· ชื่อเรื่อง: Road House (คนเดือดบวกเมืองเถื่อน)

· ผู้กำกับ: ดั๊ก ไลแมน (Doug Liman)

· บทภาพยนตร์โดย: แอนโทนี บาการอซซี (Anthony Bagarozzi), ชาร์ลส มอนดรี (Charles Mondry)

· อ้างอิงจาก: บทภาพยนตร์เรื่อง Road House โดยเดวิด ลี เฮนรี (David Lee Henry) และฮิลารี เฮนกิน (Hilary Henkin)

· เรื่องโดย: แอนโทนี บาการอซซี (Anthony Bagarozzi), ชาร์ลส์ มอนดรี (Charles Mondry), เดวิด ลี เฮนรี (David Lee Henry)

· ผลิตโดย: โจเอล ซิลเวอร์ (Joel Silver) p.g.a.

· ผู้อำนวยการสร้างบริหาร: เจเจ ฮุค (JJ Hook), อลิสัน วินเทอร์ (Alison Winter), แอรอน ออช (Aaron Auch), ออดี้ อัตทาร์ (Audie Attar)

· นักแสดง: เจค จิลเลนฮาล (Jake Gyllenhaal), ดาเนียลา เมลคิออร์ (Daniela Melchior), บิลลี่ แมกนัสเซน (Billy Magnussen), เจสสิก้า วิลเลียมส์ (Jessica Williams), โจควิม เด อัลเมดา (Joaquim de Almeida), คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ (Conor McGregor), ลูคัส เกจ (Lukas Gage), อาร์ตูโร คาสโตร (Arturo Castro), บี.เค. แคนนอน (B.K. Cannon), โบ แนปป์ (Beau Knapp), ดาร์เรน บาร์เน็ต (Darren Barnet), โดมินิค โคลัมบัส (Dominique Columbus), บ็อบ เมเนอรี่ (Bob Menery), แคทฟิช จีน (Catfish Jean), เควิน แคร์โรลล์ (Kevin Carroll), ทราวิส แวน วิงเคิล (Travis Van Winkle), ฮันนาห์ ลาเนียร์ (Hannah Lanier)

· ประเภท: แอ็คชั่น

· กำหนดสตรีม: วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2024

 

Logline: ภาพยนตร์ปลุกเร้าอะดรีนาลีนที่สร้างจากต้นฉบับสุดคลาสสิกจากยุค 80 บอกเล่าเรื่องราวของดัลตัน (Jake Gyllenhaal) อดีตนักสู้สังเวียนยูเอฟซีที่ตกลงรับงานเป็นผู้คุมบาร์แห่งหนึ่งในหมู่เกาะฟลอริดาคีย์ส ก่อนจะพบว่าที่นี่ไม่ใช่เกาะสวรรค์อย่างที่ตาเห็น

 

เรื่องย่อ: Road House นำแสดงโดย เจค จิลเลนฮาล (Jake Gyllenhaal) รับบทเป็น “ดัลตัน” อดีตนักสู้เจ้าสังเวียนยูเอฟซี ที่พยายามหลีกหนีจากอดีตอันดำมืดและความชอบที่มีต่อความรุนแรง ดัลตันอยู่ในสภาพตกอับแม้ว่าชื่อของเขาจะยังเป็นที่รู้จัก “แฟรงกี้” (Jessica Williams) เจ้าของบาร์แห่งหนึ่งในหมู่เกาะฟลอริดาคีย์ส มาหาดัลตันเพื่อยื่นข้อเสนอให้เขาเป็นคนคุมบาร์คนใหม่ ด้วยหวังว่าเขาจะช่วยหยุดยั้งไม่ให้แก๊งนักเลงหัวรุนแรงที่ทำงานให้ “แบรนดท์” (Billy Magnussen) มาทำลายบาร์ของเธอ แก๊งนักเลงของแบรนดท์ทำอะไรดัลตันไม่ได้แม้จะต้องสู้แบบห้ารุมหนึ่ง แต่แล้วเดิมพันในศึกครั้งนี้ก็สูงขึ้นพร้อมกับการมาถึงของนักสู้รับจ้างจอมโหดอย่าง “น็อกซ์” (Conor McGregor) เมื่อการดวลแบบนองเลือดทวีความเดือดขึ้น หมู่เกาะคีย์จึงกลายเป็นสังเวียนที่อันตรายยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดที่ดัลตันเคยเจอมา

ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้ Daniela Melchior มาร่วมนำแสดงในบท “เอลลี่่” แพทย์หญิงในโรงพยาบาลประจำเกาะซึ่งรู้สึกถูกชะตากับดัลตันทันทีที่พบกัน

 

นอกจากนี้ Road House ยังได้นักแสดงอย่าง Joaquim De Almeida มารับบทเป็นนายอำเภอจอมทุจริตแห่งกลาสคีย์พร้อมด้วย Arturo Castro, Beau Knapp และ Catfish Jean รับบทเป็น Dell, Moe, Vince และ Clyde แก๊งสมุนของแบรนดท์ ร่วม

ด้วย B.K. Cannon รับบทเป็น Laura บาร์เทนเดอร์ประจำร้าน นักแสดงหน้าใหม่อย่าง Hannah Lanier รับบทเพื่อนเจ้าถิ่นของดัลตัน ทั้งยังได้ Lukas Gage และ Dominique Columbus รับบท Billy และ Reef เพื่อนร่วมทีมคุมบาร์ของดัลตัน

 

Road House กำกับโดย Doug Liman (The Bourne Identity, Mr. and Mrs. Smith) บทภาพยนตร์โดย Anthony Bagarozzi และ Charles Mondry เรื่องโดย Anthony Bagarozzi, Charles Mondry และ David Lee Henry โดยอ้างอิงจากบทภาพยนตร์ Road House ที่เขียนโดย Henry และ Hilary Henkin

 

Joel Silver ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ Road House ฉบับดั้งเดิม ได้นำภาพยนตร์แอ็กชั่นยอดนิยมเรื่องนี้กลับมาตีความใหม่อีกครั้ง โดยมี JJ Hook, Alison Winter, Aaron Auch และ Audie Attar รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร

ทีมงานสร้างสรรค์เบื้องหลังของภาพยนตร์เรื่องนี้ นำทีมโดยผู้กำกับภาพ Henry Braham, ผู้ออกแบบฉาก Greg Berry, ผู้ลำดับภาพ Doc Crotzer และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย Dayna Pink โดย Christophe Beck เป็นผู้แต่งดนตรีประกอบ และ Randall Poster เป็นผู้ควบคุมดนตรี

 

ทีมงานสร้างสรรค์เบื้องหลังของภาพยนตร์เรื่องนี้ นำทีมโดยผู้กำกับภาพ Henry Braham, ผู้ออกแบบฉาก Greg Berry, ผู้ลำดับภาพ Doc Crotzer และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย Dayna Pink โดย Christophe Beck เป็นผู้แต่งดนตรีประกอบ และ Randall Poster เป็นผู้ควบคุมดนตรี

Amazon MGM Studios ภูมิใจนำเสนอภาพยนตร์ Road House ที่กำกับโดย Doug Liman และผลิตโดย Silver Pictures Production

 

 

เกร็ดน่าสนใจเกี่ยวกับภาพยนตร์ Road House (คนเดือดบวกเมืองเถื่อน)

 

· นี่คือภาพยนตร์แอ็คชั่นที่ได้นักสู้ตัวจริงอย่าง คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ (Conor McGregor) นักสู้ MMA ผู้โด่งดัง มาร่วมนำแสดงในบทบาทของ “น็อกซ์” คู่ปรับตัวฉกาจของ เจค จิลเลนฮาล (Jake Gyllenhaal) ผู้ชมจึงจะได้เห็นฉากต่อสู้ที่เข้มข้น สมจริง และถึงอกถึงใจ

 

· โดยนี่เป็นงานแสดงครั้งแรกที่ คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ ตกลงรับเล่น แม้จะได้รับการติดชักชวนมาก่อนหน้านี้หลายเรื่อง เหตุผลที่เขาตกลงร่วมแสดงในภาพยนตร์ Road House ก็คือ บทที่ตรงกับตัวเขาเป็นอย่างมาก เรื่องราวในหนังเกิดขึ้นในร้านริมทางที่เป็นผับ ในชีวิตเขาก็มีผับเป็นของตัวเอง เป็นผับริมทางที่ดีที่สุดในเกาะมรกต (Emerald Isle)

ของไอร์แลนด์ รวมถึงการได้ร่วมงานกับนักแสดง ผู้กำกับ และสุดยอดทีมงาน ทำให้เขาอยากเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้

 

· แม้ในเรื่องตัวละครของ “น็อกซ์” จะรับบทเป็นผู้ร้าย แต่คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ เล่าว่า “เอาจริงๆตัวละครดัลตันของเจค มีความดาร์กกว่าตัวละครน็อกซ์ของผมอยู่นิดหน่อยนะ เรื่องนี้เราเลยมีพระเอกที่มีด้านมืด กับตัวร้ายที่ดูเหมือนมีด้านดี เป็นคนบ้าๆ แต่ก็มีความเท่ แล้วยังเป็นคนขี้เล่นหน่อยๆ มันเป็นความสมดุลเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าสนใจดี”

 

· การถ่ายทำฉากแอ็กชั่นใน Road House ครั้งนี้ นับว่าเป็นการปฏิวัติการวิธีการถ่ายทำฉากแอ็กชั่นแบบใหม่ ซึ่งต่างจากฉากแอ็กชั่นทั่วไปที่ปกติมักจะต้องกำหนดตำแหน่งการวางกล้องในมุมใดมุมหนึ่ง ซึ่งการถ่ายทำฉากต่อสู้ด้วยวิธีการดังกล่าวทำกันมาตั้งแต่ฮอลลีวูดเพิ่งเริ่มต้น แต่ผู้กำกับ ดั๊ก ไลแมน อยากจะถ่ายฉากการต่อสู้จากรอบด้าน เขาและทีมงานจึงต้องสร้างสรรค์วิธีถ่ายทำแบบใหม่ โดยถ่ายทำแบบแยกช็อต ทั้งหมด 4 ช็อต ก่อนจะนำมาตัดต่อเข้าด้วยกัน

 

· เพื่อให้ดูเหมาะสมกับบทบาทอดีตนักสู้เจ้าสังเวียน UFC เจล จิลเลนฮาล จำเป็นต้องเตรียมตัวทางด้านร่างกายอย่างหนักเป็นเวลาหลายเดือนก่อนการถ่ายทำ ทั้งการฝึกฝนออกกำลังกาย และเรื่องอาหารโภชนาการ เพื่อให้ได้รูปร่างแบบนักต่อสู้

· Road House ถ่ายทำในสาธารณรัฐโดมินิกันเกือบทั้งหมด และฉากบาร์โรดเฮาส์ซึ่งเป็นสถานที่หลักในเรื่องได้มีการสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ทีมงานได้สร้างบาร์ขึ้นมาจริงๆ บนพื้นที่ที่อยู่ระหว่างทางหลวงกับทะเล และพวกเขาเรียกงานดีไซน์ของสถานที่นี้ว่า สไตล์ Tiki Polynesian แบบ Mid-Century Modern ให้บรรยากาศย้อนยุค เพราะทีมงานตีความว่าบาร์แห่งนี้น่าจะสร้างขึ้นซักช่วงปลายทศวรรษที่ 50 หรือต้นทศวรรษที่ 60 จึงใช้แนวทางนี้ในการออกแบบ

· หนึ่งในข้อพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแง่ของคุณภาพงานก่อสร้างของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือการที่ฉากบาร์โรดเฮาส์และหลังคามุงจากด้านบนสามารถต้านทานแรงพายุเฮอริเคนฟิโอนาในเดือนกันยายน 2022 ได้

 

· เสียงเพลงเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญในภาพยนตร์ Road House เวอร์ชั่นนี้ แรนดี้ โปสเตอร์ ที่ปรึกษาด้านดนตรีเฟ้นหาศิลปินที่เหมาะสมด้วยการรวบรวมรายชื่อศิลปินหลากหลายแนว เพื่อให้แต่ละฉากในภาพยนตร์มีองค์ประกอบทางดนตรีที่โดดเด่น ควบคู่ไปกับฉากแอ็กชั่นที่เร้าใจ และให้วงดนตรีบรรเลงเพลงของตัวเองหน้ากล้องและบรรเลงแบบสดๆ เมื่อฉากในภาพยนตร์ต้องการดนตรีประกอบ นี่จึงไม่ใช่การใช้ดนตรีสดเพื่อบรรเลงประกอบภาพยนตร์แบบทั่วๆ ไป แต่วงดนตรีจะต้องหลอมรวมเข้ากับการแสดง

 

 

 

 

เกี่ยวกับโปรดักชั่น

 

พลิกโฉมภาพยนตร์คลาสสิกระดับลัทธิ

 

เมื่อผู้กำกับดั๊ก ไลแมนเข้ามารับหน้าที่กำกับภาพยนตร์แอ็กชั่น Road House เขารู้สึกสนใจตัวละครของดัลตันเป็นพิเศษ “ผมสนใจตัวละครที่เป็นพวกแอนตี้ฮีโร่ ดัลตันเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนและเอาใจใส่คนอื่นมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้คุณถึงตายได้ เป็นตัวละครที่มหัศจรรย์มาก”

 

เจค จิลเลนฮาลไม่เพียงแต่คุ้นเคยกับภาพยนตร์ Road House ฉบับแรกเท่านั้น แต่เขายังมีสายสัมพันธ์กับ แพทริค สเวย์ซี นักแสดงในตำนานผู้รับบทดัลตันอีกด้วย “ผมเป็นแฟนตัวยงของแพทริค สเวย์ซี ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก” เขากล่าว “และผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่เคยได้ร่วมงานกับเขาในภาพยนตร์ชื่อ Donnie Darko (ดอนนี่ ดาร์โก) เรามีมิตรภาพที่ดีต่อกันยาวนานหลายปีหลังจากนั้น และเขาก็แสดงความรักและให้การสนับสนุนผมเสมอ” ผมมาจากโรงเรียนด้านการละคร ที่ซึ่งคุณจะต้องแสดงบทบาทที่คนอื่นเคยเล่นมาก่อน ผมคิดว่าวิธีที่แพทริคสร้างตัวละคร รวมถึงแก่นแท้ของสิ่งที่พวกเขาทำในภาพยนตร์เรื่องนี้มันพิเศษมาก เราต้องนำแก่นนั้นมารังสรรค์เป็นภาพยนตร์เวอร์ชั่นใหม่ที่เหมาะสมกับยุคสมัยที่เราอยู่ ดังนั้นมันจึงแตกต่างจากภาพยนตร์ภาคก่อนมาก การท้าทายความคาดหวังของผู้ชมเป็นสิ่งที่ผมชอบ และผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ดั๊กทำได้ดีที่สุด”

 

ความประทับใจแรกของจิลเลนฮาลต่อบทเรื่องนี้ก็คือ “มันสนุกมาก ผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งแรกที่ผมกับดั๊กคุยกันตอนที่เราตัดสินใจสร้างหนังเรื่องนี้เลย คือหนังต้องสนุกสำหรับผู้ชม แต่ในขณะเดียวมันก็มีสโคปที่กว้างและมีองค์ประกอบทุกอย่างของหนังแอ็กชั่นที่ผมมองหา และมีคิวบู๊ที่เข้มข้นจัดเต็ม ดั๊กเป็นผู้เชี่ยวชาญในการยกระดับภาพยนตร์แนวนี้ด้วยวิธีที่เฉพาะเจาะจงมาก แถมเรายังได้โจเอล ซิลเวอร์ มาร่วมแจมอีก”

 

ชาร์ลส์ มอนดรี (ผู้เขียนบทภาพยนตร์) กล่าวเสริมว่า “ดัลตันในเวอร์ชั่นของเราไม่มีอีโก้ ไม่มีความปรารถนาที่จะให้ใครมองว่าเท่ เขาเป็นคนจริงใจ เอาใจใส่ สุภาพ และมีอารมณ์ขัน แต่ไม่ได้แปลว่าดัลตันไม่อันตราย…บางครั้งเขาดูน่ากลัวด้วยซ้ำ แต่เขาพยายามอย่างหนักเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะไม่ใช้ทักษะเฉพาะตัวของตัวเอง อย่างที่เขาพูดไว้ในเรื่องว่า การจะทำให้เขาโกรธนั้นยากมาก แต่ถ้าเขาโกรธเมื่อไหร่ ก็ระวังตัวให้ดี”

 

แม้ว่าโจเอล ซิลเวอร์จะไม่เคยร่วมงานกับผู้กำกับดั๊ก ไลแมนมาก่อน แต่เขาก็ชื่นชมผลงานภาพยนตร์ของดั๊ก และบอกว่าเขาเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบที่จะเข้ามารับตำแหน่งผู้กำกับ Road House “ดั๊ก ไลแมนเป็นผู้กำกับที่มีพรสวรรค์อย่างเหลือเชื่อ ผมคิดว่า The Bourne Identity, Mr. and Mrs. Smith และ Edge of Tomorrow เป็นหนังที่ยอดเยี่ยม ผมชอบการที่เขาเล่าเรื่องได้ และจังหวะแอ็กชั่นบางอย่างที่เขาสร้างก็เหลือเชื่อมาก ฉากที่ขับรถไล่ล่าใน Bourne Identity ทำให้ผมทึ่งมาก ผมเชื่อในวิสัยทัศน์และความคิดของเขา เขามีทุกอย่างที่ผู้กำกับที่ดีต้องมี”

นอกจากนี้ Road House ยังได้แชมป์ UFC ในชีวิตจริงอย่างคอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ มาแสดงรับงานแสดงเป็นครั้งแรกในบทบาทนักฆ่าสุดโหดอย่างน็อกซ์

 

จิลเลนฮาลเล่าว่า “ตอนที่โจเอลพูดว่า ‘ฉันอยากให้คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์มาเล่นบทนี้’ ผมบอกเขาว่า ‘โชคดีนะ’ ผมไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นได้ แต่แน่นอนว่าเขาทำสำเร็จ คอเนอร์คือตำนาน ผมรู้สึกซาบซึ้งและเป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมงานและร่วมฉากต่อสู้กับเขา…และก็รู้สึกหวาดกลัวไม่แพ้กัน เราต้องการตัวละครที่ทำให้คุณรู้สึกว่าเขาจะเอาชนะดัลตันได้ และเราก็ได้รับสิ่งนั้นจากการแสดงของคอเนอร์ในบทน็อกซ์”

ซีเควนซ์การต่อสู้เรียกได้ว่าเป็นส่วนสำคัญของฉากแอ็กชั่นใน Road House ผู้กำกับดั๊ก ไลแมนต้องการให้ฉากเหล่านี้มีทั้งความสมจริงและเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชม เขาจึงตั้งต้นจากการตั้งคำถามว่า “จะสร้างสรรค์วิธีถ่ายทำฉากการต่อสู้ขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ดูเหมือนจริงกว่าเดิมได้อย่างไร” โดยไลแมนทำงานร่วมกับการ์เร็ตต์ วอร์เรน (ผู้ประสานงานด้านสตั๊นท์และผู้กำกับยูนิตสอง) และสตีฟ บราวน์ (ผู้ประสานงานด้านฉากต่อสู้และผู้ประสานงานด้านสตั๊นท์ยูนิตสอง) ในการคิดหากระบวนการถ่ายทำฉากต่อสู้ใหม่จากศูนย์

 

“หนังเรื่องนี้มีฉากแอ็กชั่นที่ดุดันเร้าใจ สอดแทรกอารมณ์ขันแบบกำลังดี การแสดงที่ยอดเยี่ยม และสถานที่ถ่ายทำที่สวยงามแปลกตา ผมคิดว่ามันมีทุกสิ่งที่ผู้ชมต้องการ มันคือภาพยนตร์ที่เหมาะกับช่วงเวลานี้” ซิลเวอร์กล่าว

 

 

 

ชื่อของเขาคือดัลตัน …จาก เจค สู่ ดัลตัน…

ในสายตาของจิลเลนฮาล เขามองว่าดัลตันเป็นนักสู้ที่มีพรสวรรค์ และการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาต้องเผชิญคือการต่อสู่ภายในใจตัวเอง “ผมคิดว่าเขายังมีความสุขกับการต่อสู้ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องเจอกับปัญหามากมาย และปัญหานั้นเป็นสิ่งที่เขาพยายามหลบเลี่ยง เขามีพรสวรรค์ในการเคลื่อนไหวและความว่องไวในการต่อสู้ ความสามารถในการต่อกรกับคู่ต่อสู้ของเขานั้นไม่มีใครเทียบได้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีอารมณ์ขันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งบางทีอาจทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากสิ่งที่เขาเคยทำลงไป

 

แม้ว่าจิลเลนฮาลดูเหมาะสมกับบทบาทนี้ แต่เขารู้ดีว่าการจะเล่นบทอดีตนักสู้เจ้าสังเวียน UFC นั้นเขาต้องทุ่มเทให้สุด หลายเดือนก่อนการถ่ายทำ เขาเริ่มการฝึกฝนร่วมกับเจสัน วอลช์ (Jason Walsh) และทีมงานเพื่อสร้างรูปร่างแบบนักต่อสู้ “ผมทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญที่เก่งที่สุดในวงการ เทรนเนอร์ที่สุดยอด นักโภชนาการที่สามารถบอกผมได้อย่างชัดเจนว่ากินอะไรได้และไม่ได้บ้าง รวมถึงพ่อครัวฝีมือเยี่ยมที่เตรียมอาหารให้ผม การทำให้ผมมีรูปร่างที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เกิดขึ้นจากทีมงานที่น่าทึ่ง เพื่อให้ร่างกายของผมพร้อมสำหรับการใช้ร่างกายอย่างหนักเป็นเวลานาน”

เจสัน วอลช์ บอกว่า เขารู้สึกชื่นชมที่จิลเลนฮาลเดินนำหน้าเกมอยู่แล้วตั้งแต่ที่เริ่มฝึกซ้อมก่อนถ่ายทำ “ผมไม่เคยเจอลูกค้าคนไหนที่มีความพร้อมเหมือนเจคมาก่อนเพราะเขากระตือรือร้นกับเรื่องนี้มากๆ นอกจากเรื่องความอดทนและความมีวินัย เขาน่าจะทำได้ดีกว่านักกีฬาหลายๆ คนที่ผมเคยร่วมงานด้วยเสียอีก และนั่นเป็นจุดที่สำคัญมากเพราะผมไม่จำเป็นต้องเข้ามาพยายามกระตุ้นเขาเลย”

 

ผู้ฝึกสอนได้ออกแบบคอร์สการฝึกหลายระดับ โดยแบ่งออกเป็นขั้นต่างๆ เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า “เราต้องอาศัยการปรับสภาพร่างกายที่ต่อเนื่องและมีแบบแผนจึงจะสามารถเข้าถึงเป้าหมายสำคัญที่ตั้งไว้ ก่อนที่จะขยับไปสู่การปรับร่างกายระยะต่อไป ซึ่งเราเรียกแต่ละระยะว่า ‘บล็อก’ โดยแต่ละบล็อกจะมุ่งเน้นไปที่แนวคิดที่แตกต่างกัน และเราจะนำมาใช้ในเวลาที่ต่างกัน เจคแสดงฉากแอ็กชั่นด้วยตัวเองเกือบทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงต้องการความยืดหยุ่น เราเริ่มต้นด้วยการฝึกความแข็งแกร่งก่อน และในช่วงนั้น เขาก็แข็งแกร่งขึ้นมากและมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นมาก จากนั้นเมื่อใกล้ถึงวันถ่ายทำมากขึ้น เราก็ปรับเงื่อนไขต่างๆ เพิ่มเติม การฟื้นตัวก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เขามีสุขภาพแข็งแรง เรียกได้ว่ามันเป็นปีแห่งการออกกำลังกายและรักษารูปร่างอย่างแท้จริง”

นอกเหนือจากการฝึกร่างกายแล้ว โภชนาการยังเป็นอีกอุปสรรคสำคัญในการเตรียมตัวของจิลเลนฮาล Ornella Sofitchoul นักโภชนาการของวอลช์เป็นผู้กำหนดแผนการรับประทานอาหาร ซึ่งปรุงโดยเชฟ Paulette Tejada “เรารู้ว่าร่างกายและจิตใจของเจค จะต้องใช้งานหนักขนาดไหน ดังนั้นในระหว่างทางจึงมีจึงมีทั้งช่วงที่เพิ่มและงดอาหารบางอย่างออกจากมื้ออาหารของเขา” Tejada กล่าว “ในวันที่ทีมงานบอกฉันว่าเขาจะต้องทำงานหนักเป็นพิเศษ ฉันก็จะเพิ่มปริมาณโปรตีนหรือทำอะไรเพิ่มเติมเล็กน้อยเพื่อให้พลังงานของเขาอยู่ในระดับที่สูง”

 

 

มิตรและศัตรู

 

ในภาพยนตร์เรื่องนี้ จิลเลนฮาลได้เพื่อนนักแสดงจากหลากหลายประเทศมาร่วมทีมหลายคน โดยที่ตัวเขาเองคือปัจจัยหลักที่ดึงดูดให้เหล่านักแสดงตกลงมาร่วมงาน

 

เจสสิก้า วิลเลียมส์ รับบทเป็นแฟรงกี้ ซึ่งได้พบกับดัลตันโดยบังเอิญแต่ “รู้สึกถูกชะตากับเขาทันที และแฟรงกี้ก็เชื่อสัญชาตญาณของเธอ” วิลเลียมส์กล่าว “ฉันคิดว่าแฟรงกี้แทบจะมองว่าดัลตันเป็นเหมือนอาวุธในการต่อสู้เลย แต่เธอก็รู้สึกถึงความจริงใจในตัวเขาด้วย และเธอก็รู้สึกเชื่อมโยงกับเขาในจุดนี้ เธอชวนเขาให้มาเป็นคนคุมร้านเหล้าริมทางของเธอในฟลอริดาคีย์ส เพราะว่าช่วงนี้เธอเจอแต่ลูกค้าประเภทที่เข้ามาเขวี้ยงปาข้าวของในร้านทุกคืน ร้านนี้เป็นร้านของครอบครัวเธอมาหลายชั่วอายุคนแล้วและเธอต้องการปกป้องมันทุกวิถีทาง ดังนั้นเธอจึงต้องการใครสักคนที่สามารถข่มขวัญพวกอันธพาลได้ ฉันชอบที่ความสัมพันธ์ของแฟรงกี้และดัลตันเป็นตัวเร่งให้เรื่องราวเดินไปข้างหน้า เพราะเธอคือคนที่นำดัลตันมาสู่เดอะคีย์ส”

ไม่นานนักดัลตันก็ต้องเข้าไปพัวพันกับความโกลาหลนี้ ในคืนแรกของการทำงานของเขาที่ร้านริมทางซึ่งมีชื่อง่ายๆ ว่า ‘โรดเฮาส์’ นี้ แก๊งอันธพาลแก๊งเดิมก็ปรากฏตัวขึ้นเพื่อหาเรื่อง…และก็ต้องพบว่ามีอะไรที่เกินกว่าที่พวกเขาคาดไว้ ดัลตันจัดการอันธพาลทั้งห้าคนได้ในคราวเดียวด้วยความเร็วแสง ก่อนจะขับรถพาเหล่าผู้บุกรุกไปรักษาด้วยโรงพยาบาลกลาสคีย์อย่างน่าประหลาด

เอลลี่ซึ่งเป็นแพทย์ประจำบ้านนึกว่าดัลตันเป็นพวกก่อความวุ่นวายที่สร้างปัญหาให้เจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินของเธอ แต่ในไม่ช้าเธอก็รู้สึกทึ่งกับคนแปลกหน้าผู้รอบรู้คนนี้ ดาเนียลา เมลคิออร์ ผู้รับบทเป็นเอลลี่ตั้งข้อสังเกตว่า “พวกเขาเริ่มมองเห็นคุณสมบัติที่น่าสนใจของกันและกัน จากนั้นก็ตกหลุมรักกันนิดหน่อย ฉันชอบที่ความสัมพันธ์ของพวกเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่โรแมนติกแบบซ้ำซาก และดูเพลิน”

 

เมลคิออร์กล่าวว่าเธอสนใจบทนี้เพราะว่าเป็นโอกาสที่เธอจะได้ร่วมงานกับทั้งจิลเลนฮาลและไลแมน “ฉันได้ดูหนังเวอร์ชั่นแรกแล้วและรู้สึกอยากรู้มากว่าดั๊ก ไลแมนจะสร้างเวอร์ชั่นนี้ออกมายังไง ฉันชอบพลังการเป็นผู้กำกับของเขา เขาคิดถึงทุกเรื่องไปพร้อมๆ กันได้ แต่ไม่เคยลืมรายละเอียดไหนเลย ส่วนเจคก็รอบคอบมากกับทุกสิ่งที่เขาทำ และพร้อมเสมอ 100% ในกองถ่าย”

“ดาเนียลาเป็นนักแสดงร่วมที่น่าทึ่ง” จิลเลนฮาลกล่าว “เธอถ่ายทอดให้เห็นตัวละครเอลลี่ ซึ่งเป็นผู้หญิงที่ถูกเลี้ยงดูมาในโลกที่รุนแรงและโหดร้าย มันเป็นเรื่องปกติสำหรับเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่กลัวการข่มขู่และสามารถยืนหยัดต่อสู้เพื่อตัวเองได้”

 

เอลลี่ตระหนักดีถึงอันตรายของการเข้าไปขัดขาคนของกลาสคีย์และพยายามเตือนดัลตัน แต่ก็สายเกินไปแล้ว ดัลตันเริ่มจะได้กลิ่นแล้วว่าความวุ่นวายยามค่ำคืนที่โรดเฮาส์นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ในความเป็นจริง เรื่องนี้มีเบน แบรนดท์ ทายาทของหัวหน้าแก๊งค้ายาที่เพิ่งถูกคุมขัง เป็นคนชักใยอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้แบรนดท์กำลังมุ่งมั่นที่จะสร้างชื่อให้ตัวเองด้วยการสร้างรีสอร์ทหรูแห่งใหม่…บนที่ดินที่โรดเฮาส์ตั้งอยู่

บิลลี่ แมกนัสเซน ผู้รับบทเป็นแบรนดท์ เล่าว่า “สิ่งที่ผมพบคิดว่าน่าสนใจเกี่ยวกับตัวละครของผมก็คือความลวงตาในความยิ่งใหญ่ของเขา เขาเชื่อจริงๆ ว่าเงินสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างและมอบพลังที่เขาปรารถนาได้ แต่สำหรับเขามันไม่ใช่แค่เรื่องเงินอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องของการพิสูจน์ตัวเองและก้าวออกมาจากเงามืดที่น่ากลัวของพ่อ จากนั้นเมื่อดัลตันก้าวเข้ามาเกี่ยวข้อง แผนการของแบรนดท์ก็เริ่มถูกเปิดเผย และแสดงให้เห็นว่าเขาไม่พร้อมสำหรับความท้าทายจริงๆ มากแค่ไหน เป็นการพาไปสำรวจตัวละครที่ตกอยู่ในสภาพจนตรอก แต่ก็ยังดื้อรั้นและหยิ่งเกินกว่าที่จะมองเห็นความเป็นจริง”

เมื่อแบรนดท์ไม่สามารถดึงดัลตันออกไปได้ แบรนดท์ซีเนียร์ พ่อของเขาผู้ซึ่งยังถูกคุมขังอยู่หลังลูกกรง จึงส่งน็อกซ์ (รับบทโดย คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์) นักฆ่ารับจ้างอำมหิตผู้หลงใหลงานของตัวเองและมักจะทิ้งร่องรอยแห่งการทำลายล้างไว้เบื้องหลังให้มาปิดเกม

 

แน่นอนว่าแม็คเกรเกอร์มีทักษะศิลปะการต่อสู้ตามที่บทต้องการ แต่ไลแมนอธิบายว่า “ผมไม่ได้เลือกคอเนอร์เพราะความสามารถในการต่อสู้ของเขา ผมเลือกเขามาเพราะบุคลิกและแววตาซุกซนของเขา มันเหมือนกับสายฟ้าที่อยู่ในขวด และเรารู้ว่าถ้าเราสามารถจับภาพนั้นมาไว้บนหน้าจอได้ นั่นคือความสำเร็จของเรา นี่เป็นการแสดงหนังเรื่องแรกของเขา แต่จากการถ่ายทำฉากแรกของเขาแค่ฉากเดียว ทุกคนในกองถ่ายก็เห็นตรงกันว่านี่คงจะไม่ใช่หนังเรื่องสุดท้ายของเขาแน่ๆ”

 

“สำหรับผม” จิลเลนฮาลเสริม “สิ่งที่สวยงามที่สุดเกี่ยวกับการร่วมงานกับคอเนอร์คือเขาพูดกับดั๊กตั้งแต่เริ่มว่า ‘ผมเป็นมือใหม่เรื่องการแสดง และผมมาที่นี่เพื่อเรียนรู้’ และเมื่อเขากับผมได้คุยกันถึงเรื่องนี้ ผมก็พูดกับเขาว่า ‘ผมไม่ใช่มือใหม่เรื่องการต่อสู้ด้วยซ้ำ และผมเองก็มาที่นี่เพื่อเรียนรู้เหมือนกัน’ นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในอาชีพการงานทั้งหมดของผมเลย การได้เรียนรู้จากผู้คนที่ทำสิ่งพิเศษและมีโอกาสได้เดินเข้าไปในโลกของพวกเขา”

 

แม็คเกรเกอร์เห็นด้วย “ผมเป็นแฟนตัวยงของผลงานของเจค ดังนั้นผมจึงรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมงานกับเขา เราทั้งคู่เคารพกันและกันมากในผลงานของเรา เรามีช่วงเวลาทำงานร่วมกันที่ดีมากจริงๆ”

 

 

การถ่ายทำฉากต่อสู้ที่สมจริง

 

แกนกลางของภาพยนตร์ Road House คือฉากการต่อสู้ที่ดิบและไร้การควบคุม และไลแมนก็ตั้งใจว่าจะต้องจะสร้างมันให้ถึงอารมณ์และสมจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น เขารู้ว่าเขาต้องปฏิวัติวิธีการสร้างฉากแอ็กชั่นใหม่

 

ผู้ประสานงานด้านสตั๊นท์รุ่นเก๋า การ์เร็ตต์ วอร์เนอร์เล่าว่า “ดั๊กบอกผมว่า ‘ฉันอยากถ่ายการต่อสู้แบบที่ไม่เคยมีการถ่ายแบบนั้นมาก่อน’ และในใจผมก็คิดว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย มันคือการเอาสิ่งที่มีคนเคยทำไว้ดีอยู่มาสร้างใหม่ เราทำการวิจัยและ

พัฒนามากมายเพื่อพิจารณาว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายมนุษย์บ้างขณะที่โดนโจมตี แล้วเราจะเลียนแบบสิ่งนั้นให้ออกมาเหมือนจริงได้อย่างไรบ้าง”

ทีมงานได้พัฒนาเทคนิคภาพ/การถ่ายทำที่ประกอบด้วยหลายภาพซ้อนกันขึ้นมาใหม่ทั้งหมด วอร์เรนอธิบายว่า “มันเป็นการถ่ายแบบ A-B-C-D ซึ่งประกอบด้วย 4 ช็อตที่ผสมเข้าด้วยกัน ในซ็อตแรกผมให้ถ่ายตอนนักแสดงทำท่าออกหมัด ส่วนช็อตที่สอง เราจะให้คนคนนั้นสวมแผ่นสีแดงขนาดใหญ่ไว้บนมือ แล้วออกหมัดชกให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยจังหวะเดียวกันกับช็อตแรก ช็อตที่สามคือการเอามือชกลงไปบนแผ่นสีแดงจริงๆ จากนั้นช็อตสุดท้ายเราจะถ่ายพื้นหลังโดยไม่มีวัตถุอะไรอยู่ข้างหน้า เพื่อที่จะเรานำภาพทั้งหมดนี้มาประกอบเข้าด้วยกันได้”

 

ภาพยนตร์เรื่องนี้พูดถึงการเผชิญหน้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างดัลตันกับน็อกซ์ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเผชิญหน้ากันในช่วงไคลแม็กซ์ ในการออกแบบท่วงท่าการปะทะที่ไร้ขีดจำกัดนี้ การ์เร็ตต์ วอร์เรน และสตีฟ บราวน์ ต้องกำหนดรูปแบบการต่อสู้ของตัวละครแต่ละคน ซึ่งนอกจากจะดุเดือดแล้ว ยังต้องมีความเฉพาะตัวอีกด้วย

 

“ดั๊กไม่ได้อยากให้ดัลตันเป็นนักสู้ที่ได้รับการฝึกตามแบบแผนหรือเติบโตมาในโลกศิลปะการต่อสู้ แต่เป็นคนที่เรียนการต่อสู้เองจากความจำเป็นหรือด้วยความอยากของตัวเอง คำถามคือภาพที่ออกมาควรจะเป็นยังไง ผมนั่งดูวิดีโอของคิมโบ สไลซ์ (Kimbo Slice) ซึ่งเป็นอดีตราชานักสู้ในสวนหลังบ้าน และจอร์จ มาสวิดัล (Jorge Masvidal) ซึ่งอยู่ใน UFC เทคนิคการต่อสู้ของดัลตันจึงเลียนแบบสไตล์ดิบๆ เหล่านั้นมา โดยผสมผสานองค์ประกอบบางอย่างของศิลปะการต่อสู้หลากหลายรูปแบบไว้ด้วยกัน ตั้งแต่คราฟมากา ไปจนถึงมวยไทย รวมถึงการต่อสู้ข้างถนนท้องถนนธรรมดาๆ ด้วย” วอร์เรนเล่า

 

“เราดูวิดีโอการต่อสู้จริงกันหลายร้อยคลิป” จิลเลนฮาลกล่าว “เราอยากเห็นว่าภาพเวลาที่ต่อยตีกันจริงๆ มันต้องออกมาเป็นอย่างไร แล้วก็มานั่งคิดดูว่าเราจะใส่สิ่งนั้นลงในหนังได้อย่างไร โดยที่ผมยังสามารถทำงานต่อในวันรุ่งขึ้นได้ด้วยใบหน้าที่ยังใช้การได้อยู่ นั่นคือเป้าหมายของเรา และเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงเป็นกระบวนการที่ท้าทายในด้านร่างกายมาก”

 

ตรงกันข้ามกับดัลตัน วอร์เรนเล่าว่าน็อกซ์ต้อง “เหนือกว่าดัลตันขึ้นไปอีกขั้น เขาเป็นนักฆ่ามืออาชีพ ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่น่าจะเคยผ่านการฝึกฝนในหน่วยรบพิเศษมาบ้าง โดยที่ไม่ได้ทำงานอยู่ในหน่วยรบพิเศษจริงๆ และเมื่อเราได้คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์มารับบท เราก็เลยเลือกตั้งต้นจากโจทย์นี้ เพราะว่าเราไม่ได้อยากให้เขาดูเหมือนนักสู้ UFC แบบที่คุณเคยเห็นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา”

แม็คเกรเกอร์เองก็รู้สึกแบบเดียวกันกับทีมงาน “ผมไม่อยากให้พวกเขาทำหนังออกมาเอาใจแฟนๆ MMA เพราะฉากเหล่านี้มันคือทะเลาะวิวาทกันในบาร์ ผมไม่อยากเห็นเทคนิคการต่อสู้ที่สะอาดเฉียบคม ผมอยากเห็นภาพของผู้คนที่เปิดตัวเข้ามาในฉาก สถานที่ที่กลับหัวกลับหาง ผมอยากเห็นความสับสนอลหม่าน!”

“ผมตื่นเต้นมากกับวิธีการต่อสู้ที่เราพัฒนาขึ้นสำหรับหนังเรื่องนี้” ไลแมนกล่าว “การต่อสู้เป็นส่วนสำคัญของ Road House และความสนุกของมันก็ไม่เคยลดลงเลย!”

 

 

เสียงเพลงใน ROAD HOUSE

 

นอกจากบทเพลงจะเป็นองค์ประกอบสำคัญในภาพยนตร์ทุกๆ เรื่องและเป็นตัวเดินเรื่องแล้ว สำหรับ Road House ไลแมนยังต้องการให้ภาพที่ปรากฏในภาพยนตร์มีการแสดงของวงดนตรีหลายวงบนเวทีของบาร์โรดเฮาส์อยู่ด้วย เพื่อให้ดนตรีมีเรื่องราวเส้นเรื่องในภาพยนตร์ ไลแมนทำงานร่วมกับแรนดี้ โปสเตอร์ ที่ปรึกษาด้านดนตรี เพื่อสร้างดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเล่าว่า “การที่เรื่องราวในหนังเกิดขึ้นในฟลอริดาคีย์สทำให้เราจุดอ้างอิงในเรื่องพื้นที่ และเราอยากให้ดนตรีในหนังมีความเป็นธรรมชาติและสมจริง ผมอยากให้แรนดี้ค้นหาวงดนตรีประเภทต่างๆ ที่น่าจะเล่นในสถานที่แบบโรดเฮาส์จริงๆ”

 

BRELAND

“ศิลปินดนตรีคนแรกที่ผมรู้สึกดึงดูดคือ Breland ศิลปินหนุ่มที่อยู่ระหว่างโลกของดนตรีคันทรี่และฮิปฮอป” โปสเตอร์กล่าว “เขานำจิตวิญญาณแห่งความเยาว์วัยและความมีชีวิตชีวามาสู่กองถ่าย และดนตรีของเขาก็เป็นลูกผสมระหว่างคันทรีแร็พ อาร์แอนด์บี กอสเปล และโซล”

 

ANJELIKA “JELLY” JOSEPH

“เราอยากได้เสียงที่ให้ความรู้สึกแบบฟลอริเดียนที่มีกลิ่นอายความเป็นเกาะหน่อยๆ Jelly เป็นนักร้องที่มีพลังเสียง เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ เธอเต็มใจที่จะสำรวจสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ รวมถึงฮิปฮอป อิเล็กทรอนิกา ฟิวชั่น ป๊อป และแจ๊ส” โปสเตอร์กล่าว ปัจจุบันเธอแสดงร่วมกับวงดนตรีชื่อ Galactic ซึ่งมีรากฐานมาจากวงดนตรีแนวฟังก์ บลูส์ และบราสแบนด์ในนิวออร์ลีนส์

ROCKIN’ DOPSIE JR. AND THE ZYDECO TWISTERS

Rockin ‘Dopsie Jr. เป็นศิลปินเพลงแนว zydeco ที่ประกาศตัวเองว่าเป็น ‘ราชาแห่ง Zydeco’ พวกเขาเป็นที่รู้จักกันดีในลุยเซียนาตอนใต้ ดนตรีแนวฟังก์ที่เหมาะกับการเต้น ผสานท่วงทำนองที่มีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศส เข้ากับองค์ประกอบของดนตรีแคริบเบียนและบลูส์ โดดเด่นด้วยการใช้กีตาร์ วอชบอร์ด และหีบเพลงชัก “ในการบันทึกเสียงของสำหรับ Road House ทีมงานมอบโจทย์เพลงร็อกแอนด์โรลให้พวกเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้ยึดถือแนวเพลงใดแนวหนึ่งตายตัว” โปสเตอร์กล่าว

 

CC ADCOCK และ TOMMY MCLAIN

C.C. Adcock เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง นักกีตาร์ และนักดนตรีบลูส์ร็อกชาวอเมริกัน เป็นที่รู้จักจากเพลงแนว Cajun, zydeco, electric blues และเสียงที่ได้รับอิทธิพลจาก swamp-rock นอกจากนี้ เขายังเป็นโปรดิวเซอร์เพลงและภาพยนตร์ที่ได้รับการ

เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ และเป็นนักแต่งเพลงสำหรับโทรทัศน์อีกด้วย โปสเตอร์กล่าวว่า “C.C. Adcock และวงดนตรีของเขา The Lafayette Marquis เคยทำงานร่วมกับ Tommy McLain ศิลปิน swamp-rock ในตำนานวัย 82 ปี ผู้ซึ่งกำลังกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในปีนี้ ดังนั้นใน Road House เราจึงให้พวกเขามารวมตัวกันอีกครั้ง โดย CC เล่นเพลงพังก์ร็อกและเคจัน ส่วนทอมมี่เล่นเพลงป๊อปยุค 60 ที่สดใสขึ้น”

ดนตรีของ C.C Adcock และ Tommy McLlain ใน Road House คือดนตรีที่ต่อยอดดัดแปลงมาจากการเคลื่อนไหวทางดนตรีที่สำคัญ ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ Swamp-pop ดนตรีแนว Swamp-pop เริ่มขึ้นทางตอนใต้ของรัฐลุยเซียนา โดยมีศิลปินชาว Cajun เป็นส่วนสำคัญ Swamp-pop เป็นการผสมผสานแนวเพลง R&B ของนิวออร์ลีนส์, คันทรี่, โซล, ป๊อป และร็อค เข้ากับดนตรีสไตล์ต่างๆ ของลุยเซียนา

 

NATALIE BERGMAN

ก่อนหน้านี้สองพี่น้อง Natalie และ Elliot Bergman เป็นสมาชิกวงดูโอแนวไซคีเดลิกป๊อป (psychedelic pop) ในชื่อ Wild Belle ซึ่งนำเสนอดนตรีป็อปที่ผสมผสานแนวเพลงที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเร้กเก้, แอโฟรบีท, โซล และกอสเปล สำหรับ Road House โปสเตอร์กล่าวว่า “เสียงร้องของนาตาลีมีกลิ่นอายความเป็นเทพธิดาพังก์ซึ่งผสมผสานเพลงป็อปแนวไซเคเดลิกในยุค 60 เข้ากับเพลงสรรเสริญอันกินใจ ในครั้งนี้เราจึงนำวงดนตรีมาบรรเลงและสร้างสรรค์เพลงจาเมกันร่วมกับพวกเขา”

 

 

“เรามีวงดนตรีที่ยอดเยี่ยมและการต่อสู้ในบาร์ที่น่าทึ่ง…คุณจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีกล่ะ คุณจะอดไม่ได้ที่จะนั่งยิ้มแล้วพูดว่า ‘นี่มันสนุกสุดๆ!’ ”

 

ดั๊ก ไลแมน –

 

เกี่ยวกับ CONOR MCGREGOR

CONOR MCGREGOR (ผู้รับบท น็อกซ์) เป็นทั้งแชมป์ UFC หลายรุ่น ผู้ประกอบการ เจ้าของร้านอาหาร และคนดังด้านธุรกิจและกีฬาระดับโลก แม็คเกรเกอร์มาจากย่านครัมลินของเมืองดับลิน เขาเคยฝึกงานเป็นช่างประปาและเป็นนักสู้สมัครเล่น ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่วงการ UFC ในปี 2013 และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างรวดเร็วและคว้าแชมป์ UFC Featherweight Championship ได้ในปี 2015 หลังจากนั้นแม็คเกรเกอร์ก็สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นนักสู้คนแรกในประวัติศาสตร์ UFC ที่ได้แชมป์ในสองรุ่นพร้อมกันด้วยการคว้าแชมป์ UFC Lightweight Championship ในปี 2016 แม็คเกรเกอร์ถือเป็นดาวเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ UFC ในอีเวนต์การแข่งขันแบบ pay-per-view ที่มียอดขายมากที่สุด 6 อันดับแรกของบริษัท เขาเป็นนักสู้ UFC ที่มีผู้ติดตามมากที่สุดบนโซเชียลมีเดีย โดยมีผู้ติดตามมากกว่า 70 ล้านคนบนทุกแพลตฟอร์ม และสร้างสถิติรายได้จากอาชีพนักกีฬา UFC ที่สูงที่สุด

นอกสังเวียนการต่อสู้ แม็คเกรเกอร์ก็ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน เขาก่อตั้งแบรนด์วิสกี้ Proper No. Twelve Irish Whiskey ในปี 2018 ซึ่งกลายเป็นแบรนด์วิสกี้ที่เติบโตเร็วที่สุดในตลาดในเวลาต่อมา นอกเหนือจาก Proper No. Twelve แล้วเขายังได้ลงทุนในกิจการธุรกิจที่มั่นคง เช่น TIDL Recovery Spray, คอร์สออกกำลังกาย McGregorFast, ร้านอาหารและผับ Black Forge Inn ในดับลิน, ซีรีส์วิดีโอเกม Dystopia: Contest of Heroes และเบียร์ Forged Irish Stout เป็นต้น ผลงานที่หลากหลายนี้ส่งให้ แม็คเกรเกอร์ติดอันดับ 1 ในรายชื่อ “นักกีฬาที่ได้รับค่าตอบแทนสูงสุด” ประจำปี 2021 ของ Forbes

นอกจากนี้ เขายังได้ถ่ายทำโฆษณาหลายสิบชิ้นสำหรับธุรกิจต่างๆ ที่เขาเป็นเจ้าของอีกด้วย และภาพยนตร์ Road House นับว่าเป็นการแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกในชีวิตของเขา

ตัวอย่างภาพยนตร์ TH Version / EN Version