวในตำนานผู้นี้จึงมั่นใจได้เลยว่าเหมาะสมทุกคาแร็กเตอร์ที่ช่วยทวีดีกรีความมันส์ และสนุกเข้มข้นสะใจอย่างไม่มีผิดหวังแน่นอน

สำหรับใน “ขุนพันธ์ 3” นี้ ตัวละครเสือร้ายระดับตำนานในแฟ้มอาชญากรรมที่ตำรวจต้องการตัวที่สุดคือ 2 ใน 4 เสือแห่งภาคกลางที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยมีใครได้เฉียดใกล้ นั่นคือ “เสือมเหศวร” ที่รับบทโดยซูเปอร์สตาร์พันล้านอย่างนักแสดงหนุ่มอารมณ์ดี “มาริโอ้ เมาเร่อ” และ “เสือดำ” ที่รับบทโดย “โตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์” ศิลปิน-นักแสดงหนุ่มมาร่วมแท็กทีมเชือดเฉือนฝีมือการแสดงและปะทะแอ็กชันสาดอาคมกับ “อนันดา เอเวอริงแฮม” ในบท “ขุนพันธ์” ชนิดทุ่มทั้งตัวและใจเกินร้อยได้อย่างสมศักดิ์ศรีเพื่อปิดไตรภาคความมันส์ในภาคนี้

“ถามว่าทำไมจะต้องเป็นสองคนนี้ ทั้งๆ ที่จริงๆ มันก็มีตำนานมากมาย มีตัวจริง มีเรื่องเล่า แต่ก็อย่างที่ยืนยันไปว่าเราไม่ได้ทำหนังชีวประวัติของเสือเหล่านี้จริงๆ มันเป็นเรื่องแต่งที่เราสร้างขึ้นมาเป็นตัวละคร โดยที่คาแร็กเตอร์แต่ละคนก็จะต่างกันไป แต่ละคนจะมีนิสัยใจคอรวมถึงอาคมที่ใช้ก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละคน เนื่องจาก ‘ขุนพันธ์’ จะต้องเจอกับศัตรูที่เก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ มารไม่มี บารมีไม่เกิด ตัวร้ายจะต้องเก่งเทียบเท่า สมน้ำสมเนื้อ เป็นความท้าทายที่ขุนพันธ์จะต้องเจอ”

อีกความตั้งใจของตัวผู้กำกับคือต้องการออกแบบบุคลิกคาแร็กเตอร์ของทั้งสองเสือให้มีความสอดคล้องทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งที่ผู้ชมจะได้สัมผัสถึงความสามารถที่โดดเด่น เอกลักษณ์เฉพาะตัว อาวุธ อาคม ของขลัง ไปจนถึงแง่มุมและปมอดีต เพื่อให้ทุกครั้งของการปะทะกันระหว่างตัวละครทั้งสองฝั่ง ทั้งในส่วนเสือที่เป็นพวกนอกรีตและขุนพันธ์ผู้รักษากฎหมายจะเต็มไปด้วยความขัดแย้งและชวนติดตามอย่างที่สุด

“อย่างตัวละคร ‘เสือมเหศวร’ ของ ‘มาริโอ้’ จะมีความเป็นทรชนสองหน้า เขามีร่างหนึ่งเป็นนักข่าวมีผู้มีค่าหัวสูงอันดับต้นๆ ที่ทางการต้องการตัวเป็นอย่างมาก แต่ไม่เคยถูกจับได้และยังเป็นหัวหน้าของกลุ่มแก๊งโจรเชิ้ตขาว เป็นเสือรุ่นใหม่ที่อยู่ในชุมเสือ ออกปล้นทุกครั้งมีการวางแผนทุกครั้ง ไปมาแบบไร้ร่องรอย จนมีคนเล่าว่ามเหศวรเหมือนหายตัวได้ ห้อยพระมเหศวร มีมนตร์เบี่ยงกระสุนเป็นคาถาอาคมประจำตัว ในขณะเดียวกันก็มีทักษะการต่อสู้ป้องกันตัวที่ว่องไว นอกจากนั้นเสือมเหศวรยังใช้คาถาแคล้วคลาดลิงลม เพราะฉะนั้นมันต้องมีความกะล่อน ฉลาด พลิ้วไหวดุจลม สามารถเล็ดลอดเข้าไปในที่ที่คนทั่วไปเข้าไม่ได้แต่ลมมันเข้าได้ อย่างรูกุญแจเล็กๆ ลมมันก็รอดเข้าไปได้ เพราะฉะนั้นการได้มาริโอ้มาแสดง โอ้เขาก็จะมีสองบุคลิก หนึ่งคือเฟรนด์ลีเหมือนไม่มีพิษมีภัย ในขณะเดียวกันก็มีความกะล่อนบางอย่างที่มันพลิ้วไหว มันเหมือนเราเห็นตัวละครในหนัง ‘Ocean’s Eleven’ ตัวละครที่เป็นนักปล้นที่ฉลาดมาก เก่งมาก แน่นอนมาริโอ้มีเคมีในตัวที่จะถ่ายทอดความเป็นเสือมเหศวรอย่างที่เราต้องการ”

เรียกได้ว่างานนี้เข้าตาและเป็นที่ถูกอกถูกใจสำหรับนักแสดงหนุ่มมาริโอ้กับบทบาทที่ได้รับอย่างจัง เพราะนอกจากจะได้สวมบทบาทเป็นเสือซ่อนเล็บที่ทั้งกะล่อนและแพรวพราวแล้ว ยังต้องแปลงโฉมในรูปแบบต่างๆ แถมยังเปิดพื้นที่ทางการแสดงทั้งในส่วนของดราม่า คอมเมดี้ ไปจนถึงจัดหนักตะลุยบู๊สารพัดงานแอ็กชันหนักหน่วงตามมาตรฐานโปรเจกต์ขุนพันธ์ไม่แพ้เหล่าบรรดาเสือรุ่นพี่ในภาคก่อนๆ ทั้งโรยตัวจากหอคอย มีระเบิดเพลิงลูกใหญ่ไล่หลัง แม้แต่วิ่งฝ่าดงระเบิด เป็นหนังที่ต้องทั้งขี่ม้า จับปืน ประจัญบานแอ็กชันไล่ยิงแบบโนสแตนด์อินโนสตันต์อีกด้วย ซึ่งเจ้าตัวเองยืดอกยอมรับว่าตื่นเต้นมาก เตรียมตัวและเตรียมใจเผชิญหน้ากับความเหนื่อยยากกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตลอดการถ่ายทำ

“ผมรู้สึกว่าโหดแน่ครับ เพราะผมเป็นแฟนของหนัง ‘ขุนพันธ์’ มาทั้งสองภาคแล้ว ตั้งแต่ผมเป็นคนดู ผมรู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้เอนเนอร์จี้เยอะมาก ต้องใช้แรงในการเล่นเยอะ สำหรับบท ‘เสือมเหศวร’ เป็นบทที่โอ้ชอบเลย เพราะเป็นคาแร็กเตอร์ที่มีความหลากหลายอารมณ์ ทั้งคิวบู๊หรือแม้แต่ทัศนคติของเขา เราจะได้เห็นทั้งมุมโรแมนติกและมุม ดราม่า รวมถึงการต่อสู้และการเป็นนักวางแผน สิ่งที่ผมชอบมากในตัวมเหศวรก็คือการปลอมตัว จะมีการเปลี่ยนชุดต่างๆ และมีคาแร็กเตอร์ที่หลากหลายซึ่งก็ท้าทายตัวผมเองมากๆ การเป็นมเหศวรทำให้ต้องเรียนรู้ทุกอย่าง ทั้งขี่ม้า ยิงปืน เล่นมายากล และปลอมตัว ทำให้ผมรู้สึกสนุกมากครับที่ได้สวมบทบาทนี้”

รวมไปถึงนี่จะเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตนักแสดงของหนุ่มมาริโอ้ไปตลอดกาล นั่นคือการแสดงฉากแอ็กชันเสี่ยงตายด้วยตัวเองโดยมีเอฟเฟกต์ระเบิดลูกมหึมาเฉียดหลังไปเพียงนิดเดียว

“มันเป็นฉากบู๊ใหญ่มากครับ เป็นฉากที่มีการติดตั้งเอฟเฟกต์ระเบิด ซึ่งในฉากนี้ ‘เสือมเหศวร’ ต้องปีนขึ้นไปบนหอคอยไม้ไผ่เพื่อช่วยเพื่อนและโดนศัตรูยิงปืนใหญ่ใส่ ตอนถ่ายจริงระเบิดลูกใหญ่มาก ใหญ่จนผมร้อนไปทั้งหน้า และแรงของระเบิดทำให้มีเศษหินกระเด็นเข้าหน้าผมเต็มๆ ตอนนั้นยอมรับว่าผมใจหายวูบ แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้โดยไม่เป็นอะไร ยังไงก็ฝากให้ไปดูฉากนี้ด้วยนะครับ”

 

 

มาถึงเสือร้ายตัวสุดท้ายของไตรภาค “ขุนพันธ์” อย่าง “เสือดำ” ซึ่งเป็นอีกขั้วที่ตรงข้าม “เสือมเหศวร” โดยสิ้นเชิง ผู้กำกับวางคาแร็กเตอร์และออกแบบตัวละครเสือดำให้เต็มไปด้วยความหม่นมืด หนักหน่วง และเต็มไปด้วยบาดแผลแห่งความเจ็บแค้นจากอดีต ทั้งภายนอกและภายในที่ถูกกัดเซาะกร่อนลึกลงไปจนถึงก้นบึ้งของจิตใจ นี่คือเสือคู่ปรับที่ร้ายกาจที่สุด อันตรายที่สุด ที่ขุนพันธ์จะต้องรับมือไม่ต่างกับมัจจุราชที่มีลมหายใจที่ถูกส่งมาเพื่อคร่าชีวิตของขุนพันธ์โดยเฉพาะ เป็นตัวละครที่ต้องทุ่มเททั้งทักษะความสามารถในทุกๆ ด้าน ทั้งแอ็กชัน ขี่ม้า ยิงปืน มีด อาวุธ หมัด เท้า เข่าศอก พละกำลังของร่างกาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นฐานความเข้าใจในการแสดงเชิงลึก ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเมื่อได้ “โตโน่ ภาคิน” ศิลปินนักร้อง-นักแสดงหนุ่มที่พร้อมถอดวิญญาณและสร้างชีวิตให้ตัวละครสำคัญนี้ในทุกวินาที

“เราได้ ‘โตโน่’ มารับบทเป็น ‘เสือดำ’ หัวหน้าของกลุ่มกองโจรเชิ้ตดำ ถ้าเสือมเหศวรเป็นลม เสือดำก็คือดินที่หนักแน่น มั่นคง รักพี่รักน้อง เชื่อมั่นเรื่องครอบครัว คาถาของเสือดำอยู่ที่ดิน ทุกครั้งที่เสือดำจะสะกดทุกอย่าง เขาจะเขียนอักขระลงบนดินและใช้ดินนั้นสาดซัดกระสุนเพื่อสลายทุกอันตรายที่อยู่ตรงหน้าให้กลายเป็นฝุ่นผงได้อย่างง่ายดาย

ในส่วนคาแร็กเตอร์ของ ‘เสือดำ’ ที่เราวางไว้จะเป็นคนเก็บกด มีอดีต เกิดมาเพื่อเป็นโจร เสือดำจะเมาฝิ่นตลอดเวลา เพราะบางทีในโลกเสมือนของความเมาอาจจะดีงามมากกว่าโลกแห่งความเป็นจริง พูดน้อยแต่ดุดันมาก เกลียดตำรวจมากกว่าคนไม่ดี คหบดีชั่วๆ เสือดำไม่ได้ฆ่า แต่เสือดำจะฆ่าตำรวจที่คุยกับคหบดีชั่วๆ เหล่านั้นอย่างโหดเหี้ยม เหมือนการพยายามฝากความเคียดแค้นบางอย่างไปให้เหล่าตำรวจได้รู้ว่าเขาเกลียดตำรวจมากขนาดไหน เป็นตัวละครที่คลับคล้ายจะเป็นอีกด้านหนึ่งของ ‘อัลฮาวียะลู’ เหมือนคนที่ตกอยู่ในหลุมไม่มีก้นบ่อที่ไม่มีวันขึ้นมาได้ สิ่งหนึ่งที่เขายึดถือตลอดคือสัจจะแห่งโจร เพราะกลุ่มโจรเชิ้ตดำคือครอบครัวเดียวของเขา การที่เสือดำสู้กับตำรวจทุกครั้ง เสือดำมีความตั้งใจว่ากูต้องถูกจับตาย จะได้จบๆ ชีวิตกูไปเสียที เพราะฉะนั้นเขาไม่เคยมีความคิดเรื่องการมอบตัวอยู่ในหัวเขาเลย”

ที่ผ่านมาเราอาจจะได้เห็นบทบาทของโตโน่ในฐานะนักร้อง ในขณะที่ผลงานการแสดงส่วนใหญ่จะเป็นแนวคอมเมดี้ แต่สำหรับในส่วนของงานทางด้านภาพยนตร์แล้วบท “เสือดำ” นี้ถือเป็นครั้งแรกที่จะได้เห็นการดำดิ่งแบบสุดขั้วในตัวละครที่เต็มไปด้วยบาดแผล ความเกลียดชังที่ซับซ้อนขนาดนี้

“ตอนที่ทีมงานติดต่อมา ซึ่งตัวละครที่ผมได้รับคือ ‘เสือดำ’ ผู้มีประวัติลึกลับที่สุด ค้นหาได้ยากที่สุด ดังนั้นการตีความของเราก็จะต้องละเอียดทั้งภายนอกและภายใน ผมเองอยู่ในช่วงที่กำลังโหยหางานที่เราอยากจะมอบอะไรสักอย่างหนึ่งแม้กระทั่งชีวิตจิตใจให้กับมัน งานที่เราพร้อมจะแลกทุกอย่าง แลกเหงื่อที่ผมมี เลือดในตัวที่ผมมี หรือทักษะที่ผมมี หรือที่ถ้าต้องไปฝึกเพิ่มก็ตาม รวมถึงการปรึกษากับคุณครูสอนการแสดงอย่าง ‘ครูแอ๋ว อรชุมา’ ต้องขอบคุณครูแอ๋วมากครับ ครูแอ๋วได้เตือนไว้ว่านักแสดงที่ดีควรจะต้องถอดเข้าถอดออกได้ พอเข้าเซตเราควรเป็นเขา แต่มันมีอีกวิธีการหนึ่งคือการรับเขาเข้ามา นั่นเป็นวิธีที่อันตรายที่มันจะกระทบชีวิตส่วนตัว ผมรู้ว่ามันอันตรายแต่ผมจะลองดู ก็เลยเริ่มลองคิดแบบเขา หายใจแบบเขา มองแบบเขา พอเรารู้แล้วว่าเราเริ่มสัมผัสได้ พอเราเริ่มเป็น มันจะมีช่วงที่ดีลกันไม่ได้ คือเขาจะมาก็มา ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่ครูเตือนว่าเฮ้ย…มันอันตรายนะ แต่ตอนนั้นเราอยากจะเอามาก่อน ส่วนจะถอดได้ไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง อยากรู้ว่ามันเป็นยังไงจนมันเริ่มส่งผลกับชีวิตจริง ข้อดีคือเวลาเข้ากล้องนั่นน่ะเสือดำ แต่ข้อเสียคือตอนใช้ชีวิตปกติ โตโน่กลับเป็นเสือดำ”

นับตั้งแต่เริ่มต้นโปรเจกต์ ก่อนที่จะสร้างลมหายใจให้เสือดำโลดแล่นมีชีวิตไปจนถึงตลอดระยะเวลาการถ่ายทำ โตโน่พยายามศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลมากมาย รวมถึงได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับอยู่ตลอดเวลา เพื่อร่วมสร้างคาแร็กเตอร์ของตัวละครให้ออกมามีความน่าสนใจที่สุด

“เราจะเห็นได้ว่าสำหรับบท ‘เสือดำ’ มันเป็นโจทย์ที่ผมทำการบ้านร่วมกับนักแสดงเยอะมาก โดยเฉพาะ ‘โตโน่’ เอง เขาค้นคว้าเยอะมาก เรียกว่าเขาไม่ห่วงหล่อ สภาพโตโน่คือดินจริงๆ มีความยับเยิน มีความดุเดือด ดูอำมหิต เขาคือโจรที่ไม่ได้คิดอะไรเยอะ เกิดมาเป็นโจรกูต้องตายแบบโจร เป็นอีกขั้วหนึ่งจาก ‘มเหศวร’ มเหศวรจะเป็นแบบเฮ้ย…ใจเย็นๆ เจรจาก่อน มีอะไรคุยกัน ต้องเจ็บให้น้อยที่สุด เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด แต่ตัวเสือดำจะเป็นคนแบบที่พร้อมจะตายทุกวันอยู่แล้ว เราต้องแลกกัน มึงฆ่ากูหนึ่งคน กูจะฆ่ามึงสิบคน และจะค่อยๆ ฆ่ามึงด้วย ในมิติของโตโน่อาจจะไม่ได้ตรงกับคาแร็กเตอร์เขาร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่กลายเป็นว่ามันคือความท้าทายของนักแสดงในแง่ที่เขาจะต้องสร้างตัวละครทั้งภายนอกและภายในขึ้นมาทั้งหมด โตโน่มีความคล้ายๆ ‘พี่น้อย’ (กฤษดา สุโกศล แคลปป์) คือเขาจะพุ่งเข้าใส่ พลังสูงมาก เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองทั้งร่างกาย อารมณ์ ความรู้สึก แววตา น้ำเสียง แม้กระทั่งสีของฟัน โตโน่เป็นนักแสดงที่มีของแถมเยอะมากครับ วันดีคืนดีก็โทรบอกผมว่า พี่โขม ผมต้องฟันดำนะ เพราะผมค้นข้อมูลมาว่าวันๆ เสือดำจะดูดแต่ฝิ่น ดูดฝิ่นจนฟันดำ และเขาก็มีข้อมูลรองรับด้วย เขาส่งข้อมูลเป็นตัวหนังสือ เป็นประวัติเลยว่าฟันดำจากการดูดฝิ่น และมีฟันทองสองซี่ เขาทำการบ้านมา ซึ่งเราก็รับลูกต่อ ผมชอบนะ เพราะฉะนั้นเสือดำจะต้องฟันดำ และมีฟันทองสองซี่ มันก็เลยกลายเป็นพัฒนาการของคาแร็กเตอร์ตัวนี้ต่อมาว่าเพื่อให้เห็นฟันทอง เขาถึงได้ชอบแยกเขี้ยว เพื่อให้เห็นฟันทองนิดๆ มันเป็นกิมมิกที่นักแสดงทำการบ้านมา ซึ่งสนุก เวลาทำงานแบบนี้ ผู้กำกับก็จะสนุก นักแสดงก็สนุกที่ได้ร่วมสร้างให้ตัวละครมันมีชีวิตขึ้นมาในโลกภาพยนตร์ครับ”

และด้วยความมุ่งมั่นที่จะนำจิตวิญญาณของเสือดำให้ออกมาอย่างที่ตั้งใจถึงขนาดตั้งปณิธานไว้ว่า “เสือดำทำอะไรได้ ผมต้องทำอย่างนั้นให้ได้” อย่างการยกม้าที่โตโน่ตั้งใจเรียนฝึกขี่ม้านานนับ 4-5 เดือน เริ่มตั้งแต่ต้นจนถึงยก กระโดดลง แล้วควบม้าแบบปล่อยมือ หรือควบมือเดียว แม้กระทั้งขี่ม้าควบไปพร้อมกับยิงปืนด้วยมือเดียว แถมปืนที่ใช้คือปืนลูกซองแฝดที่มีน้ำหนักมากกว่าปกติ อย่างไรก็ตามด้วยความที่มีพื้นฐานในเรื่องชกมวยและเป็นนักกีฬามาก่อน ก็ช่วยทำให้งานแอ็กชันสุดโหดของภาพยนตร์ชุด “ขุนพันธ์” จากจินตนาการของผู้กำกับและผู้ออกแบบฉากแอ็กชันเบาใจขึ้นไปได้ โดยเฉพาะคิวบู๊ที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดดุดันของเสือดำ

“‘เสือดำ’ ของผมไม่ใช่พระเอก เสือดำของผมคือเสือจริงๆ เสือดำคือเสือตัวสุดท้ายที่ยังคงความเป็นเสือจนวันตาย เขาไม่มีความคิดที่จะมอบตัว คนทั่วไปอาจมองว่าสีขาวเป็นสีที่บริสุทธิ์ แต่เสือดำมองว่าสีดำเป็นสีที่บริสุทธิ์ แล้วสีที่เขาเกลียดที่สุดคือสีกากี เพราะเขามีอดีต ‘ขุนพันธ์’ อาจเป็นวีรบุรุษของใครๆ อาจเป็นตำรวจดี แต่ขุนพันธ์สามารถเปลี่ยนตำรวจทั้งกรมได้ไหม สังคมยังคงเต็มไปด้วยความอยุติธรรม ผมว่ามันยืนยันชัดเจนว่าทำไมเสือดำถึงมั่นใจในอุดมการณ์ตัวเอง เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องพาตัวละครนี้ให้เป็นอีกสีหนึ่งใน ‘ขุนพันธ์ 3’ ซึ่งผมรู้สึกเป็นเกียรติมากครับ”

ท้าทายที่สุดในชีวิต “เอม-ภูมิภัทร ถาวรศิริ”

กับบทบาทนายทหารเลือดใหม่ อนาคตไกล

ตัวเลือกที่ใช่เกินร้อย มือขวา “ขุนพันธ์” พร้อมเคียงข้าง “จับตายเสือ”

แน่นอนว่าการกลับมาปฏิบัติภารกิจปิดไตรภาคครั้งนี้ย่อมไม่ได้มีเพียงแค่การปิดตำนานเสือ เพราะสิ่งที่ผู้กำกับตั้งใจ คือการขยายมิติที่ผู้ชมได้รับรู้เกี่ยวกับตัว “ขุนพันธ์” ให้เกิดการต่อยอดขึ้นไปอีก พร้อมกับการเปิดมุมองอื่นๆ ของชีวิตท่านขุนให้สะท้อนผ่านแนวคิด ทัศนคติจากตัวละครใหม่ๆ เหล่าผู้คนในเจเนอเรชันใหม่ที่จะมาเชื่อมโยงและขยายขอบเขต “จักรวาลขุนพันธ์” ในฐานะ “ฮีโร่” หรือ “ไอคอน” ให้มีความเด่นชัดยิ่งขึ้น

จึงเป็นที่มาของ “ร.อ.ทัตเทพ” คาแร็กเตอร์ใหม่ซึ่งเป็นตัวละครที่มีบทบาทสำคัญที่ร่วมเดินทางเคียงคู่ไปกับขุนพันธ์ในภารกิจถล่มถ้ำเสือล้างบางชุมโจรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งได้ “เอม-ภูมิภัทร ถาวรศิริ” นักแสดงเลือดใหม่ที่น่าจับตามองมากที่สุด ณ เวลานี้

“‘ผู้กองทัตเทพ’ นายทหารหนุ่มผู้ถูกส่งมาทำภารกิจปราบเสือโจรเชิ้ตดำ เป็นทหารที่ไม่ได้เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์มนตร์ดำอะไรมากมาย แต่เชื่อในเรื่องยุทธวิธีมากกว่าเชื่อเรื่องการเมือง ยุทธศาสตร์แบบทหาร มีความฉลาดทั้งบู๊และบุ๋น เขาก็คือตัวละครที่ร่วมต่อสู้ไปกับ ‘ขุนพันธ์’ ซึ่งเราได้ ‘เอม ภูมิภัทร’ มาเล่นเป็นนายทหารซึ่งเต็มไปด้วยความสุภาพ แต่เมื่อถึงเวลาลุยจะไม่มีคำว่าถอย มีอุดมการณ์และวิธีตั้งคำถามไม่ต่างกับขุนพันธ์

เอมเป็น Rookie หน้าใหม่ที่น่าสนใจมากๆ ผมอยากร่วมงานกับน้องอยู่แล้ว เอมมีวิธีแสดงที่ดีมาก มีอนาคตไกลมากแน่นอน ทิศทางและวิธีการแสดงแบบ Method หรือการแสดงแบบ Realistic เขาแสดงเป็นตัวละครทัตเทพที่เหนือความคาดหมาย เราไม่อยากได้ภาพของทหารที่ดูแข็งไปหมด เราอยากได้ทหารที่มันซอฟต์ที่สามารถทำให้ขุนพันธ์ร่วมรบไปกับเขาได้ เอมทำได้ดีมากทั้งในแง่ของดราม่า แอ็กชัน การปลดปล่อยอารมณ์ ทุกอย่างเลย เวลาเห็นเอมเข้าฉากกับอนันดาแล้วสนุก โดยทัศนคติ นิสัย แนวคิด เอมดีหมด ข้อดีของนักแสดงในเรื่องนี้คือทุกคนทำการบ้าน เอมก็เป็นหนึ่งในนั้น เขารู้ตัวว่าจุดเด่นจุดด้อยของเขาคืออะไร เขามีการแสดงที่ดี ขณะเดียวกันเขาอาจมีบอดี้ที่ดูผอมไป เขาก็พยายามไปฟิตเพิ่มน้ำหนักเพื่อความแข็งแกร่งมากขึ้น นักแสดงใหม่เวลาถูกล้อมด้วยนักแสดงรุ่นใหญ่ที่เก๋าๆ เก่งๆ หลายคนจะเกร็งและเหมือนกดดันตัวเอง แต่เอมไม่ใช่ เขาพยายามหาทิศทาง นักแสดงหลายคนยังพูดเลยว่าเข้าฉากกับเอมมันต้องเต็มที่เหมือนกัน เพราะเอมจะมีเหลี่ยมการแสดงที่เรียกว่าไม่ยอมกัน ผมประทับใจกับความทุ่มเทของเอม เพราะว่าเขาได้หมด ครบรส แอ็กชัน ดราม่า สมบุกสมบัน ขี่ม้า ยิงปืน ขี่มอเตอร์ไซค์ ขี่รถ ตกน้ำ เขาทำได้หมด จนเราถือว่าเราได้นักแสดงที่ดีมากๆ รับรองว่าไม่เคยเห็นเขาในภาพลักษณ์แบบนี้แน่นอน เขาเป็นดาวเด่นที่น่าจับตามากๆ”

ในขณะที่ “เอม ภูมิภัทร” นักแสดงหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงมากความสามารถ เขาเป็นที่จับตามองจากภาพยนตร์อิสระเรื่อง “นคร-สวรรค์” (2562) ฉายแววโดดเด่นจากซีรีส์ “เด็กใหม่ ซีซัน 2” (2564) เป็นจอมขโมยซีนใน “One for The Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ” (2565) และโชว์พลังการแสดงโดดเด้งจาก “อาชญาเกม” (2565) ได้พูดถึงมุมมองที่น่าสนใจของโปรเจกต์บล็อกบัสเตอร์สุดหินเรื่องนี้และตัวละครของเขาที่เปรียบได้กับติ่งของ “ขุนพันธ์” ก็ว่าได้

“ถ้า ‘ขุนพันธ์’ เป็นแบทแมน ‘ทัตเทพ’ ก็เป็นโรบิน เขาจะเป็นเหมือนคู่หูช่วยกันทำภารกิจปราบสองโจรที่สำคัญที่สุดก็คือ ‘เสือมเหศวร’ และ ‘เสือดำ’ ขุนพันธ์คือไอคอน ตอนที่เขาได้เจอขุนพันธ์ครั้งแรก ได้รู้ว่าจะต้องมาร่วมภารกิจกับขุนพันธ์ จริงๆ มันคือฝันที่เป็นจริง เรารู้สึกว่าเขามีอิทธิพลต่อความฝันในหน้าที่การงานของเราประมาณหนึ่งเลย

ร้อยเอกทัตเทพเป็นนายทหารหนุ่มรุ่นใหม่อนาคตไกล เติบโตมากับวีรกรรมและเรื่องเล่าของขุนพันธ์ตั้งแต่เด็ก ขุนพันธ์คือไอดอล แต่เขาจะไม่เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ เวทมนตร์คาถา เขาเชื่อในยุทธวิธีการสงคราม เชื่อมั่นในการทำภารกิจให้สำเร็จโดยไม่เลือกวิธีการ เขาเป็นหัวหน้าของหน่วยรบพิเศษ จริงๆ แล้วนิยามของหน่วยรบพิเศษคือการปฏิบัติภารกิจโดยใช้การแทรกซึม สืบสวนสอบสวน แต่ทัตเทพทำได้มากกว่านั้น เขาใช้อาวุธได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นปืนสั้น ปืนยาว อาวุธหนัก อาวุธเบา เขาใช้ได้หมด

หลังจากที่ได้รับบทแล้ว ผมก็จะมาคิดหาวิธีที่จะทำงานกับตัวละครตัวนี้ แล้วมันก็จะค่อยๆ เห็นผ่านการเวิร์กชอป การเรียนสกิลต่างๆ ที่ทัตเทพเขาเป็นอยู่แล้ว ขอบคุณทีมงานที่พาผมไปเรียนรู้ทักษะการใช้ปืน เรื่องความปลอดภัยซึ่งมันสำคัญมากๆ ผ่านการออกกองทีละวันๆ เราก็เห็นทัตเทพมากขึ้นเรื่อยๆ ดูออกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ยังไง เขาจะทรงตัวในซีนนี้ยังไง จริงๆ ผมไม่ได้ตัดสินใจเล่นเพราะบทครับ ผมตัดสินใจเล่นเพราะทั้งโปรเจกต์นี้เลย ผมรู้สึกว่ามันน่าสนใจครับ เพราะเราก็ดู ‘ขุนพันธ์’ มาทั้งสองภาคแล้ว รู้สึกว่าไม่มีใครทำแบบพี่โขม ไม่มีใครทำหนังประเภทนี้ได้เท่าเขา ไม่มีงานไหนที่เหมือนขุนพันธ์ เป็นรสชาติที่ค่อนข้างยูนิคจริงๆ แต่พอเรามารับผิดชอบตัวละครทัตเทพ นี่คือหน้าที่ของเรา เราก็จะดูว่าในหนังโดยรวม ทัตเทพทำอะไรในนั้น มันส่งผลต่อหนังยังไง และในฐานะนักแสดง เราจะมีวิธีการแบบไหนที่จะสามารถสร้าง Momentum นั้นให้กับตัวละครได้ เพื่อให้ตัวละครไปสร้าง Momentum ให้กับหนังต่อได้”

สองนักแสดงหญิงมากเสน่ห์และความสามารถ

“ฟ้า ษริกา” และ “พลอย ชิดจันทร์” พลิกคาแร็กเตอร์คุ้นเคย

สู่ความกล้าแกร่งเด็ดเดี่ยวไม่แพ้ชายชาตรี

นอกจากเหล่าตัวละครหลักของเรื่องแล้ว “ขุนพันธ์ 3” ยังมาพร้อมกับหลากหลายตัวละครที่มีแนวคิดและอุดมการณ์ที่แตกต่างกันไป แต่เส้นทางชีวิตของทุกคนกลับต้องมาบรรจบกันเพราะภารกิจจับตาย โดยสองตัวละครหญิงของเรื่องก็มีบทบาทสำคัญที่จะมาขยายแง่มุมในมิติเชิงลึกให้ภาพยนตร์ในด้านที่แตกต่าง พร้อมสร้างปม พลิกผัน และผลักดันให้ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทวีความเข้มข้นน่าติดตามขึ้นไปอีก

คนแรกคือ “สาวิตรี” หมอสาวที่มีแนวความคิดแบบคนรุ่นใหม่ เธอถูกลักพาตัวมาที่ชุมโจรโดย “เสือมเหศวร” เพื่อให้รักษาผู้คนที่เป็นโรคระบาด เมื่อได้มาเห็นถึงความเป็นไปในชุมโจรก็ทำให้เธอเห็นอกเห็นใจชีวิตของผู้คนที่นี่ และพร้อมจะร่วมรบไปกับพวกนอกกฎหมาย งานนี้ผู้กำกับได้เลือก “ฟ้า-ษริกา สารทศิลป์ศุภา” นักแสดงสาวน่าจับตาซึ่งโด่งดังจาก “ฮาวทูทิ้ง…ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ” (2562) ให้มารับบทหมอสาวคนแกร่งผู้เปรียบดั่งดอกฟ้าในชุมเสือ

“เราอยากได้คนที่มีความอ่อนโยน ในขณะเดียวกันก็มีความแข็งแกร่ง และต้องมีหน้าตาเก๋ๆ ‘ฟ้า’ แสดงดีมาก สวยมาก มีเสน่ห์ เป็นคนที่แปลงร่างได้หลายอย่าง ต้องบอกว่าเรื่องนี้สาหัสสากรรจ์นะครับ ฟ้าบอกว่าตั้งแต่เกิดมา หนูไม่เคยเล่นอะไรที่มันโหดร้ายกันขนาดนี้ ดุเดือด เละเทะ แต่ฟ้าสู้นะ สู้แล้วสู้อีก ไม่ว่าจะล้มลุกคลุกคลานยังไงก็ลุยเต็มที่ นางฟ้าชุดขาว มือซ้ายถือเข็ม มือขวาถือปืน นึกภาพคุณหมอที่ในกระเป๋าพยาบาลของเธอ นอกจากจะมีมอร์ฟีน เข็มฉีดยา เข็มเย็บแผล แล้วก็จะมีปืนและแม็กกาซีนอยู่ด้วย ในฉากที่เธอจะต้องเด็ดขาดก็จะมีความเป็นนางโจรซึ่งต่อสู้ได้อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน ขณะเดียวกันเป้าหมายสุดท้ายก็คือการช่วยคนในฐานะของหมอ มันจะย้อนแย้งในความรู้สึกมาก มันก็มีการต่อสู้กันในใจหลายมิติซึ่งฟ้าก็ทำออกมาได้ดี”

นอกจากจะเป็นการลุยกับบทแอ็กชันเดือดเป็นครั้งแรกในชีวิตแล้ว การรับบทหมอสาวในชุมเสือก็ทำให้ “ฟ้า ษริกา” ต้องผ่านการเรียนรู้และเตรียมตัวหลายๆ อย่างเพื่อให้บทบาทที่ได้รับถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสมจริงที่สุด ซึ่งตัวเธอเองก็เต็มที่กับบทนี้ และทำหน้าที่ได้ดีไม่แพ้เหล่านักแสดงชายในเรื่องเลย

“อย่างแรกเลยคือเรื่องวิชาชีพ ต้องมีพื้นฐานเรื่องการปฐมพยาบาล การเย็บแผล และเขาเป็นหมอในยุคสงคราม อุปกรณ์มันก็ไม่ได้เหมือนในยุคปัจจุบัน ฟ้าก็มีไปเวิร์กชอปการปฐมพยาบาล การเย็บแผลเบื้องต้น แล้วก็ทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บต่างๆ คนที่เป็นโรคในยุคนั้น เป็นไข้มาลาเรียสมัยนั้น มันมีอาการเป็นยังไง ต้องรักษายังไง แล้วก็ยังมียิงปืนด้วย เพราะว่าเป็นหมอที่อยู่ในชุมโจรที่ต้องสะพายกระเป๋ายาและพกปืนอยู่ท่ามกลางดงกระสุน คือคนไข้เราก็รักษา แต่ถ้าใครจะมาทำร้ายคนไข้เรา เราก็ยิงเหมือนกัน มันก็เลยต้องยิงปืนเป็น รักษาตัวเองเป็น ก็ต้องมีเรื่องเซฟตี้ ต้องเน้นเรื่องความปลอดภัยหลายอย่าง รวมถึงเบสิกพื้นฐานการเป็นสตันต์ ซึ่งก็ไม่เคยได้เจออะไรแบบนี้ ระเบิดก็เหมือนจริงมาก เพราะมันต้องวิ่งไป แล้วมีระเบิดไป แล้วก็ยิงปืน เลือดกระเด็น พอเห็นของจริงแล้วมันก็รู้สึกว้าว มันส์ค่ะ”

และอีกหนึ่งตัวละครหญิงที่ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของ “ขุนพันธ์” นั่นก็คือ “ครูนุ่น” ภรรยาของขุนพันธ์ที่กำลังตั้งท้องลูกคนแรก เธอเป็นผู้หญิงนิสัยอ่อนโยน เป็นห่วงเป็นใยสามี แต่ขณะเดียวกันเธอก็มีความเข้าใจในหน้าที่การงานของสามี เธอจึงยอมให้เขากลับไปปฏิบัติภารกิจสำคัญอีกครั้ง แม้รู้ว่า ต้องเสี่ยงอันตรายมากก็ตาม

และอีกหนึ่งตัวละครหญิงที่ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของ “ขุนพันธ์” นั่นก็คือ “ครูนุ่น” ภรรยาของขุนพันธ์ที่กำลังตั้งท้องลูกคนแรก เธอเป็นผู้หญิงนิสัยอ่อนโยน เป็นห่วงเป็นใยสามี แต่ขณะเดียวกันเธอก็มีความเข้าใจในหน้าที่การงานของสามี เธอจึงยอมให้เขากลับไปปฏิบัติภารกิจสำคัญอีกครั้ง แม้รู้ว่า ต้องเสี่ยงอันตรายมากก็

ผู้กำกับก้องเกียรติเปิดเผยว่า ครูนุ่นเป็นตัวละครที่จะทำให้คนดูได้เห็นอีกด้านหนึ่งของขุนพันธ์ เป็นมุมสว่างในแบบที่คนดูยังไม่เคยได้เห็นในภาพยนตร์ภาคใดมาก่อน ผู้กำกับตัดสินใจเลือก “พลอย-ชิดจันทร์ ห่ง” ให้มารับบทนี้เพราะความเป็นแม่ในชีวิตจริงของเธอ

“‘พลอย’ มีความเป็นคุณแม่สูงมากครับ เขาเข้าใจคำว่าครอบครัวอย่างถ่องแท้ ด้วยความที่ ‘ครูนุ่น’ เป็นตัวละครที่ทำให้ ‘ขุนพันธ์’ ได้แสดงมุมที่อ่อนโยน โรแมนติก และได้แสดงความเป็นมนุษย์ปุถุชนออกมา ขณะเดียวกันก็ทำให้ขุนพันธ์มีความรู้สึกเกรงใจได้ เราไม่ได้อยากได้คนที่เป็นผู้หญิงเปรี้ยงปร้างถึงจะเอาขุนพันธ์อยู่ เพราะเราเชื่อว่าแรงชนแรงมันไม่ได้ ครูนุ่นต้องเป็นผู้หญิงที่ดูนุ่มนวล มีความเป็นแม่และเมีย ซึ่งพลอยมีลักษณะอย่างนี้อยู่ มันเกิดจากประสบการณ์ที่ต้องดูแลลูกทั้ง 4 คน เขามีความเป็นแม่ มีความเป็นนางพญา แต่ก็มีความอ่อนหวานด้วย ซึ่งพลอยทำได้ดีมากครับ”

การรับบทเป็น “ครูนุ่น” ของนักแสดงสาว “พลอย-ชิดจันทร์ ห่ง” ถือเป็นการหวนคืนจอครั้งแรกในรอบ 15 ปี หลังจากเคยฝากผลงานเอาไว้ในภาพยนตร์เรื่อง “รับน้องสยองขวัญ” (2548) และ “สวยลากไส้” (2550) เธอรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ไตรภาคยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างเรื่องนี้ โดยเฉพาะตัวละครของเธอคือส่วนที่จะทำให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงความอ่อนโยนของ “ขุนพันธ์” เป็นครั้งแรกบนจอภาพยนตร์

“‘ครูนุ่น’ คือผู้หญิงที่มีความเข้มแข็ง ใจเด็ด และเสียสละในสิ่งที่คิดว่ามันคือความถูกต้อง มีอุดมการณ์เดียวกับ ‘ขุนพันธ์’ ที่ยึดมั่นในความดีและความถูกต้อง อะไรถูกเราก็ต้องเลือกให้เขาทำ ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้ถูกใจเราทั้งหมด แต่ว่าเราก็เลือกให้เขาได้ทำสิ่งที่ถูก สิ่งที่ดี และยอมเสียสละให้เขาได้ไปทำสิ่งที่เขารัก เพราะเรารู้ว่าขุนพันธ์รักอาชีพ รักงานมาก ซึ่งพลอยคิดว่าครูนุ่นเป็นผู้หญิงที่เข้าใจขุนพันธ์มากที่สุดค่ะ แล้วที่ผ่านมาส่วนใหญ่เราได้เห็นขุนพันธ์ในหนังชุดนี้จะเป็นซีนบู๊ตลอด แต่ตัวละครครูนุ่นจะทำให้คนดูได้เห็นว่าเวลาที่ต้องอยู่กับครอบครัว อยู่กับคนรัก ท่านขุนพันธ์จะเป็นยังไงค่ะ”

ปลุกอาคมอาวุธคู่ใจ “ขุนพันธ์”

ฤทธานุภาพแห่ง “ดาบแดง” แรงกำราบสิ้นทุกมนตร์ดำ

ตั้งใจให้ “ขุนพันธ์ 3” อัดแน่นไปด้วยความบันเทิงคุ้มค่าให้สมกับที่แฟนๆ รอคอย งานนี้ผู้กำกับ “โขม ก้องเกียรติ” และทีมงานจึงได้ครีเอตฉากแอ็กชันสุดตระการตาให้ผู้ชมตื่นตาตื่นใจกับความมันส์ระทึกแบบนั่งไม่ติดเก้าอี้นับ 10 ฉาก ตั้งแต่ต้นไปตลอดทั้งเรื่องจนถึง End Credit กันเลยทีเดียว ทั้งภารกิจของตัวละคร ปมปริศนาและการไขหาคำตอบ รวมไปถึงหลากหลายฉากการต่อสู้ การใช้ฤทธานุภาพ อาวุธ อาคม รวมไปถึงเหล่าบรรดาศัตรูร้าย อำนาจมืดที่แฝงตัวมาในหลากหลายรูปแบบที่ “ขุนพันธ์” จะต้องเผชิญหน้า และครั้งนี้ความเป็นความตายจะท้าทายยิ่งขึ้น เมื่อความคงกระพันของขุนพันธ์เริ่มเสื่อมสลายลง

“แน่นอนว่ามันคืองานยากและมันเหนื่อย มันหนักในทุกองค์ประกอบ แต่เราตั้งใจวางแผนทำงานกันอย่างละเอียดทุกอย่าง และแน่นอนในความเป็นหนังแอ็กชัน ‘ขุนพันธ์’ ความสนุกท้าทายยังคงเต็มไปด้วยสารพัดคาถาที่เวียนมา ไม่ว่าจะเป็นการหายตัว วิชาคงกระพัน นอกจากขุนพันธ์เป็นเอกอุเรื่องคงกระพัน ยิงแทงฟันไม่เข้า วิชาตาทิพย์ การมองเห็นได้ในที่มืด หรือการสนทนากับคนตาย เราจะได้เห็นวิชาที่ถูกเพิ่มขึ้นที่เรายังไม่ได้เห็นหรือยังเห็นไม่ชัดในภาคอื่น ภาคนี้ก็จะได้เห็นหลายๆ อย่างชัดขึ้นครับ รวมไปถึงอาวุธ เราก็จะได้เห็น ‘ดาบแดง’ ในหนังภาคนี้อย่างจริงจังมากขึ้น อิทธิฤทธิ์ของดาบแดงก็คือสามารถฟันคนมีของเข้า ฟันภูตผีปีศาจได้”

นอกจาก “ดาบแดง” แล้ว อาวุธใหม่อีกชนิดที่จะได้เห็นขุนพันธ์ใช้ในการฟาดฟันใส่ศัตรู และกลายเป็นฉากต่อสู้แนวใหม่ก็คือการใช้ “ปืนสั้นติดปลายมีด” ซึ่งขุนพันธ์สามารถใช้อาวุธชนิดนี้ได้อย่างคล่องตัว สามารถยิงใส่ศัตรูในระยะไกล แต่ขณะเดียวกันก็สามารถปรับใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้แบบประชิดตัวได้อีกด้วย ถือเป็นอาวุธชนิดใหม่ที่ผู้กำกับและ “โปรดักชันดีไซเนอร์” (ธนา เมฆาอัมพุท) ช่วยกันคิดไอเดียและสร้างสรรค์ขึ้น โดยเกิดมาจากการคิดหาวิธีประกอบมีดสั้นที่ขุนพันธ์พกติดตัวอยู่ตลอดเวลา ติดเข้ากับช่องใส่แม็กกาซีนของปืนลูเกอร์ จนเกิดเป็นอาวุธที่แตกต่างและดูแปลกตา เสริมให้ฉากแอ็กชันต่อสู้ของขุนพันธ์มีความแปลกใหม่และแตกต่างในแบบที่คนดูยังไม่เคยเห็นมาก่อน

ทุกโลเคชันที่เฟ้นหา สุดตื่นตาตระการใจ

แหล่งอันซีนทั่วไทย เนรมิตฉากไฮไลต์สุดยิ่งใหญ่

เพื่อให้ได้ภาพที่มีความยิ่งใหญ่ ตระการตา ตื่นเต้น สมจริง และนำพาคนดูร่วมเดินทางไปพร้อมภารกิจจับเสือเจ้าอาคมที่เต็มไปด้วยภยันตรายพร้อมจะคร่าชีวิตและสูบกินจิตวิญญาณของตัว “ขุนพันธ์” ให้ตรงตามจินตนาการของผู้กำกับ “โขม ก้องเกียรติ” ที่มีทั้งโจรเสือ ผู้คน และอำนาจมนตร์ดำอันลี้ลับซ่อนเร้นอยู่ในทุกพื้นที่และเรื่องราว “ธนะ เมฆาอัมพุท” ผู้ออกแบบงานสร้างพร้อมทีมงานจึงออกเดินทางเพื่อตระเวนหาโลเคชันทั่วประเทศ ถึงแม้ว่าจะต้องบุกป่า ฝ่าเขา ลุยน้ำ ล่องแก่ง ปีนหน้าผา เดินทางไปค้นหาหลากพื้นที่ในหลายจังหวัดที่สามารถตอบโจทย์ทั้งบรรยากาศและวิชวลจากบทภาพยนตร์ได้มากที่สุด

<< “แก่งกินศพ” ดินแดนลี้ลับที่ล้อมรอบด้วยลำน้ำเชี่ยวกราก >>

และในที่สุด “ขุนพันธ์ 3” ก็ได้สถานที่ถ่ายทำสมความตั้งใจที่อยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็น “อุทยานแห่งชาติแม่จริม / วังศิลาแลง” (จังหวัดน่าน), “อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย” (จังหวัดสระบุรี), “ป่านพวงศ์” (จังหวัดปทุมธานี), โลเคชันในเขตจังหวัดกาญจนบุรี, นนทบุรี, กรุงเทพ ฯลฯ

โดยเปิดกล้องถ่ายทำในที่ที่สวยที่สุดและโหดที่สุดอย่าง “แกรนด์แคนยอนเมืองไทย” ท่ามกลางสายน้ำและธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติแม่จริม จังหวัดน่าน เพื่อถ่ายทอดเส้นทางอันเต็มไปด้วยอุปสรรคและความยากลำบากแสนสาหัสที่ “ขุนพันธ์” และ “ร้อยเอกทัตเทพ” พร้อมด้วยเหล่าเจ้าหน้าที่จะต้องล่องแพผ่านกระแสน้ำเชี่ยวเพื่อเข้าไปยังชุมโจร ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ปักหลักถ่ายทำกัน ณ ที่แห่งนี้ ทั้งทีมนักแสดงและทีมงานต้องทำงานกันในน้ำตลอดเวลา ต้องใช้พละกำลังในการเดิน ลุยน้ำ พายเรือ ถ่อแพ และที่สำคัญทุกคนต้องร่วมกันล่องแก่งที่มีความเชี่ยวกรากและอันตรายอยู่ในระดับที่ 3 (จากทั้งหมด 5 ระดับ)

“เราตั้งใจให้มันเป็นชุมโจรที่เข้าถึงยากเพราะมันมีหุบเขาสูงล้อมรอบติดกันเป็นปราการล้อมไว้ทั้งหมด และทางเข้าออกมีทางน้ำเป็นเส้นทางหลัก ซึ่งลำน้ำที่เข้าไปก็ลำบาก กระแสน้ำเชี่ยวกราก ต้องล่องแพ เราก็เลยเลือก ‘อุทยานแห่งชาติแม่จริม จังหวัดน่าน’ เพราะเราอยากได้แลนด์สเคปของที่นั่น และเป็นฉากที่จะต้องล่องแก่งผจญภัยกันก่อนจะเข้าไปถึงชุมโจรได้ ต้องเจอกับความลำบากจากธรรมชาติของเกาะแก่งที่เรียกกันว่าแกรนด์แคนยอนเมืองไทย ซึ่งทั้งสนุก ตื่นเต้น และน่ากลัวในเวลาเดียวกัน แต่เราก็ได้ภาพที่ดีมากครับ”

และเพื่อความปลอดภัยของทั้งนักแสดงและทีมงาน ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการถ่ายทำฉากนี้ต้องผ่านการเวิร์กชอปฝึกพายเรือ โดยได้คนควบคุมและพายเรือที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากอุทยานจริงๆ มาเข้าฉากถ่ายทำด้วย จนได้ภาพที่ทำให้สัมผัสได้ทั้งความโหดระทึกและความสวยงามของธรรมชาติ

ความท้าทายอีกประการหนึ่งที่ทีมงานต้องเผชิญกับการถ่ายทำฉากล่องแก่งในลำน้ำที่มีเกาะแก่งและกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากนี้ การถ่ายทำต้องเดินหน้าไปเรื่อยๆ ไม่สามารถย้อนหลังกลับไปถ่ายทำ ณ จุดเดิมได้ เนื่องจากขบวนเรือและแพที่ใช้ในการถ่ายทำจะต้องล่องไปตามสายน้ำจริงๆ ทุกแผนกในกองถ่ายจึงต้องวางแผนการทำงานร่วมกัน เพื่อให้การถ่ายทำเกิดขึ้นแบบน้อยเทกที่สุด และต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของทุกคนเป็นหลักด้วย

“สิ่งที่เราอยากได้จากฉากนี้มันค่อนข้างยากมากครับ และมีเรื่องของปัจจัยต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นดินฟ้าอากาศ เรื่องเทคนิค มีทุกอย่าง มีคอสตูม พร็อป มันไม่ใช่งานสแตนดาร์ดทั่วไป ผมเองก็เคยคิดว่ามันคงต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้น ผมไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายนะ แต่แค่คิดว่ามันก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้น เช่น แพแตก เรือล่ม คนเจ็บ แต่กลับกลายเป็นว่า 4 วันแรกที่ถ่ายที่น่านคือราบรื่นมาก จนผมแปลกใจ (หัวเราะ) ไม่มีปัญหาเรื่องฝน ไม่มีปัญหาเรื่องแพ ลงแก่งไป ไม่มีใครตกเรือ ไม่มีใครเจ็บ แต่ผมคงต้องบอกว่ามันราบรื่นแค่ 4 วันแรกนี้แหละครับ (หัวเราะ) ที่เหลือไม่มีอะไรง่ายสักอย่าง” อนันดาเผยความรู้สึกและเบื้องหลังการถ่ายทำ

เวลาผ่านไปไม่ถึง 12 ชั่วโมงหลังจากผ่านการลุยน้ำล่องแก่งมาหมาดๆ ทุกชีวิตในกองถ่าย “ขุนพันธ์ 3” ก็ต้องต่อเนื่องด้วยงานโหดหินอีกครั้งทันที เพราะต้องปีนหน้าผาหินสูงเมื่อผู้กำกับเคลื่อนทัพไปปักหลักถ่ายทำกันต่อที่ “วังศิลาแลง” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่โด่งดังของจังหวัดน่าน โดยสภาพของโลเคชันแห่งนี้เป็นธารน้ำที่ไหลผ่านซอกหินผา เป็นความงดงามแปลกตาที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ความสวยงามที่จะได้เห็นกันบนจอนั้นต้องแลกมาด้วยการถ่ายทำที่ยากลำบากที่สุด

“ความยากของการถ่ายทำที่ ‘วังศิลาแลง’ มันยากในแง่ของความชันและความสูงครับ” ผู้กำกับเล่า “เราต้องขึ้นไปทำงานเสี่ยงอันตรายแต่ได้ภาพที่สวยงามมาก เพราะมันเป็นตรอกหินที่ซึ่งตัวละครต้องถูกไล่ล่าโดยอะไรบางอย่าง มันเป็นความสวยที่แลกมาด้วยความยากครับ ทีมงานหลายคนเกือบจะลื่นพลัดตกลงไปจากหน้าผา ตัวผมเองก็ต้องเกาะอยู่ริมหน้าผา และมีมอนิเตอร์เล็กๆ ห้อยคอ แล้วล็อกตัวเองเอาไว้กับหน้าผา ถ้าพลาดนิดเดียวก็อาจเป็นอันตรายได้ ต้องมีสติมากๆ แต่เราก็ทำงานกันด้วยความระมัดระวัง สุดม้ายเราก็ได้ภาพที่สวยงามจริงๆ ครับ”

<< ปะทะอาคมมนตร์จระเข้ยักษ์ แฝงคมเขี้ยวพร้อมบดขยี้ทุกชีวิตที่ย่างกรายใกล้ >>

เพื่อไปให้ถึงที่สุดแห่งความมันส์ ภาคนี้ผู้กำกับยังได้ทวีคูณความท้าทายไปอีกขึ้น ด้วยการเลือกอุปสรรคขนาดมหึมาที่มาพร้อมคมเขี้ยวอันตรายที่พร้อมดับชีวิตศัตรูทุกคนที่ล้ำเข้ามาในพื้นที่ของถ้ำเสือ นั่นก็คือ “จระเข้ยักษ์” ที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในลำน้ำมืด พร้อมออกล่าและกัดกินทุกร่างที่เข้ามาในพื้นที่อย่างไม่ลังเล

“ในภาคนี้ มันมีความพิเศษขึ้นมาคือสิ่งที่เราเรียกว่าการต่อสู้กับอสูรกาย มันมีจระเข้หนึ่งในวิชาอาคมที่น่ากลัวที่สุดคือ ‘มนตร์จระเข้’ เราคุยกันมาตั้งแต่ต้น เราเตรียมงานกันมาตั้งแต่ก่อนจะเปิดกล้อง เพราะมันต้องใช้เวลาทำงานยาวนานมาก ตั้งแต่เริ่มต้นงานประณีตตั้งแต่ออกแบบว่ามันจะต้องมีขนาดไหน เราซีเรียสที่สุดกับการเคลื่อนไหว ไม่อยากได้โฟมลอยน้ำ เราอยากได้การเคลื่อนไหวที่ทำให้รู้สึกว่าเฮ้ย…คนไทยก็ทำได้ มันเป็นความทะเยอทะยาน ความพยายาม โอเคแหละเพื่อความสนุกในตัวหนังด้วย มันมีความท้าทาย มันเป็น Challenge ของคนทำงาน เมื่อมันเกิดความท้าทายว่าถ้าเกิดเราทำได้ เราก็ไปอีกขั้นหนึ่ง เราจะทำให้หนังไทยมันไปอีกขั้นหนึ่ง มันต้องเหมือน และเราเชื่อว่าฝีไม้ลายมือของทีมซีจีวิชวลเอฟเฟกต์ในประเทศไทย วันนี้มันสามารถทำได้ เครื่องไม้เครื่องมือเทคโนโลยี มันทำให้เราฝันได้ เรื่องจระเข้ก็เกิดขึ้น” 

ลงรายละเอียดทุกด้าน ถ่ายทอดเสน่ห์ภาพยนตร์แอ็กชันพีเรียด

ละเมียดผ่านงานดีไซน์เสื้อผ้า หน้าผม โดยทีมออกแบบงานสร้างระดับมือรางวัล

ในสองภาคแรกนั้น สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์คือการนำเสนอความเป็นภาพยนตร์แอ็กชันไทย โดยต้องอิงอยู่กับยุคสมัยที่เรื่องราวเกิดขึ้น มาในภาค 3 นี้ ไอเดียได้รับการสานต่อและพัฒนาไปอีกหลายระดับขั้น “นิรชรา วรรณาลัย” (เจ้าของรางวัลสุพรรณหงส์ สาขาออกแบบเครื่องแต่งกายจาก “ขุนพันธ์ 1-2”) กลับมารับหน้าที่ออกแบบเสื้อผ้าในภาคล่าสุดนี้

“เมื่อมาถึงภาค 3 เราต้องมีการพัฒนางานต่อ เราอยากให้มันมีความเป็นสากลเข้ามาด้วย แต่ต้องยึดความเป็นสากลในยุคสมัยนั้นมาผสมกับไทยให้มันลงตัว เช่น อาจมีใส่สูทที่เป็นสากลเพิ่มมาในแก๊งเสือต่างๆ แต่เป็นการผสานกับความเป็นไทยที่อยู่ในเสื้อผ้าและวัฒนธรรมของเราสมัยนั้น”

นิรชราได้ทำการค้นคว้าข้อมูลตามยุคสมัยอย่างละเอียดเพื่อให้คนดูได้เห็นถึงวิวัฒนาการของสังคมไทยผ่านเสื้อผ้าที่ตัวละครสวมใส่

“อย่างตัว ‘ขุนพันธ์’ เมื่อมาถึงภาคนี้ เรามีการปรับแต่งในเรื่องงานดีไซน์ชุดตำรวจ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงของเครื่องแบบตำรวจจากเดิมเป็นเครื่องแบบใหม่ ซึ่งเราก็ได้ข้อมูลจากการรีเสิร์ชว่ามีการเปลี่ยนแบบไปในยุคของเหตุการณ์ในภาค 3 นี้พอดี”

“เสือมเหศวร” ถือเป็นตัวละครที่มีการออกแบบชุดมากที่สุดในบรรดาตัวละครทุกตัวใน “ขุนพันธ์ 3” ซึ่งแต่ละชุดผ่านการกลั่นกรองรายละเอียดในเรื่องของยุคสมัย การใช้งาน และความโดดเด่นที่จะต้องขับเน้นให้ตัวละครเสือมเหศวรดูน่าสนใจ

“‘เสือมเหศวร’ ต้องปลอมตัวหลายครั้งเพื่อปิดบังตัวตน เราต้องนั่งคุยกับพี่โขมและโปรดักชันดีไซเนอร์ว่าเราจะทำยังไงให้บุคลิกของเขาโดดเด่นขึ้นมา เราก็มีการหาข้อมูลอ้างอิง มีลุกส์หนึ่งของเขาที่เราออกแบบเป็นสไตล์ ‘ลูแปง’ ซึ่งเป็นคาแร็กเตอร์ที่โดดเด่นในยุคนั้น เราก็หยิบเขามาใช้เป็นแรงบันดาลใจในหนังเรื่องนี้ด้วยค่ะ”

“เสือดำ” คือตัวละครที่เสื้อผ้าหน้าผมเป็นสิ่งที่สะท้อนความเป็นตัวตนและความคิดของตัวละครได้อย่างชัดเจน

“เสือดำเป็นตัวละครที่มีปมและมีคาแร็กเตอร์ที่ดูดุดัน เขาเป็นผู้นำแก๊งเชิ้ตดำ เราเลยวางเขาไว้ในโทนดำหรือเทาเข้ม และให้มีความเท่ โตโน่เป็นคนที่ทำการบ้านมาดีมาก เขาจะมีการรีเสิร์ชของเขามา เขามาบอกเราว่า ‘พี่ เสือดำที่ผมรีเสิร์ชมาเขามีฟันทองนะ ฟันดำนะ ไว้หนวดแบบนี้’ เขามีไอเดียที่เอามาแชร์กับเราได้ ซึ่งดีมากๆ เลยค่ะ”

นอกจากเสื้อผ้าแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นจุดเด่นของตัวละครเสือดำก็คือ “รอยแผลเป็น” ซึ่งผู้กำกับได้เรียกตัว “อาภรณ์ มีบางยาง” (เจ้าของรางวัลสุพรรณหงส์จาก “ขุนพันธ์ 2”) ให้กลับมาทำหน้าที่แต่งหน้าเทคนิคพิเศษอีกครั้ง

“ใน ‘ขุนพันธ์ 3’ ตัวละครที่ต้องมีการแต่งหน้าเทคนิคพิเศษมากที่สุดก็คือ ‘เสือดำ’ ครับ เขาจะมีรอยแผลเป็นที่ด้านขวา ซึ่งรอยแผลเป็นมันจะบอกเล่าว่าเคยเกิดอะไรขึ้นกับเขา ทำไมเขาถึงมีแผลเป็น และทำไมเขาถึงเกิดความคับแค้น มันเป็นปมในจิตใจ ซึ่งรอยแผลเป็นนี้เราต้องทำชิ้นเนื้อมาติดที่แขนและต้องทำรอยบากที่หน้าของเสือดำครับ”

นิรชรายังพูดถึงการออกแบบเสื้อผ้าซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างบุคลิกโดดเด่นให้กับตัวละครนายทหารรุ่นใหม่อย่าง “ร้อยเอกทัตเทพ” (เอม ภูมิภัทร) อีกด้วย

“บุคลิกของ ‘ทัตเทพ’ คือเขาเป็นทหาร เราก็ต้องรีเสิร์ชเรื่องชุดทหารในยุคสมัยนั้นว่าใช้สีอะไร ใช้ผ้าอะไร แต่เขาก็จะไม่ได้ใส่ชุดทหารทั้งเรื่อง มีการใส่สูท ซึ่งชุดสูทที่เขาใส่ก็มีพัฒนาการอยู่ตลอด เมื่อเขาต่อสู้ก็จะมีการเพิ่มเลเวลของความเลอะเทอะให้มันสมกับคาแร็กเตอร์ของเขาค่ะ”

อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของทัตเทพก็คือ “แว่นตาดำ” ซึ่งนิรชรายอมรับพร้อมเสียงหัวเราะว่านี่คือข้อเรียกร้องของผู้กำกับโดยตรง

“พี่โขมจะมีดีเทลเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละคาแร็กเตอร์ อย่างแว่นและหมวกซึ่งมันจะช่วยเน้นคาแร็กเตอร์ให้เด่นชัดขึ้น ด้วยความที่พี่โขมอยากให้ทัตเทพดูเป็นนักเรียนนอกก็เลยอยากให้ใส่แว่นกันแดดที่ดูโดดเด่น แต่ขณะเดียวกันก็อยากให้เห็นแววตาของตัวละคร เราก็เลยไม่ได้ใช้เลนส์สีดำแต่เลือกให้เป็นสีชา ซึ่งมันกลายเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ทัตเทพดูพิเศษขึ้นมาจริงๆ”

เมื่อต้องออกแบบเสื้อผ้าให้กับตัวละครหญิงอย่าง “สาวิตรี” (ฟ้า ษริกา) ที่นอกจากจะเป็นคุณหมอแล้ว เธอยังมีฉากต้องบู๊ไม่น้อยหน้าเหล่าตัวละครชาย งานนี้จึงกลายเป็นความท้าทายในการออกแบบเสื้อผ้าไม่น้อย

“‘สาวิตรี’ ถือเป็นโจทย์ยากโจทย์หนึ่ง และเราต้องแก้ไขอยู่หลายรอบ ตอนแรกเราใช้ลุกส์คุณหมอโดยต้องดูเป็นผู้หญิงในยุคนั้น แต่พอลองทำแบบนั้นเรารู้สึกว่าคาแร็กเตอร์เธอยังไม่โดดเด่นออกมา เราเลยเปลี่ยนมาเป็นลุกส์ที่ดูทอมบอย ซึ่งในยุคนั้นจะมีผู้หญิงที่เริ่มเปลี่ยนมาใส่กางเกงเยอะขึ้น เราให้เธอใส่เสื้อเชิ้ตผู้ชายตัวใหญ่ๆ ใส่กางเกงตัวใหญ่ขึ้น แล้วใส่เสื้อกาวน์ของหมอทับไปเพื่อคงคาแร็กเตอร์ของหมอเอาไว้ ทำให้เธอดูเป็นหมอที่มีความแกร่ง แต่ก็ยังมีความหวานอยู่ในตัว เช่นมีผ้าผูกผมที่มาช่วยดร็อปลุกส์ทอมบอยไม่ให้ดูแกร่งเกินไปค่ะ”

ประจัญบานครั้งสุดท้าย “The Last Battle”

ปลดแอกความมันส์ระทึก กับฉากแอ็กชันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน “จักรวาลขุนพันธ์”

นับเป็นฉากไฮไลต์ของ “ขุนพันธ์ 3” ที่จะต้องได้รับการบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ของภาพยนตร์แอ็กชันบล็อกบัสเตอร์ของไทย และเป็นอีกหนึ่งฝันที่ผู้กำกับ “โขม ก้องเกียรติ” บ่มเพาะจากจินตนาการผ่านตัวอักษร และเสกสรรให้กลายเป็นเฟรมภาพที่โลดแล่นเคลื่อนไหวจริงกับฉากที่เป็น “ที่สุดของไตรภาคขุนพันธ์” แบบนันสต็อปสะกดลมหายใจที่จะปรากฏให้เห็นกันบนจอภาพยนตร์ใหญ่สะใจในฉาก “The Last Battle การประจัญบานครั้งสุดท้าย” ที่ผู้กำกับได้รวมทีมนักแสดงและทีมงานทุกภาคส่วนกว่า 300 ชีวิต ตะลุยถ่ายทำนานถึง 10 วันเต็ม เพื่อให้ได้ฉากรวมพลฝ่ายขุนพันธ์และฝ่ายศัตรูมาห้ำหั่นกันไม่มียั้ง ขนทุกอาวุธศาสตราและทุกอาคมที่มีมาถล่มสาดใส่กัน ซึ่งถือเป็นฉากสุดยิ่งใหญ่ที่ผู้กำกับจินตนาการขึ้น และมอบโจทย์ให้กับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยกันสานฝันใหญ่ครั้งนี้ให้เป็นจริงขึ้นมา

“มันเป็นฉากใหญ่ ฉากสำคัญ เป็นฉากประจัญบาน การถล่มชุมเสือครั้งสุดท้าย เหล่าเสือทุกคนจะต้องปกป้องผู้คนที่ไม่ควรจะต้องตาย มันคือการรวมพลครั้งสุดท้าย นี่คืองานไตรภาคที่ใช้เวลาสร้างนานถึง 10 ปีนะครับ มันก็ต้องเต็มที่ เพราะงั้นตั้งแต่ภาพในจินตนาการตอนที่ผมเขียนบทจนสเก็ตช์ออกมาเป็นสตอรีบอร์ด การไปดูพื้นที่ ตอนนั้นทุกคนมองผมแล้วพูดว่า ‘เอาจริงเหรอพี่ เราจะตายกันไหม มันจะได้เหรอ’ ผมก็บอกว่า ‘เฮ้ย…มันมาขนาดนี้แล้ว เราต้องสู้ไปให้สุด’ เราเชื่อว่านี่คือของขวัญที่เราจะให้คนดูได้ในฐานะที่เขาติดตามหนังของเราที่เดินทางยาวนานมาถึงสิบปี เราต้องตอบแทนเขาด้วยสิ่งนี้ครับ”

ผู้กำกับ “โขม ก้องเกียรติ” ย้อนเล่าถึงบรรยากาศโคตรเดือดตอนถ่ายทำฉากใหญ่นี้ ซึ่งเดือดทั้งเหตุการณ์ในเรื่องและสภาพอากาศที่ต้องถ่ายทำกลางแดดแผดเผาอย่างไร้ความปรานีที่ร้อนระอุระดับ 42 องศา ขนาดที่ทำให้ระเบิดเอฟเฟกต์ที่ถูกฝังอยู่ที่พื้นเกิดจุดระเบิดตัวเอง

“เอฟเฟกต์ระเบิดที่ฝังอยู่กับพื้นตอนที่เราถ่ายทำส่วนหนึ่งของฉาก ‘The Last Battle’ โดนความร้อน 42 องศาของเมืองกาญจนบุรี จนมันเกิดจุดระเบิดขึ้นมาเองเลยครับ อยู่ดีๆ มันก็ระเบิดตู้ม! เพราะว่าในพื้นมันร้อนมาก แต่โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ เราต้องถ่ายทำกันต่อท่ามกลางอากาศร้อนระดับร้องไห้เลยครับ ผมรู้สึกเลยว่ามันร้อนอะไรขนาดนั้น ไหนจะมีโควิดที่เราจะต้องระวังกันอีก ต้องตรวจเช็กกันตลอด ระวังทุกอย่าง แต่เราก็ไม่หยุดครับ ไม่มีใครยอมถอยเลยแม้จะเหนื่อยสาหัสสากรรจ์ แต่มันเป็นความเหนื่อยที่เราเลือกแล้วว่ามันจะได้ผลที่คุ้มค่าครับ

ผู้กำกับได้ให้เครดิตฉากนี้กับทีมนักแสดงและทีมงานทุกคนที่ช่วยกันทุ่มเทจนทำให้ได้ภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจบนจอภาพยนตร์

“ทุกๆ ครั้งที่เราทำ ‘ขุนพันธ์’ เราไม่อยากซ้ำเดิมอยู่กับที่ครับ เมื่อมาถึงภาค 3 การรบพุ่งครั้งสุดท้าย ซึ่งจะเป็นฉากปิดไตรภาค มันได้รวมความยากของทุกองค์ประกอบการทำงานของหนังเอาไว้ทั้งหมดครับ การจะทำทั้งหมดนี้ให้สำเร็จได้ มันจำเป็นที่เราจะต้องมีเป้าหมายเดียวกัน ทุกคนต้องเชื่อว่ามันมีคุณค่า เป็นคุณค่าที่ทุกคนมองเห็นว่ามันคุ้ม ผมต้องขอบคุณทุกคนที่เมื่อผมเล่าถึงภาพของฉากนี้ออกไป แล้วทุกคนอยากเห็นมันร่วมกัน ทุกๆ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นทีมอาร์ต ทีมเอฟเฟกต์ ทีมคิวบู๊ สตันต์ทุกคนที่พร้อมเจ็บ พร้อมลุย เวลามีคนมากมายมหาศาลขนาดนี้ ความแม่นยำเป็นสิ่งจำเป็น เพราะมันไม่ง่ายเลยครับ”

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดวลกันแบบตัวต่อตัวระหว่าง “ขุนพันธ์” กับ “เสือดำ” ที่จัดเต็มทั้งอาวุธและอาคม เป็นซีนเดือดที่ต้องถ่ายทำติดต่อกันถึง 2 วัน 2 คืน โดยนักแสดงและทีมงานร้อยกว่าชีวิตต่างทุ่มสุดตัวสุดฝีมือเพื่อบันดาลฉากนี้ให้ออกมาแปลกตา ตื่นใจ เดือดพล่าน และที่สำคัญคือลุ้นระทึกสุดเข้มข้นจนวินาทีสุดท้าย

“ทันทีที่สั่งแอ็กชัน ไม่มีใครเป็น ‘โตโน่’ ไม่มีใครเป็น ‘อนันดา’ แล้วครับ พวกเขากลายเป็นตัวละคร อัดใส่กันแบบไม่ยั้ง ‘เสือดำ’ ปล่อยพลังแห่งความเกลียดเคียดแค้นออกมาเต็มที่ ขณะที่ ‘ขุนพันธ์’ ก็ต้องต่อสู้เต็มที่ นอกจากแอ็กชันแล้วยังมีดราม่าสำคัญที่ซ่อนอยู่ เป็นฉากที่เหนื่อยกันทุกคนครับ ทำงานเสร็จก็หมดสภาพกันเลย เพราะต้องใช้พลังกันเยอะมาก ผมว่าสำหรับคนดูก็จะได้เห็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับหนังสไตล์นี้

เราต้องซ้อมก่อน และมาลองเทสต์บวกกับพวกอาร์ต พร็อปที่ต้องโยน ต้องล้ม ต้องกลิ้ง ทั้ง ‘มาริโอ้’ และ ‘อนันดา’ ก็ฝึกซ้อมจนเขามั่นใจว่าเขาเล่นเองได้และเขาก็ทำได้ดีทั้งคู่ เราก็อยากให้เป็นซีนที่สนุก เราก็สร้างอุปสรรคให้ตัวละครไม่ว่าจะเรื่องของพื้น เรื่องของนั่งร้านที่เราสร้างขึ้นมา จริงๆ แล้วขนาดสตันต์เองยังยากเลยเวลาเล่น แต่มาริโอ้และอนันดาเป็นนักแสดงที่มีสปิริตสูงมาก ทั้งสองคนไม่มีบ่นเลย จะซ้อมกี่ครั้ง จะถ่ายกี่เทก พวกเขาอัดกันเต็มที่ พอผ่านมาแล้วถึงมาร้องว่าปวดๆ (หัวเราะ) ต้องยอมรับสปิริตของทุกคนจริงๆ ที่เต็มที่กับฉากนี้มากครับ เป็นซีนที่สนุกมากๆ ครับ นอกจากจะทำงานด้วยความสนุกแล้ว สิ่งที่ได้ออกมาก็สนุกไม่แพ้กันครับ”

ปิดตำนานไตรภาค ระดมความมันส์เต็มอาคม

ตอกย้ำแก่นแท้แห่งชีวิต บทสรุปส่งท้าย ท้าทายศรัทธาไม่สิ้นสุด

“แก่นหรือหัวใจสำคัญของภาพยนตร์ชุด ‘ขุนพันธ์’ ที่ทำมาโดยตลอด คือสะท้อนสภาพบริบททางการเมือง ทางความเชื่อของผู้คน ความศรัทธาที่ไม่ได้เพียงแค่พูดว่าจงศรัทธา แต่พูดเรื่องบางทีความศรัทธามันก็ถูกท้าทาย บางทีความอยุติธรรมอาจมีอำนาจเหนือแรงศรัทธาในความถูกต้องก็ได้ มันตีความได้หลายอย่าง ศรัทธาในของขลังไสยศาสตร์ ศรัทธาในความดี ศรัทธาในหน้าที่ ที่ตัวละครขุนพันธ์ตรงกับตัวจริงท่านก็คือการศรัทธาในหน้าที่ การเป็นคนยอมหักไม่ยอมงอ เพียงแต่ว่าความเด็ดขาดของท่านมันก็มีเหตุมีผล และมีความเมตตา เราจะเห็นบทสำคัญที่ตัวละครตัวนี้พูดมาตั้งแต่ภาคแรก เปิดเรื่องมาเลยก็คือการให้โอกาส ทุกครั้งที่จะจับโจรท่านจะพูดคำว่า ‘ถ้ามึงเลิกเป็นโจร และไปบวชซะ กูจะจับเป็นมึง’ อันนี้มันสะท้อนถึงความมีใจนักเลงของท่าน คาแร็กเตอร์ของตัวละครแบบนี้มันสนุก มันมีความเป็นฮีโร่ และมันก็เป็นฮีโร่ที่ถูกตั้งคำถามได้ ในทางกลับกัน ตัวผมเองเวลาทำงานกับตัวขุนพันธ์ ตัวขุนพันธ์มีความเทาๆ อยู่เยอะ ไม่ได้ขาวใสสะอาด ด้วยงานและภารกิจหน้าที่หลายๆ อย่างที่ท่านต้องไปทำ มันมีการแฝงตัว การปลอมตัวไปเป็นโจร คือตัวท่านเองก็มีความย้อนแย้งอยู่ในตัวว่าตกลงอะไรมันดี อะไรมันเลว อะไรมันขาว อะไรมันดำ เหล่านี้คือมิติ คือที่มาที่ไปของเรื่องๆ นี้ครับ เพราะงั้นตัวละครผู้ร้าย ไม่ว่าผู้ร้ายจะมาในรูปของการเมือง มาในรูปของปีศาจ มาในรูปของคาถาอาคมที่แปลกใหม่ มาในรูปของเสือต่างๆ ทั้งหลายล้วนมาด้วยเป้าหมายเดียวก็คือท้าทายความเชื่อและศรัทธาของตัวขุนพันธ์ซึ่งเดินทางมาตลอด 10 ปี ตัวละครขุนพันธ์เป็นตัวแทนการตั้งคำถามกลับไปหาคนดูว่า ไอ้ความดีเนี่ยมันเชื่อได้ไหม เรายังเชื่อมันได้อยู่ไหม หรือจริงๆ แล้วมันเป็นแค่คำพูดสวยหรูหลอกเด็กหรือเปล่า”

“โขม-ก้องเกียรติ โขมศิริ” ผู้กำกับ “ขุนพันธ์ 3”

ปิดตำนานไตรภาค ระดมความมันส์เต็มอาคม