Godzilla x Kong: The New Empire
ก็อดซิลล่า ปะทะ คอง 2 อาณาจักรใหม่
 
เอาใจแฟน ๆ ที่เปิดรอบพิเศษวันพุธที่ 27 มีนาคม ตั้งแต่ 19.00 น. เป็นต้นไป 
ในระบบ IMAX, Screen X, 4DX, MX4D และ Zigma CineStadium 
เปิดซื้อตั๋วล่วงหน้าได้แล้ว วันนี้! ฉายจริง 28 มีนาคม ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

รายละเอียดเพิ่มเติม | https://www.godzillaxkong-thaitickets.com/
#GodzillaxKong #ก็อดซิลล่าปะทะคอง
#GodzillaXKongTheNewEmpire
#ก็อดซิลล่าปะทะคอง2อาณาจักรใหม่

การต่อสู้ครั้งใหญ่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง! ผลงานภาพยนตร์มอนสเตอร์เวิร์สจาก  Legendary Pictures สู่การเผชิญหน้าครั้งใหญ่ของ “Godzilla vs. Kong” ที่มาพร้อมการผจญภัยครั้งใหม่ที่จะพาคองผู้ยิ่งใหญ่และก็อดซิลล่าผู้น่าเกรงขามไปพบกับมหันตภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ในโลกของเรา ท้าทายการมีตัวตนอยู่ของพวกเขาและพวกเราเอง ในเรื่อง “Godzilla x Kong: The New Empire” จะเข้าไปสำรวจเรื่องราวในอดีตแบบเจาะลึกเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเหล่ายักษ์ใหญ่ ความลึกลับของ Skull Island และอีกมากมาย รวมถึงการต่อสู้ตามตำนานที่ช่วยหลอมลวมเหล่ายักษ์ใหญ่กับมวลมนุษย์ไว้ตลอดกาล

ในครั้งนี้ยังคงกำกับฯ โดยอดัม วินการ์ด นักแสดงนำในเรื่อง ได้แก่ รีเบคก้า ฮอลล์ (“Godzilla vs. Kong,” The Night House”), ไบรอัน ไทรี เฮนรี่ (“Godzilla vs. Kong,” “Bullet Train”), แดน สตีเวนส์ (“Gaslit,” “Legion,” “Beauty and the Beast”), เคย์ลี ฮอทเทล (“Godzilla vs. Kong”), อเล็กซ์ เฟิร์นส (“The Batman,” “Wrath of Man,” “Chernobyl”) และฟาลา เฉิน (“Irma Vep,” “Shang Chi and the Legend of the Ten Rings”)

บทภาพยนตร์โดย เทอร์รี่ รอสซิโอ (“Godzilla vs. Kong” ซีรีส์ “Pirates of the Caribbean”) และไซมอน บาร์เร็ตต์ (“You’re Next”) และเจเรมี่ สเลเตอร์ (“Moon Knight”) จากเนื้อเรื่องของรอสซิโอ แอนด์ วินการ์ด แอนด์ บาร์เร็ตต์ สร้างอิงจากตัวละครของ “Godzilla” ถือกรรมสิทธิ์และผลิตขึ้นโดย TOHO Co., Ltd. ภาพยนตร์ผลิตโดยแมรี่ พาเรนท์, อเล็กซ์ การ์เซีย, เอริค แมคเลีด, โธมัส ทัล และ ไบรอัน โรเจอร์ส อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยวินการ์ด, เจน คอนรอย, เจย์ แอสเฮนเฟลเตอร์, โยชิมิตสุ บันโนะ, เคนจ โอคูฮิระ 

วินการ์ดกลับมาร่วมงานกับผู้กำกับภาพฯ เบ็น เซเรซิน (“Godzilla vs. Kong,” “World War Z”) ผู้ออกแบบฉาก ทอม แฮมมอค (“Godzilla vs. Kong,” “X,” “The Guest”) ผู้ลำดับภาพ จอช แชฟเฟอร์ (“Godzilla vs. Kong,” “Molly’s Game”) ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เอมิลี่ เซเรซิน (“The Invisible Man,” “Top of the Lake”) ผู้ประพันธ์ดนตรี ทอม โฮลเคนบอร์ก (“Godzilla vs. Kong,” “Mad Max: Fury Road”) และแอนโทนิโอ ดิ ลอริโอ (ดนตรีเสริมจาก  “Godzilla vs. Kong,” ภาพยนตร์ “Sonic the Hedgehog”)

วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส และ เลเจนดารี่ พิกเจอร์ส นำเสนอภาพยนตร์จาก A Film By Adam Wingard เรื่อง “Godzilla x Kong: The New Empire” มีกำหนดฉายทั่วโลกในโรงภาพยนตร์และโรงภาพยนตร์ระบบไอแมกซ์วันที่ 29 มีนาคม และเริ่มฉายต่างประเทศ 27 มีนาคม 2024 จัดจำหน่ายโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ยกเว้นที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งจะจัดจำหน่ายโดย Toho Co., Ltd และประเทศจีนแผ่นดินใหญ่จะจัดจำหน่ายโดย  Legendary East

ภาพยนตร์เรื่อง “Godzilla x Kong: The New Empire” อัดแน่นไปด้วยผจญภัยที่ตามติดการเดินทางของคอง เพื่อตามหาครอบครัวท่ามกลางความลึกลับของฮอลโลว์ เอิร์ธ และเขาได้พบกับมหันตภัยร้ายครั้งใหญ่ที่จะคุกคามมวลมนุษย์ซึ่งเป็นภัยร้ายที่จะได้ต่อสู้ (และอาจเอาชนะได้) โดยการผนึกกำลังกันระหว่างคองและก็อดซิลล่า อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเท่านั้น  

ในเรื่องมีตัวละครใหม่ ฉากการต่อสู้สุดอลังการ และเหล่ายักษ์ใหญ่ที่มาร่วมทีมกัน “Godzilla x Kong: The New Empire” เป็นผลงานฟอร์มยักษ์ล่าสุดของมอนสเตอร์เวิร์สที่มีความตื่นเต้น ความยิ่งใหญ่ ฉากแอ็คชั่นสุดตื่นตา มุกตลกล และอีกหลายล้านเหตุผลสำหรับการไปชมภาพยนตร์

รายละเอียดการถ่ายทำ

พูดคุยกับอดัม วินการ์ด (ผู้กำกับฯ / ผู้เขียนเรื่องราว / ผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ):

การจับมือกันของก็อดซิลล่า และคอง

อดัม วินการ์ด: “เมื่อเราเห็นก็อดซิลล่า และคองต่อสู้กันอย่างดุเดือดในเรื่อง ‘Godzilla vs. Kong’ แล้วจะเป็นอย่างไรต่อ? คำตอบที่ชัดเจนคือ: การจับมือกัน ผมจำได้ตอนที่เราสร้างเรื่องล่าสุดเสร็จสิ้นแล้ว มีสิ่งหนึ่งที่ย้อนกลับมาในความคิดของผมคือ ‘จากตรงนี้จะไปทางไหนต่อ?’ แต่ไอเดียที่จะให้ก็อดซิลล่า จับมือกับคองนั่นไม่ใช่จะสร้างขึ้นมาได้ง่ายๆ สองสัตว์ประหลาดนั้นต่างครองภาคพื้นดิน ผมเลยใช้แรงบันดาลใจส่วนใหญ่มาจากผู้สร้างภาพยนตร์คนโปรดของผม จอห์น คาร์เพนเตอร์ เขาเคยสร้างหนังเรื่อง ‘They Live’ ในเรื่องนั้น 2 ตัวละครหลักสำคัญต่อสู้กันแบบใส่แว่นตา นั่นคือช่วงเวลาที่สำคัญ ผมชอบไอเดียที่คนสองคนร่วมทีมกันต่อสู้เพราะความเข้าใจผิด ตัวละครของเราตอนนี้ที่เคยต่อสู้กัน เคยอยู่ในหนังร่วมกัน ยากที่จะนึกถึงภาพหนังเรื่องอื่นที่ไม่มีพวกเขา เมื่อเราจับคู่ก็อดซิลล่า กับคองขึ้นมาแล้ว เราไม่สามรถแยกพวกเขาออกจากกันได้ แต่พวกเขาจะไม่อยู่บนเส้นทางนั้นอีกต่อไป ทั้งคู่ต่างมีอีโก้สูงมาก และความสนุกอยู่ที่แม้พวกเขาจะร่วมทีมด้วยกัน ก็จะมีช่วงที่ทุกอย่างไม่ราบรื่นอย่างง่ายดาย พวกเขาเหมือนกับคู่หูตำรวจที่มีบุคลิกต่างกัน พวกเขาไม่สบตากันตลอดเวลา นั่นคือบรรยากาศที่เราสร้างขึ้นมา… มีการจับมือกันสงบศึกชั่วคราว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม” 

เหล่ายักษ์ใหญ่ค่อยๆ มีการพัฒนาขึ้น

อดัม วินการ์ด: “ไม่ต่างจากนักแสดงทุกคน หากเราเคยร่วมงานกับพวกเขามาก่อน เราจะพัฒนาเรื่องความเข้าใจกัน ไม่ต่างกับก็อดซิลล่า และคอง ในการทำความเข้าใจเพื่อถ่ายทำพวกเขา ต้องรู้มุมของพวกเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากการร่วมงานกับพวกเขาในภาพยนตร์เท่านั้น เพราะการถ่ายทำสิ่งมีชีวิตสูง 300 ฟีตบางครั้งก็ท้าทายความรู้สึก แต่ความพิเศษอยู่ที่คองและก็อดซิลล่า ต่างมีพัฒนาการเกิดขึ้นด้วย เช่นเดียวกับนักแสดงที่เหลือในภาพยนตร์ 

“ในเรื่อง ‘Godzilla vs. Kong’ สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่ามีความต่อเนื่องกับภาพยนตร์เรื่องอื่น ก็อดซิลล่า ต้องรู้สึกเหมือนก็อดซิลล่า ที่เราพัฒนาขึ้นในมอนสเตอร์เวิร์ส และคองก็ต้องรู้สึกเป็นตัวละครเดิม แต่สำหรับผมจะมองหาโอกาสอัพเดทตัวละครขึ้นด้วย เพื่อให้เขามีภาพลักษณ์มุมใหม่ และผมไม่อยากให้มันดูเป็นการสุ่มไปเรื่อย ภาพยนตร์แนวนี้หลายเรื่องจะพยายามอัพเดทตัวละครและมีภาพลักษ์ที่ต่างออกไปในภาพยนตร์ภาคต่อ… แต่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนั้นอย่างจริงจัง ผมอยากให้มันถูกผลักดันโดยเรื่องราว และผมรู้ว่าในการพัฒนาช่วงแรก ผมอยากให้ก็อดซิลล่า มีภาพลักษณ์แบบใหม่ แต่อยากแน่ใจว่ามันเกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจในเรื่องราว และเราจะได้เห็นพัฒนาการที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ 

“และอีกสิ่งหนึ่งคือผมชอบสีชมพูเป็นพิเศษ สีชมพูและฟ้าคือสีโปรดของผม มนเลยเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะพาก็อดซิลล่า ไปอยู่จุดนั้น ตอนแรกผมคิดเรื่องก็อดซิลล่า ผลัดผิวตัวเอง แต่เนื้อเรื่องดำเนินไปอีกทิศทางหนึง แต่ในเรื่องนี้ก็อดซิลล่า ได้เปลี่ยนสีผิว เขากลายเป็นความแปลกใหม่ในเรื่องนี้ และการออกแบบใหม่นี้ทำให้เราได้พาก็อดซิลล่า เข้าสู่ยุคของโชวาที่ไม่ขึ้นกับเหตุผล ผมชอบหนังแนวนนี้ที่เขาบินไปได้ทั่วและปล่อยการเตะ เขาเต้นได้ด้วยซ้ำ ผมคิดว่าหากก็อดซิลล่า เริ่มเต้น แต่โชวามีเรื่องความหลุดโลกเป็นแรงบันดาลใจ คำถามที่เกิดขึ้นคือ ‘เราพอจะทำให้ความไม่สมเหตุผลของโชวาดูสมจริง และทำให้อารมณ์การ์ตูนยุค 80 สมจริงได้หรือไม่?’ นั่นคือเรื่องพื้นฐานที่ผมพยายามทำ ผมอยากมีความไร้สาระและสมจริงอย่างสุดขั้วอยู่ตลอด และในภาพยนตร์ก็เล่นกับสิ่งนั้น ก็อตซิลาดีไซน์ใหม่สะท้อนสิ่งนั้นออกมา” 


สิ่งที่ก็อดซิลล่า และคองต้องเผชิญหน้าด้วย

อดัม วินการ์ด: “เมื่อมีภาพยนตร์ที่ชื่อว่า ‘Godzilla x Kong’ ไม่มีทางที่จะหนีบรรยากาศการวิ่งหนีของพวกเขาไปได้เลย เราจะพบกับบางสิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องจับมือกันเพื่อเอาชนะ เราอยากให้มีเรื่องราวของตัวร้ายที่มีหลากหลายมุมมากกว่าเป็นแค่สัตว์ประหลาดอีกตัวหนึ่ง และมันต้องทำอะไรที่ส่งผลร้ายต่อโลกด้วย’ มันเป็นเรื่องปกติเวลาที่เราทำหนังเกี่ยวกับก็อดซิลล่า หรือคอง มนุษย์คือภัยคุกคามอันยิ่งใหญ่ และเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เกิดปัญหา นั่นคือสิ่งสำคัญต่อเรื่องราวของก็อดซิลล่า และคอง เพราะในหลายมุมของพวกเขาล้วนเกี่ยวข้องกับการทำลายโลกของมนุษย์และการรุกล้ำธรรมชาติ เพราะความเป็นมนุษย์ที่อยู่ในตัวละครของคอง ทำให้เรานึกถงตัวร้ายอย่างสการ์ คิง มันเป็นการเปิดประตูให้เราเล่าเรื่องราว ‘ความโหดร้ายของมนุษย์’ ออกมาได้ แต่จากมุมของความเป็นสัตว์ประหลาด นันหมายถึงการสร้างภัยร้ายที่ใหญ่ขึ้นและสการ์ คิงเป็นผู้ควบคุมได้ มนุษย์มีทั้งกองทัพและอาวุธที่จะทำลายล้างมากมาย สการ์ คิงก็มีมุมนั้นเช่นกัน มันต้องอาศัยสัตว์ประหลาดผู้เป็นฮีโร่บนโลกนี้จับมือกันหยุดยั้งเขาเอาไว้” 

2 ภารกิจในฮอลโลว์ เอิร์ธ

อดัม วินการ์ด: “ข้อดีสำหรับเรื่องนี้คือเรามี 2 เรื่องราวสำคัญเกิดขึ้นพร้อมกัน เรื่องแรกคือเจีย [รับบทโดยเคย์ลี ฮอทเทิล] เดินทางไปจนพบว่ายังมีสิ่งมีชีวิตอื่นอีกคือ ไอวี่ ที่ยังหลงเหลืออยูในอารยธรรมอันน่าทึ่งที่ฮอลโลว์ เอิร์ธ และอีกด้านหนึ่งคือเรื่องราวของคอง เขาเองก็พบว่ายังมีสิ่งมีชีวิตอื่นที่เหมือนเขา แต่ในมุมนี้พวกเขาอยู่ในดินแดนลึกลับอันโหดร้าย เราอยากสร้างความแตกต่างของโลกทั้ง 2 ใบนั้น และถ่ายทอดให้เห็นว่าเจียและคองต่างต้องต่อสู้ฟันฝ่าในการเดินทางที่คล้ายกันมาก ทั้งคู่ต้องพบกับอุปสรรคในการอยู่รอดเป็นตัวสุดท้ายในสายพันธุ์ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าไปสำรวจความแตกต่างของทั้งคู่ในฮอลโลว์ เอิร์ธซึ่งเป็น 2 เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกัน 

“ผมได้แรงบันดาลใจส่วนใหญ่มากจากภาพยนตร์โชวา ในดินแดนลึกลับที่จะได้สัมผัสในภาพยนตร์เหล่านี้ พร้อมด้วยบรรยากาศที่ใช้โทนสีหลักในเรื่อง แต่ทำให้คุณรู้สึกสมจริง น่นคือสิ่งหนึ่งที่สำคัญและเป็นเป้าหมายของผม มีทางเดินยาวแบบยุค 80 มีการตั้งคำถามว่า ‘เราจะใช้โทนสีนั้นและสไตล์แบบนั้นโดยที่ทำให้รู้สึกสมจริงได้หรือไม่?  เราสร้างฐานทัพสำคัญโดยทาสีผนังเป็นเหลืองและแดง สร้างให้มันสูงขึ้นหน่อย และดูสกปรกสมจริงได้หรือไม่? เราสามารถสร้างปิระมิดคริสตัลสูง 400 ฟุตให้สมจริงได้หรือไม่?’ และในฮอลโลว์ เอิร์ธอะไรก็เกิดขึ้นได้ ผมคิดว่าเราคิดภาพฮอลโลว์ เอิร์ธแบบพลิกประวัติศาสตร์มองจากมุมภายใน เหมือนุกอย่างเริ่มต้นในโลก จากนั้นค่อยขยายตัวออกไป นันคือเหตุผลที่อารยธรรมไอวี่เข้าถึงประตูที่ซ่อนไว้ภายใต้ปิระมิดชาวอียิปต์ นี่คืออารยธรรมแอตแลนทีนในแบบเรา เราพูดกันว่านครแอตแลนติสไม่ได้อยู่บนภาคพื้นดิน เพราะมันอยู่ใต้ดินมาตลอด”

ซูโก คองจิ๋ว ตัวใหม่

อดัม วินการ์ด: “ในช่วงแรกมีไอเดียที่จะรวมตัวละคร ‘ลูกชายของคอง’ เข้ามา และมันติดอยู่ในความคิดของผมเสมอ  ‘โอเค ในเรื่องจะต้องมีตัวละครลูกชาย แต่เราจะทำให้ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับคองอย่างไร และตัวละครนี้ควรมีหน้าตาแบบไหน?’ ผมไม่อยากให้รู้สึกเหมือนตอนที่ ‘Star Wars’ นำอีวอคเข้ามา และพวกเขากลายเป็นตุ๊กตาน่ารักน่ากอด ผมอยากให้ตัวละครนี้ทำลายความคาดหวังว่าตัวละครที่น่ารักต้องออกมาแบบไหน ซูโกะเป็นตัวละครจิ๋วที่แกร่ง เขาไม่ได้เป็นแค่หมีน่ารักน่ากอด แม้เขาจะมีความน่ารักก็ตาม อันที่จริงหนังเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณพ่อคุณแม่ด้วย เรามี ดร.ไอลีน แอนดรูว์ [รับบทโดยรีเบ็คก้า ฮอลล์] พร้อมด้วยเจีย และเรายังมีคองที่ได้พบกับซูโกะ ทั้งคู่ต่างมีสิ่งที่ตัวเองต้องเผชิญ ผมพูดได้เลยว่าซูโกะเป็นตัวละครหนึ่งที่ผมตื่นเต้นมากที่จะได้เห็น เพราะสิ่งเดียวที่ผมรู้ว่าจะต้องปรับปรุงเขาคือต้องมีดวงตาที่ดูเป็นมิตรและใหญ่ ผมคิดเสมอว่า ‘เราสร้างอะไรที่มีทั้งความน่ารักและความแกร่งในเวลาเดียวกันได้ไหม?’ จนกลายเป็นซูโกะที่เห็นชัดเจนว่าเขาน่ารัก เขาใช้ความน่ารักนั้นเป็นตัวปรองดองกับผู้ที่อยู่รอบตัว แต่สุดท้ายเขาคือสิ่งมีชีวิตที่มีความแกร่ง เมื่อมองไปรอบๆ จะเห็นว่าไม่ค่อยมีวานรอายุเท่ากับเขาสักเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ไปไม่ถึงจุดนั้นหรือไกลกวานั้น…  ฉะนั้นเขาคือผู้รอดชีวิต” 


การเข้ามาของสการ์ คิง

อดัม วินการ์ด: “สการ์ คิง เขาคือจอมเผด็จการวายร้ายคนสำคัญ [หัวเราะ] ความศิวิไลซ์รอบโลกและประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาต่างมีเผด็จการวายร้ายในแบบของตัวเอง ผมคิดว่าสการ์ คิงเป็นวายร้ายสมัยโบราณ เขาเป็นตัวแทนของด้านมืดของมนุษย์ เขาคือผู้ครองเผ่าพันธุ์วานรในฮอลโลว์ เอิร์ธบงการทุกอย่าง และทำเพื่อตัวเองมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในหนังยังมีห้องบัลลังก์ของเขาที่จะเห็นมุมฮาเร็มเล็กๆ พร้อมกับวานรตัวน้อยที่ดูเหมือนสการ์ คิงขนาดเล็ก เขาควบคุมทุกอย่างมาเป็นเวลานาน ปล่อยให้วานรเหล่านี้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ปกติแล้วเหล่าวานรเหมือนอยู่ในนรก พวกมันไม่เหลือวิญญาณ และเขาคือปีศาจร้าย” 

สิ่งที่ผู้ชมคาดหวังได้ในเรื่อง

อดัม วินการ์ด: “สำหรับผมเวลาที่ลูกกับผมดูหนังเรื่องก็อตซล่าด้วยกัน และพูดเวลาก็อดซิลล่า กับมอธร่าร่วมทีมกัน พร้อมด้วยแองกุยรัสและตัวละครทั้งหมด ผมเข้าใจว่าสัตว์ประหลาดกำลังสื่อสารอะไรกัน ไม่จำเป็นต้องมีใครอธิบายให้ฟังเลย บอกตามตรงว่าผมแทบไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามนุษย์พูดกันอย่างไรในหนังภาคก่อน สิ่งที่เรียกความสนใจจากผมได้คือสัตว์ประหลาดในบรรยากาศที่สมจริงและการสื่อสารกัน มันทำให้ผมอยากลงไปสำรวจมากขึ้น นั่นคือสิ่งที่ตื่นเต้น การสร้างเรื่อง ‘GvK’ ทำให้ผมมั่นใจว่าปล่อยให้สัตว์ประหลาดเหล่านี้ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองได้ ปล่อยให้พวกเขาเป็นเพียงตัวละคร นับเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นในการสร้างหนังสัตว์ประหลาด มีอีกหลายทักษี่เราไม่สามารถเตรียมพร้อมล่วงหน้าได้ ผมเผชิญหน้าพร้อมกับความรู้สึก  ‘โอเค [หัวเราะ] ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าจะสร้างหนังสัตว์ประหลาดอย่างไร และตอนนี้ก็พร้อมจะสร้างอีกครั้งแล้ว ผมเก็บความรู้ทุกสิ่งเอาไว้ นำมาปรับใช้และพัฒนาสู่ขั้นต่อไป’ เพราะในที่สุดแล้วผมไม่ได้อยากสร้างแค่หนังในโลกของสัตว์ประหลาด แต่อยากให้มีความตื่นเต้นแบบที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน ผมอยากให้มีช่วงเวลาที่ได้อ้าปากค้างในหนังสัตว์ประหลาด ไม่ว่าจะเป็นหนังแนวใดก็ตามที่สร้างในอนาคต ไม่ว่าสัตว์ประหลาดจะเดินทางไปไกลได้ขนาดไหนก็ตาม ผมอยากให้เรื่องนี้บอกเล่าทุกอย่าง และผมอยากเดินออกไปอย่างมั่นใจว่าเราสร้างทุกอย่างเอาไว้แล้ว… และเรื่องราวทั่วไปของผู้คนด้วย!”

พูดคุยกับนักแสดง รีเบ็คก้า ฮอลล์ (ดร.ไอเลีน แอนดรูว์ส) ไบรอัน ไทรี เฮนรี่ (เบอร์นี่ เฮย์ส) แดน สตีเวนส์ (แทรปเปอร์) เคย์ลี ฮอทเทิล (เจีย) อเล็กซ์ เฟิร์นส (มิคาเอล) ฟาล่า เฉิน (ไอวี่ ควีน)

การถ่ายทำบนสถานที่จริง:

รีเบคก้า ฮอลล์: “เราถ่ายทำในสถานที่จริงหลายฉากสำหรับเรื่องนี้ รวมถึงพื้นที่หลายส่วนของออสเตรเลียและโกลด์โคสต์ที่เราไม่ได้ถ่ายทำกันที่นั่นในภาคก่อน เราเดินทางไปที่เกาะมอร์ตัน ซึ่งเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกไม่ค่อยมีที่พักบนนั้น สัตว์ป่าที่นั่นมีความน่าทึ่ง ฉันไม่คิดว่าเราจะโชคดีอะไรไปกว่านั้นแล้ว จากนั้นเราเดินทางไปยัง Daintree Rainforest ซึ่งเป็นป่าฝนที่มีความเก่าแก่ที่สุดบนโลก ฉันค่อนข้างสนใจเรื่องพันธุ์ไม้ ฉันชอบปลูกต้นไม้และทำสวนเวลาว่างโดยส่วนใหญ่ [หัวเราะ] มันทำให้ฉันค่อนข้างเศร้าอยู่บ้าง แต่มันเป็นการอินกับบท ดร.ไอลีน แอนดรูว์ และนั่นคือเรื่องจริง เวลาท่ฉันเห็นต้นไม้บางต้นใน Daintree Rainforest ทำให้ฉันอยากรู้อะไรหลายอย่าง มีพวกต้นไม้ที่มีใบแยกออกมเล็กๆ บนต้นปาล์มไม่เหมือนกับที่เคยเห็นมาก่อน ให้ความรู้สึกถึงยุคดึกดำบรรพ์ช่วงก่อนมีไดโนเสาร์ การที่ได้ไปเห็นมันกับตาฉันไม่แตะต้องอะไรเลยค่ะ เพราะฉันให้ความเคารพ แต่การเข้าใกล้ขนาดนั้นทำให้ฉันตื่นเต้นมาก ตอนขับรถกลับบ้านจาก Daintree ถ้าโชคดีพอก็จะเจอรถติดเพราะมีนกขนาดใหญ่เดินข้ามถนน ฉันเคยเห็นแบบนั้นครั้งหนึ่ง พวกมันมีหัวสีฟ้า เท้ามีปลายแหลม 3 แฉกที่ดูแล้วตะครุบเราได้เลย คล้ายกับเวโลไคแรปเตอร์สมัยดึกดำบรรพ์เลยค่ะ เมื่อก่อนมีไดโนเสาร์แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย” 

ไบรอัน ทรี เฮนรี่: “ผมรักการถ่ายทำที่ออสเตรเลียมากเลยครับ ผมรักที่นั่น ทีมงานมีความน่าทึ่ง ทุกคนเก่งมาก ที่นั่นราวกับเป็นส่วนหนึ่งของสวรรค์แต่มีอยูจริง เราได้อยู่ในป่าฝนจริงๆ พอเราก้าวออกมาก็เจอกับต้นไม้เหล่านี้ เราต้องเงยหน้ามองสูงมาก และจะเห็นพวกใบไม้ที่น่าแปลกใจ ส่วนใหญ่มีอายุราวนับพันปี รวมถึงพวกสัตว์บางชนิดด้วย ผมจำได้ว่ามีอีเมล์แจ้งว่าเราจะเดินทางไปที่ Daintree และแจ้งด้วยว่า ‘ระวังจระเข้’ ผมก็คิด ‘“ระวังจระเข้” หมายถึงอะไร?’ มันคือการบอกเราว่าในทุกฤดูจะเต็มไปด้วยจระเข้ และเป็นเรื่องปกติที่ต้องระวังหลังเอาไว้ให้ดี [หัวเราะ] เมื่อมาถึงออสเตรเลีย ผมรู้จักพวกแมงมุม งู แต่นกยักษ์คือสิ่งที่ผมไม่รู้จักมาก่อนเลย [หัวเราะ] นกยักษ์หากคุณไม่รู้จัก มันคือนกชนดหนึ่งที่เหมือนพวกนกอีมู/นกกระจอกเทศ แต่ก็มีความคล้ายกับเวโลไคแรปเตอร์ด้วย หากขับรถผ่าน Daintree จะเห็นพวกสัญลักษณ์ ‘นกขนาดใหญ่’ และมีป้ายเตือน ‘ระวังนกยักษ์’ จนผมคิดว่า ‘อืมมม…’ [หัวเราะ] แต่นอกจากนั้นทุกอย่างดีมากเลยครับ มันสวยงามจริงๆ บรรยากาศทิวทัศน์ของออสเตรเลียสวยมากจากที่เคยเห็นมา มีสายน้ำที่สวย ต้นไม้ที่สวย ดอกไม้ที่สวย เว้นแต่ว่าทุกสิ่งนั้นทำให้เราตายได้ เราต้องตระหนักไว้ว่าทิวทัศน์มีความงดงาม แต่ในความงามนั้นก็ยังมีจระเข้ที่อาจฆ่าเราได้ มันมี 2 ด้าน ฉะนั้นเราต้องเตรียมตัว [หัวเราะ] แต่นับว่าเป็นประสบการณ์ที่งดงามจริงๆ ครับ” 

แดน สตีเวนส์: “เราเดินทางไปทั้งตอนบนและตอนล่างชายฝั่งของออสเตรเลีย และเราโชคดีที่ได้ขึ้นไปยัง Daintree Rainforest และถ่ายทำกันท่ามกลางใบปาล์มยุคดึกดำบรรพ์ที่น่าเหลือเชือ มีทั้งต้นไม้ที่ดูแปลกประหลาดและน่าทึ่ง มีต้นองุ่นและสัตว์ป่าอยู่ที่นั่นด้วย เจอพวกงูเข้ามาในฉาก 2 ครั้ง และมีนกยักษ์ประหลาดที่เหมือนนกไดโนเสาร์ พวกมันโผล่มา 2 ครั้ง มีฉากหนึ่งที่เราต้องข้ามแม่น้ำกันทุกวันโดยเรือเพื่อไปที่นั่น เราได้เห็นจระเข้ลอยตัวออกมาจากชายฝั่งตอนที่เราไปทำงานกัน และอีกครั้งคือตอนที่เราเดินทางกลับบ้านช่วงกลางคืน แต่มันวิเศษมากจริงๆ การได้อยู่รอบโกลด์โคสต์ เราไม่จำเป็นต้องเดินทางไปไกลเพื่อให้รู้สึกว่าอยู่ในป่าเลย  มันมีความงดงามและพื้นที่กว้างขวางที่เป็นประโยชน์สำหรับเรา และเราถ่ายบางส่วนในสตูดิโอ หวังว่ามันจะดูแนบเนียนระหว่างป่าฝนที่มีความมหัศจรรย์กับฉากในสตูดิที่น่าทึ่ง” 


เคย์ลี ฮอทเทิล: “สำหรับฉันการได้ย้อนกลับไปหามอนสเตอร์เวิร์ส นับเป็นเรื่องที่ดีมากค่ะที่ได้ย้อนกลับไป มันน่าตื่นเต้นมาก ผู้ชมจะได้พบฉากแอ็คชั่นและการผจญภัยมากขึ้น ในเรื่องนี้เราเดินทางไป Daintree Rainforest ที่มีทั้งทาก จระเข้ งู นกขนาดใหญ่ แต่ก็งดงามมากค่ะ”

อเล็กซ์ เฟิร์นส: “สถานที่มีความน่าทึ่งมากครับ เทือกเขาแทมโบไรน์… แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่สวยสุดคือเดนทรีทางตอนบนของออสเตรเลียฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ทุกอย่างน่าทึ่งมากทั้งสัตว์ป่าและทุกอย่าง ทุกสิ่งพร้อมจะฆ่าเราแต่ก็สวยงามมาก น่าทึ่งสุดๆ พวกคำเตือนบนแผ่นป้ายก็ดูแปลก ‘ระวังจระเข้ ระวังงู ระวังนกยักษ์’ ทั้งหน้าเต็มไปด้วยคำเตือนถึงสิ่งที่อาจฆ่าเราได้ ยินดีต้อนรับสู่ออสเตรเลียด้วยแบบนั้นเลย [หัวเราะ]” 

ความท้าทายต่างๆ

รีเบคก้า ฮอลล์: “ในเรื่องมีความท้าทายหลายอย่างในแต่ละวัน เพราะนี่เป็นเรื่องราวที่มีความตื่นเต้นมาก และมีหลายประเด็นในเรื่องที่เชื่อมโยงกับฉากอื่น หน้าที่ของฉันมักจะเป็นการอธิบายเรื่องประวัตศาสตร์ และความเข้าใจเรื่องสังคมของมอนสเตอร์เวิร์ส [หัวเราะ] ฉันเลยมีบทพูดเยอะมากค่ะ ต้องอธิบายหลายอย่าง และนั่นคือความท้าทาย ยังมีความท้าทายด้านร่างกายบน HEAV [Hollow Earth Aerial Vehicle] ด้วย แน่นอนว่าช่วง 5 นาทีแรกมันสนุก แต่หลังจากนั้นจะรู้สึกคลื่นไส้และค่อยรู้สึกดีอีกครั้ง จากนั้นจะนึกขึ้นได้ว่าเราไม่ได้เดินทางข้ามผ่านเวลาอะไร ทุกอย่างยังปกติดี [หัวเราะ] ความท้าทายส่วนใหญ่สนุกดีค่ะ ฉันคิดว่ามีความท้าทายที่สนุกแบบนี้จะดีกว่า”

ฟาล่า เฉิน: “ความท้าทายสำหรับบทนี้โดยเฉพาะด้านการสื่อสาร คือราชินีและชาวไอวี่ทั้งหมดสื่อสารกันทางจิต เราไม่พูดคุยกันจริงๆ สำหรับฉันต้องอาศัยแววตาและการแสดงออกทางสีหน้าเพื่อสื่อว่า ‘พูดบทของฉัน’ ที่ฉันไม่มี มันเห็นได้ชัดเจนในแต่ละช่วงเวลาที่ฉันพยายามสื่อสาร และฉันพบความน่าสนุกตรงที่ใช้ร่างกายทั้งหมดเยอะกว่าทางสีหน้า มันขึ้นอยู่กับเฟรมกล้อง ฉันต้องใช้ร่างกายส่วนใหญ่ ไหล่ และมุมศีรษะ ทุกอย่างเห็นได้ชัดเจนและฉันสนุกกับการสร้างช่วงเวลานั้นร่วมกับนักแสดงคนอื่น นอกจากนั้นยังสนุกกับการฝึกการสื่อสารทางจิตกับรีเบคก้า ฮอลล์ เธอกับฉันต้องมองตากันและมีช่วงเวลาที่เธอพยายามเดาคำพูดที่อยู่ในความคิดของฉัน มันไม่ค่อยช่วยอะไรสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้ฉันได้ฝึกการสื่อสารทางจิต” 

แดน สตีเวนส์: “ฉากที่ท้าทายในการถ่ายทำที่สุด… ในแง่ของการแสดงผาดโผนนั้นไม่เยอะสักเท่าไหร่สำหรับผมในภาคนี้ แต่พวกเขาจับผมหย่อนลงมาจากเครื่องจักรยักษ์ที่สูง 65 ฟีตจากบนสตูดิโอสู่ปากของคอง โดยที่ผมมีแค่เชือก 2 เส้นให้เกาะแค่นั้น นั่นละความท้ายทาย แต่ก็สนุกดีครับ ผมรักการแสดงอะไรแบบนั้น”

เคย์ลี ฮอทเทิล: “สำหรับเจียผู้เป็นเด็กกำพร้าในภาคที่แล้ว ตอนนี้เธอกลายเป็นนักรบและโตขึ้นมาพร้อมกับความเป็นคนที่มากขึ้นในเรื่องนี้ คองสอนเจียเรื่องมิตรภาพ และพวกเขาพัฒนาความไว้วางใจกัน พวกเขาคอยระวังหลังให้กัน”

อเล็กซ์ เฟิร์นส: “แดน สตีเวนส์ส่งข้อมความมาหาผมพร้อมรูปของทัวร์จระเข้ มีเจ็ตสกี และผมคิดว่ามันคงไปได้สวย ผมเลยเซ็นต์สัญญาและจ่ายเงินไป พอถึงเวลาที่ต้องสวมแจ็คเก็ต ปรากฎว่าเขาไม่ได้มาด้วย! เขาส่งผมลงเจ็ตสกีลำนี้ มันน่ากลัวมาก… ขนลุกเลย ผมต้องเดินทางความเร็วต่ำไปตามเลนที่อยู่ใกล้กับตู้คอนเทนเนอร์ และมีแม่น้ำที่มีจระเข้อยู่ใกล้ๆ มันทั้งน่ากลัวและน่าทึ่งมาก ผมจะไม่ยอมให้อภัยเขาเลย กลุ่มนักแสดงของเราเลยกลายเป็น ‘กลุ่มเอาชีวิตรอดจากทัวร์จระเข้’” 

การร่วมงานกับอดัม วินการ์ด

รีเบคก้า ฮอลล์: “ฉันรักการร่วมงานกับอดัมมากค่ะ เพราะฉันไว้ใจเขาในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ เพราะเขามีมุมมองที่ไม่ธรรมดา แม้แต่การที่เขาชื่นชอบแสงสีฟ้าและชมพูมาโดยตลอด มันเหมือนสิ่งที่ขัดแย้งกัน มันมีความพิเศษ และนั่นทำให้ฉันรู้สึกได้ถึงความสงบ เพราะฉันคิดว่าเวลาผู้กำกับฯ มีจินตนาการแบบนั้นและเข้าใจความงดงาม พวกเขาจะรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร จากนั้นไม่ว่าจะขอให้คนอื่นทำอะไรมากขึ้น พวกเขาก็จะทำได้ถูกต้องตรงจุด แต่เหตุผลอื่นที่ฉันรักการร่วมงานกับอดัม เพราะได้รับความอิสระอย่างเต็มที่ เราได้รับความเชื่อใจว่าเขาสัมผัสได้ภาพยนตร์จะออกมาแบบไหน แต่เราก็ได้รับความสุขในฉากด้วย เพราะเขามีความร่าเริงที่ทำให้เกิดความสนุกสนาน เขามีอารมณ์เหมือนเด็ก  10 ขวบ เขาคอยสังเกตทุกอย่างที่นั่นตลอดเวลา เขากำกับทุกอย่างด้วยความกระตือรือร้น และเรารู้ว่าตัวเองสร้างผลงานได้ดี เพราะเราจะได้ยินเสียงเขายิ้มหัวเราะ [หัวเราะ] นั่นเป็นการบ่งบอกได้ดีมาก ลืมเรื่องโน้ตต่างๆ ไปเลย มีแค่ ‘เขายิ้มหรือไม่ยิ้มกันนะ?’ จากนั้นก็จะรู้สึกโล่งใจ ฉันรักการทำงานร่วมกับเขาเพราะเขาเป็นคนที่เก่งมากค่ะ”


ไบรอัน ทรี เฮนรี่: “ผมจะไม่พูดว่าความเป็นเด็ก 10 ขวบในตัวเขาซ่อนอยู่ใต้เปลือกนอกก แต่ขอบอกว่าเขาจะเดินจับมือไปพร้อมกัน แต่นั่นก็นับเป็นความสุขใช่ไหม? นั่นคือความสนุกเวลาที่เรามีใครสักคนใส่ใจอย่างจริงจัง และเราไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากจะปล่อยความตื่นเต้นและความสนุกที่ได้พบกับเขา สิ่งที่ผมชอบคือเวลาเราแสดงในฉาก เราจะได้ยินเสียงเขาหัวเราะดังลั่น ซึ่งเป็นการทำลายฉากนั้น แต่ขณะเดียวกันถ้าเขามีความสุขแสดงว่าเราแสดงได้ถูกทางแล้ว มันมีความสุขเหลือเชื่อมากครับ ผมดีใจมากที่ได้กลับมาร่วมงานกับเขา ผมคิดว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่ผมอยากร่วมงานด้วย เพราะสมองของเขามีความสดใส มีสีสัน และมีความซนมาก [หัวเราะ] มันมีความซุกซนและเป็นการปล่อยให้เราได้ลองเล่น ผมคิดว่าทุกคนสัมผัสได้ถึงอิสระ เห็นได้เวลาที่พวกเขาดูหนัง ผมได้เห็นอะไรใหม่ๆ เกดขึ้นทุกวัน มันต่างกันมากเลยเวลาที่ผู้นำของเราเป็นแฟนของโลกใบนี้ และรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เข้าไปสำรววจสิ่งที่น่าจะเปิดเผยออกมาได้ ผมไม่อยากสปอยล์อะไรออกไป แต่คิดว่าแฟนๆ จะต้องตื่นเต้นมาก มีหลายเรื่องให้ตื่นเต้นและมีระเบิดเยอะมากด้วย ส่วนใหญ่ที่จะได้พบคือการระเบิด… หงาดเหงื่อ การกรีดร้อง ความสดใส! ถ่ายทำ ‘Godzilla vs. Kong’ และใส่ความตื่นเต้นเข้าไปให้ได้มากที่สุด นั่นคือผลลัพธ์ของหนังเรื่องนี้”

แดน สตีเวนส์: “เวลาที่เราดูหนังของอดัม วินการ์ด จะได้เห็นอะไรที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ผมคิดว่าเรื่องนี้มีความพิเศษ เขาใส่ยากล่อมประสาทในแบบเขาลงไปในเรื่องด้วย แค่เรื่องสีก็ทำให้ทึ่งมากแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมสนุกในภาคก่อนคือเวลาส่วนใหญ่ที่ใช้กับคองแทบจะเป็นหนังเงียบเลย สิ่งมีชีวิตที่เขาสร้างขึ้นได้โดยซีจีไอ และอินเนอร์ของตัวละครคองก็เริ่มจะแสดงออกให้เห็น เราได้เห็นอะไรมากขึ้นในเรื่องนี้ มันวิเศษมากที่ได้เห็น

“ผมค่อนข้างแปลกใจที่ไบรอันและรีเบ็คก้ามารวมทีมด้วย แต่เรื่องที่ดีสำหรับผมคือรู้จักอดัม วินการ์ดมานานมากแล้ว เราเคยร่วมงานกันในเรื่อง  ‘The Guest’ เมื่อ 9 ปีก่อน และเราก็เป็นเพื่อนกันนับแต่นั้นมา เรามองหาอะไรทำร่วมกันตั้งแต่นั้น และนี่ก็เป็นครั้งแรก ผมรู้สึกดีมากที่ได้ร่วมงานกับเขาอีกครั้ง”

เคย์ลี ฮอทเทิล: “อดัมเป็นคนน่ารักมาก ฟีดแบคของเขาช่วยให้ฉันผ่านฉากต่างๆ ไปได้ ฉันมีความสุขและตื่นเต้นที่ได้มาร่วมงานในภาค 2 ค่ะ”

อเล็กซ์ เฟิร์นส: “การร่วมงานกับอดัมเหมือนกับเราทำงานร่วมกับเด็กตัวโต แต่ผมเข้าใจได้เพราะผมก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน เขาชอบทำให้เราหัวเราะ เขาพบความสนุกสนานและท่าทางที่ตลกได้อย่างเหลือเชื่อ ทั้งการเดินและลื่นเพราะเปลือกกล้วย ผมคิดว่าเขาเจออะไรที่เรียกเสียงหัวเราะได้เจ๋งมาก เรามีอารมณ์ขันพอกัน เขาเป็นเด็กตัวโตและยอดเยี่ยมมาก ผมรักเขานะ”

ฟาล่า เฉิน: “การทำงานร่วมกับอดัมเหมือนการร่วมงานกับเด็กคนหนึ่งอย่างมีความสุขมาก เพราะเขาเป็นคนเปิดกว้าง จริงใจ และอ่อนโยน ขณะเดียวกันก็รู้ใจมากด้วย ฉันไว้ใจเขามากและสนุกกกับการสร้างตัวละครใหม่นี้ไปพร้อมกับเขา ฉันต้องขอบคุณที่เขาชวนมาร่วมงานด้วย ตอนอยู่ในฉากเขาจะทำอะไรประหลาดๆ ที่ทำให้เราหัวเราะตลอด ฉันรักการร่วมงานกับอดัมค่ะ”

ความคล้ายกันระหว่างคองกับเจีย

รีเบคก้า ฮอลล์: “ฉันคิดว่าในมุมของมนุษย์และเรื่องราวของสัตว์ประหลาด หัวใจสำคัญของเรื่องคือครอบครัวและความสัมพันธ์กัน สิ่งที่เราเรียกว่าบ้าน ซึ่งเป็นประเด็นจากภาคแกด้วย สิ่งที่ขนานกันไปในมิตรภาพระหว่างเจียและไอลีน แอนดรูว์ ครั้งนี้พวกเขารู้ความจริงว่าเจียถูกรับเลี้ยงมา และต้นกำเนิดที่แท้จริงของเธอคืออะไร บรรพบุรุษของเธอคืออะไร และจุดลงตัวในมิตรภาพของพวกเขา ไม่ต่างกับคองเลย ฉันคิดว่านั่นคือสิ่งที่มีพลังในเรื่อง ลักษณะครอบครัวที่เราสร้างขึ้นมารอบตัว และความตลกที่ตัวละครมนุษย์ที่มาจากทั่วโลก ทั้งเบอร์นี่ แทรปเปอร์ กลายเป็นครอบครัวเดียวกันที่ต้องร่วมผจญภัยใน Hollow Earth” 


เคย์ลี ฮอทเทิล: “สำหรับคองตอนแรกเขาอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีครอบครัวหรือพื้นที่ของตัวเอง เช่นเดียวกับตัวละครของฉัน พวกเขาจึงเข้าใจกันดีและเริ่มไว้ใจกัน ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองไม่ได้โดดเดี่ยว ยังมีอีกหลายตัวแบบเขาใน Hollow Earth” 

พูดคุยกับผู้สร้างภาพยนตร์ ผู้อำนวยการสร้างฯ อเล็กซ์ กราเซีย และ อีริค แม็คเลียด ผู้กำกับภาพ เบ็น เซเรซิน ผู้ออกแบบฉาก ทอม แฮมมอค ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เอมิลี่ เซเรซิน ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ อเลสซานโดร ออนกาโร

ครบรอบ 10 ปีของมอนสเตอร์เวิร์ส

อเล็กซ์ กราเซีย (ผู้อำนวยการสร้างฯ) : “เป็นเรื่องตื่นเต้นที่จะมี ‘Godzilla x Kong’ ฉายในช่วงครบรอบ 10 ปีของมอนสเตอร์เวิร์ส เป็นเวลา 10 ปีนับตั้งแต่ภาพยนตร์ปี 2014 เรื่อง ‘Godzilla’ และในภาคนี้เราจะได้ใช้เวลามากขึ้นผ่านมุมมองของสิ่งมีชีวิตต่างๆ โดยเฉพาะคองเมื่อเขาเข้าสู่ Hollow Earth และพบว่าเขาไม่ใช่ตัวสุดท้ายในสายพันธุ์ มันมีทั้งความสนุกและความปลื้มใจในการสร้างหนังมอนสเตอร์เวิร์สเหล่านี้ขึ้นมา ทุกครั้งที่เราร่วมงานกับตัวละครอย่างก็อดซิลล่า และคอง ซึ่งเป็นตัวละครคลาสสิคบนจอภาพยนตร์ เรามีความท้าทายในตัวเองไม่ใช่แค่รู้สึกเคารพตัวละคร ต้นกำเนิด และฐานแฟนๆ ตัวละครเพียงอย่างเดียว แต่มันอาจผลักดันสู่ความแปลกใหม่บนหน้าจอได้ทุกครั้ง มันจึงค่อนข้างท้าทาย ต้องแน่ใจว่าเราถ่ายทอดความสดใหม่และความต่างให้กับผู้ชมทุกครั้ง ผมดีใจที่พูดว่าอดัม วินการ์ดสร้างสิ่งนั้นได้ มีทั้งความแปลกใหม่ ยิ่งใหญ่ สนุกสนานใน ‘Godzilla x Kong: The New Empire’ ภาพยนตร์เต็มไปด้วยความสนุก แต่ก็ยังมีโลกอันยิ่งใหญ่ให้เราเข้าไปสำรวจพร้อม 2 ตัวละครอย่างก็อดซิลล่า และคอง เราจะได้เห็นอะไรมากขึ้นผ่านมุมมองของพวกเขาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน”

เอริค แม็คเลียด (ผู้อำนวยการสร้างฯ): “สิ่งที่ผมรักในแฟรนไชส์เรื่องนี้คือการหนีออกจากโลกบเดิม เหตุผลหนึ่งที่สำคัญที่ผู้ชมดูหนังเหล่านี้คือการหนีไปอยู่โลกหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องจริง พวกเขารู้ว่ามันไม่จริง แต่พวกเขาดื่มด่ำกับโลกสุดมหัศจรรย์ใบนี้ได้ โดยเฉพาะในโรงภาพยนตร์ เราท้าทายตัวเองด้วยการสร้างไอเดียใหม่ๆ สิ่งมีชีวิตที่มีความแตกต่าง บรรยากาศแปลกตาที่จะพาผู้ชมเข้าไปอยู่ในนั้น ผมอยากทำหนังที่ไม่ใช่แค่ตัวเองอยากดูเท่านั้น แต่อยากให้ผู้ชมรู้สึกว่า  ‘โอ้ ฉันรักการดูอะไรแบบนั้น ได้เข้าไปในสถานที่เหล่านั้นและได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง’ ผมรักเวลาที่มีคนพูดกับผมว่า ‘ฉันปล่อยตัวเองไปได้ 2 ชั่วโมงและสนุกกับการดูหนังมาก’”

ทอม แฮมม็อค (ผู้ออกแบบฉาก): “เรื่องนี้ต่างจากภาพยนตร์มอนสเตอร์เวิร์สเรื่องก่อนๆ ที่คอง ก็อดซิลล่า  และเหล่ายักษ์ใหญ่ต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวคือการทำลายยักษ์ใหญ่อีกฝั่ง ในมอนสเตอร์เวิร์สเรื่องนี้ เหล่ายักษ์ใหญ่จะมีมุมตัวละครของตัวเอง คองในช่วงแรกของเรื่องจะดูต่างจากตอนจบ เหล่ายักษ์ใหญ่ต้องตัดสินใจเลือก ต้องร่วมมือกันเพื่อเปลี่ยนโลกของพวกเขา ผมคิดว่าตำนานสัตว์ประหลาดคือสิ่งที่อมตะ พูดคุยกันได้ตั้งแต่หลานสาวและหลานชายเพราะพวกมันตัวใหญ่ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างหลงใหลสิ่งที่ยิ่งใหญ่ มันใหญ่มหึมาจริงๆ และเป็นประสบการณ์ที่ไกลเกินตัวเรา มันเหมือนความฝันและความหลงใหลทุกอย่างมารวมกันกับเหล่ายักษ์ใหญ่เหล่านี้”

อเลสซานโดร ออนกาโร (ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์): “ในหนังเรื่องนี้ผมพูดได้เลยว่าเหล่ายักษ์ใหญ่เป็นดาวเด่นตัวจริง เรื่อง ‘Godzilla vs. Kong’ ประสบความสำเร็จมหาศาล และทุกคนอยากเห็นยักษ์ใหญ่มากขึ้น อดัมก็อยากสร้างบางอย่างสำหรับแฟนๆ ทุกอย่างมันบรรจบกันอย่างลงตัว แต่เหมือนการดูหนัง 2 เรื่อง 2 ตอน เรื่องหนึ่งคือคองและการผจญภัยของเขา ส่วนอีกเรื่องคือแอนดรูว์สและเจีย การผจญภัยของมนุษย์ที่ผมคิดว่าการนำมารวมเข้าด้วยกันเป็นไอเดียที่เจ๋งมาก” 

ความแตกต่างในเรื่อง “Godzilla x Kong: The New Empire”…

ทอม แฮมม็อค (ผู้ออกแบบฉาก): “ตั้งแต่ช่วงแรกเราอยากทำให้หนังเรื่องนี้มีความแตกต่าง เราพยายามสะท้อนผ่านสีสัน และอดัมหลงใหลในศิลปะจากกล่องของเล่นยุค 80 เป็นส่วนใหญ่… เหมือนเป็นยุคสุดท้ายที่มีผลงานต้นฉบับของ He-Man หรือ ThunderCats เราสังเกตว่ามีการใช้สีอย่างไร ใช้สีเขียวผสมกับสีม่วง ใช้สีทึบเป็นอย่างแรก และพยายามใช้สีสันนั้นกับมอนสเตอร์เวิร์ส ภาพยนตร์ก่อนหน้านี้หลายเรื่องจะเป็นเรื่องราวบนภาคพื้นดิน มีทั้งพายุเกิดขึ้น ทำให้เราพบแต่สีโทนมืด แต่การเข้าสู่ฮอลโลว์ เอิร์ธนับจากช่วงร่างภาพ จนเข้าสู่โลกใบนั้นทำให้เราได้กระโดดเข้าสู่สีสันที่หลากหลาย”

เบ็น เซเรซิน (ผู้กำกับภาพ): “อดัมกับผมคุยกันหลายเรื่องเกี่ยวกับมุมมองต่างๆ ที่เปลี่ยนไปในเรื่อง มีการคุยกันว่าช่วงแรกจะเน้นที่ความสมจริง มีการใช้สีที่สว่างอย่างที่อดัมต้องการ และมันก็ออกมาดีมากเลย ผมเห็นภาพในจินตนาการของเขาและเขาพูดกับผมตั้งแต่แรกว่า ‘เราจะเก็บภาพที่มีความสดใสแบบนี้ในเรื่องโดยที่ไม่ใช้พวกแอนิเมชั่นได้อย่างไร? กุญแจสำคัญที่จะรักษาความสมจริงและความสมบูรณ์ของภาพเอาไว้ รวมถึงคอมพิวเตอร์กราฟฟิค แต่ใช้สีสันที่โดดเด่นเหล่านี้ โดยยังคงความสมจริงและความสดใสเอาไว้อยู่?’ 

“ความท้าทายในการพยายามหาความโดดเด่นที่สมจริง สเปกตรัมของสีสัน และภาพที่มีความสว่างเพื่อทำให้ผู้ชมรู้สึกว่านี่คือสถานที่จริง มีตัวละครต่างๆ จริง ทั้งพวกสัตว์ประหลาดและผู้คน เราจะรักษาความสมบูรณ์แบบนั้นได้อย่างไร?  ในประสบการณ์ของผมคือต้องผสมผสานทั้งความมืดและสว่างของแสงเงาและแสงสว่าง และการตัดกันของภาพที่สมจริง บางครั้งเวลาที่มีสิ่งหนึ่งใช้โทนสีที่โดดเด่นสดใสมาก อีกสิ่งหนึ่งจะเกิดความท้าทายโดยพื้นฐานของภาพถ่าย เราตัดสินใจว่าการสร้างผลงานที่ดีที่สุดคือความหยาบของภาพที่มีชีวิตชีวา… และนั่นอาจเป็นความท้าทายของจริง เวลาที่เรามองรูปถ่ายที่มีความลึก เราต้องอาศัยเรื่องแสงเงา ต้องอาศัยความแตกต่างกันเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ได้ภาพที่มีสีสันพร้อมความสว่างขั้นสูง  


เรื่องอื่นที่อดัมกับผมคุยกันคือประเด็นสำคัญของการถายภาพในหนังแนวนี้ การอาศัยคอมพิวเตอร์กราฟฟิคและภาพถ่ายจากโลกจริง ผมแนะนำอดัมว่าความน่าสนใจอาจเป็นภาพจางๆ ผ่านเลนส์ที่เก็บภาพโลกแห่งคความจริง จากนั้นค่อยนำไปใส่ในโลกคอมพิวเตอร์กราฟฟิค สิ่งที่เราน่าจะได้คือการผสมผสานระหว่างภาพวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์กับภาพของจริง เราเริ่มแบบนั้นในช่วงแรกและส่งต่อให้อเลสซานโดร ออนกาโร ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ เขามาร่วมงานด้วยทันทีและตื่นเต้นมากกับคอนเซ็ปต์นั้น มันเป็นการผสมผสานระหว่างโลก 2 ใบที่มีความกลมกลืนมาก ไอเดียนั้นช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้เรื่องขึ้นมาได้จริงๆ”

เรียนรู้การทำงานร่วมกัน

อเล็กซ์ กราเซีย (ผู้อำนวยการสร้างฯ): “ความสนุกอย่างหนึ่งในเรื่อง ‘Godzilla vs. Kong’ คือการนำทั้งสองตัวละครเข้าสู่ภาพยนตร์มอนสเตอร์เวิร์สเรื่องเดียวกันเป็นครั้งแรก เราได้เห็นพวกเขาต่อสู้กน ได้เห็นความแข็งแกร่ง ความอ่อนแอเวลาที่ต่อสู้ ในเรื่องนี้ ‘Godzilla x Kong’ พวกเขามาเจอกันอีกครั้ง แต่ต้องร่วมมือกันเพื่อสยบภัยคุกคามครั้งใหญ่ และนั่นได้สร้างความท้าทายขึ้นมา ช่วงแรกมันดูไม่ค่อยสู้ดีนัก จนสุดท้ายเกิดฉากต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างพวกเขา แต่เมื่อเดินหน้าเผชิญกับภัยคุกคามครั้งใหญ๋ พวกเขาร่วมมือกันได้อย่างน่าภูมิใจ เราได้เห็นพวกเขาผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวกัน พร้อมความเซอร์ไพรส์อื่นที่รอในเรื่องด้วย อดัม วินการ์ดมีไอเดียที่น่าตื่นเต้นตอนที่เราคุยว่าจะทำอะไรหลังจากเรื่อง ‘Godzilla vs. Kong’ และมันคือการยกระดับตัวละครต่างๆ เขาต้องพัฒนาตัวละครระหว่างที่คงรากฐานความเป็นคองและก็อดซิลล่า ที่เรารู้จักเอาไว้ ก็อดซิลล่า มีภาพลักษณ์ใหม่ที่สื่อถึงพลังใหม่ และคองหลังจากถูกทำร้ายจากการต่อสู้ เขาอัพเกรดความเป็นมนุษย์ขึ้น ทำให้เขาพัฒนาตัวเองอีกขั้นในองก์ที่ 3”

การเล่าเรื่องราวของยักษ์ใหญ่

อเลสซานโดร ออนกาโร (ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์): “ความท้าทายสำคัญอย่างหนึ่งในการทำงานเรื่องนี้ด้วยคอมพิวเตอร์แอนิเมชัน i18s คือเรื่องราวที่มีให้เล่ามากมายโดยไม่ผ่านคำพูด… คล้ายการทำงานในหนังเงียบ มีหลายอย่างที่ให้บอกเล่าผ่านฉากเหล่านี้พร้อมยักษ์ใหญ่ที่ต้องเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ เรารู้สึกว่ามันต้องออกมาถูกต้องที่สุด สำหรับผมความสำคัญอยู่ที่การแสดงของสิ่งมีชีวิตทั้งคอง ก็อดซิลล่า  สการ์ คิง และซูโก ที่มีเอกลักษณ์ในการแสดงอารมณ์และเล่าเรื่องราวได้ การทำงานโดยไม่มีคำพูดอะไรคือความท้าทาย ไม่จำเป็นต้องอาศัยคำแปลอะไรเลย ผมจำตอนที่ได้อ่านบทครั้งแรก ผมอ่านย่อหน้าหนึ่งที่น่าจะมีราว 3 ประโยคแต้องใช้เวลาบรรยายฉากนั้นราว 5 นาที จากนั้นจะส่งให้เรามาจัดการถ่ายทอดต่อ นั่นคือความท้าทายครั้งใหญ่ โชคดีที่ผมรายล้อมไปด้วยทีมงานที่เก่งมาก และผลลัพธ์ก็ออกมาดีมาก”

การปรับโฉมก็อดซิลล่า

อเล็กซ์ กราเซีย (ผู้อำนวยการสร้างฯ): “การเดิทางของก็อดซิลล่า ในเรื่องนี้ช่วงแรกจะสร้างความสงสัยให้ตัวละครมนุษย์ที่โมนาร์ช พวกเขาบอกเหตุผลอะไรไม่ได้ เขาเคลื่อนที่เวลาที่เกิดภัยคุกคามขึ้น หลังจากการต่อสู้ในช่วงแรกของเรื่องที่โรม เขาต้องมาเก็บตัวอยู่ในโคลอสเซียม ซึ่งเป็นภาพที่สนุกมากในเรื่อง จากนั้นจะเริ่มออกไปหาเชื้อเพลิง เขาเดินทางไปยังโรงงานอาวุธนิวเคลียร์ที่ฝรั่งเศส จนเริ่มหายใจรับพลังและสร้างมันขึ้นมาได้เอง เราเรียนรู้ว่าเขาชาร์จพลังเพราะเขารู้ว่าต้องเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งต่อไป เขารับรู้ถึงมันได้ นักวิทยาศาสตร์และผู้ชมไม่รู้เรื่องนี้ แต่ก็อดซิลล่า รู้ดี …”

ทอม แฮมม็อค (ผู้ออกแบบฉาก): “มุมหนึ่งที่มีเอกลักษ์ของก็อตซิลาคือเขามีสัมผัสที่ 6 เรื่องการต่อสู้ที่ต้องเผชิญในอนาคต และในส่วนการผจญภัยของก็อดซิลล่า อย่างที่เราเห็นในเรือง เขามีการเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งนี้ เขาไปนอนหลับในโคลอสเซียม ตอนแรกเราไม่รู้ด้วยซ้ำจะให้เขาพักผ่อนที่ไหน แต่เราอยากให้เขามีที่อันเป็นเอกลักษณ์ อดัมกับผมช่วยกันคิดเรื่องบ้านของเขา อดัมมีแมวสีดำชื่อมิสชีฟ เขามักจะนั่งด้วยเวลาที่เราทำงานกัน มีช่วงหนึ่งมิสชีฟขดในที่นอนของเธอและเราก็คิดได้ว่า ‘โอ้พระเจ้า เหมือนก็อดซิลล่า ในโคลอสเซียมเลย!’ [หัวเราะ] นั่นคือที่มาของไอเดียเรา หลังจากโคลอสเซียมก็อดซิลล่า มุ่งหน้าไปยังแหล่งเก็บขยะนิวเคลียร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด เรามีฉากสุดเจ๋งนี้ตอนที่ก็อดซิลล่า เพิ่งหายตัวไปขโมยขยะนิวเคลียร์ที่ฝรั่งเศส จากนั้นมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เขาได้แปลงร่างเพื่อการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง” 

อเลสซานโดร ออนกาโร (ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์) : “การออกแบบก็อดซิลล่า มีการพัฒนาขึ้น เราร่วมงานกับผู้ชำนาญที่  Legacy Effect จาเร็ด ครีเชฟสกี้ เราเริ่มจากคอนเซ็ปต์ที่มีความชัดเจนแล้ว ภาพลักษณ์ของก็อดซิลล่า ที่กลายเป็นสีชมพูและร่างกายที่ผอมลง จากนั้นมีการปรับเปลี่ยนอีกเล็กน้อยเพื่อความแน่ใจเรื่องโครงสร้างของเขา เรายังจัดการเรื่องการหายใจเบาๆ ของเขาด้วย 

“ความพิเศษคือหลังจากที่เขามีการพัฒนาขึ้น สัดส่วนของเขาได้เปลี่ยนไปด้วย ก็อดซิลล่า มีขนาดสูงขึ้นและผอมลง ขามีกล้ามเนื้อมากขึ้น แขนยาวขึ้น หัวมีขนาดเล็กลง ร่างกายช่วงบนเห็นชัดเจนขึ้น ทำให้เขาเคลื่อนที่ได้ว่องไวขึ้น ผิวของเขาก็ค่อนข้างแตกต่าง เรายังเก็บสีและผิวหนังแบบเดิมเอาไว้ แต่เพิ่มบางอย่างเข้าไปบนข้อศอก หัว และหลังเพื่อเปลี่ยนแปลงพวกเขา ตอนนี้พวกเขาชาร์จด้วยพลังสีชมพูเรียบร้อย” 

คองที่แก่แต่เก๋าขึ้น

อเลสซานโดร ออนกาโร (ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์): “คองดูคล้ายกับตอนที่เราจากเขามาในเรื่อง ‘Godzilla vs. Kong’ เขาอายุมากขึ้นนิดหน่อยและผมเริ่มมีสีขาว เรามีการปลูกขนให้เขาบนไหล่และมีหนวดที่ยาวขึ้น มีสีเทาเด่นชัดขึ้น และสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาให้แฟนๆ ได้เห็นจากการต่อสู้ที่ฮ่องกงใน ‘GvK’ เขาถูกก็อดซิลล่า ทำร้ายที่หลัง เรายังเก็บแผลเป็นนั้นไว้ เรามีการสมานแผลนิดหน่อยและเพิ่มขนรอบบริเวณนั้น” 

การทำลายล้างรอบโลก

อเล็กซ์ กราเซีย (ผู้อำนวยการสร้างฯ): “ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ผู้ชมจะคาดหวังและรับความสนุกในหนังเรื่องนี้ได้ คือการทะเลาะกันครั้งใหญ่ในเมืองทั่วโลก และเรารู้ว่าอยากเห็นการทะเลาะครั้งใหญ่ตอนจบเรื่อง เราเลือกให้ Rio de Janeiro เป็นฉากอันงดงาม มันมีบรรยากาศของเขตร้อนชื้นและอยู่ชานเมือง เราได้เห็นตัวละครเหล่านี้มารวมตัวกัน ซึ่งเป็นความท้าทายในมุมของการถ่ายภาพ แต่ทำให้เราถ่ายทอดความคล่องตัวของสการ์ คิงและคองได้ พลังใหม่ของคองอยู่ในถุงมือจักรกล พร้อมด้วยก็อดซิลล่า ในเวอร์ชันที่ได้รับการพัฒนา มีการต่อสู้อย่างบ้าคลั่งเกิดขึ้น ทุกคนวิ่งเพื่อหาทางเอาชีวิตรอด เราโชคดีที่สามารถถ่ายทำเรื่องนี้ได้ทั่วโลก สถานที่หลักเป็น Gold Coast ในออสเตรเลีย และบางส่วนที่เป็นฉากชายหาดของริโอ แต่เรามีกองถ่ายที่ริโอคอยถ่ายทำฉากแอคชั่นที่เราเห็นในเรื่องด้วย เรายังมีการถ่ายทำที่โรม โมรอคโค ไอซ์แลนด์ ฮาวาย และยิบรอลตาร์ มันสำคัญสำหรับเรามากที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกจริงจากสถานที่เหล่านั้นออกมาได้”

เอริค แม็คเลียด (ผู้อำนวยการสร้างฯ): “ควีนส์แลนด์เป็นสถานที่โปรดสำหรับภาพยนตร์มอนสเตอร์เวิร์สของเราเสมอ ด้วยความหลากหลายของสถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวกในสตูดิโอที่ครบครัน ทีมงานระดับมืออาชีพที่นั่น เรามาเยืนอที่นี่ครั้งแรกในเรื่อง ‘Kong: Skull Island’ กลับมาอีกครั้งสำหรับเรื่อง ‘Godzilla vs. Kong’ และตอนนี้คือภาคต่อ ที่นี่มีความหลากหลายด้านสถานที่ ตึกอาคารและบรรยากาศต่างๆ ทุกอย่างตั้งแต่ชายหาดไปจนถึงป่า ภูเขา และบรรยากาศของเมือง 

เหตุผลที่เราเลือก Gold Coast  สำหรับเรื่องนี้เป็นพิเศษไม่ต่างจาก 2 ภาคอื่น ด้วยความหลากหลายของสถานที่และมีทีมงานไว้ใจได้อยู่ที่นั่น สตูดิโอล้วนเป็นระดับเวิล์ดคลาส สามารถมอบความยิ่งใหญ่ของพื้นที่โรงถ่ายและบรรยากาศการทำงานได้อย่างที่เราต้องการ สถานที่บน Gold Coast ที่ถ่ายทำในเรื่องทั้ง Surfers Paradise, Tallebudgera และ Village Roadshow ทั้งหมดต่างรวมอยู่ที่ Gold Coast ซึ่ง Village Roadshow Studios เป็นหนึ่งในสตูดิโอโปรดของผมสำหรับการถ่ายทำด้วย” 


การแสดงจริง กับ คอวพิวเตอร์กราฟฟิค

เอริค แม็คเลียด (ผู้อำนวยการสร้างฯ): “ช่วงแรกของการทำงาน เราพยายามแยกสัดส่วนเท่าที่เรารู้ในช่วงนั้น ความท้าทายอย่างหนึ่งคือการเลือกใช้คอวพิวเตอร์กราฟฟิคทั้งหมด คอมพิวเตอร์กราฟฟิคบางส่วน ฉากไหนถ่ายบนเวที และฉากไหนบนสถานที่จริง ผมเป็นผู้สร้างภาพยนตร์คนหนึ่งที่ต้องการถ่ายจริงให้ได้มากที่สุด คิดว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าสำหรับนักแสดง ผมจะสร้างป่าขึ้นมาในโรงถ่ายก็ได้ แต่การพานักแสดงไปสถานที่จริงรู้สึกว่าช่วยให้หนังออกมาดีมากกว่า ดีสำหรับการแสดงของดาราด้วย นั่นคือความเชื่อของผม และมันดีกว่าสำหรับภาพยนตร์ในทุกด้าน ช่วงแรกของการพัฒนาโปรเจ็กต์ คำถามคือ [ผู้อำนวยการสร้างฯ] ทอม แฮมม็อคและผมมักคุยกันเสมอว่าจะถ่ายทำบนสถานที่จริงเยอะขนาดไหน สามารถแสดงจริงได้เยอะขนาดไหน มีหลายครั้งที่มันเกิดขึ้นได้จริง แต่ก็มีอีกหลายครั้งที่ต้องอาศัยวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ ‘เหตุผลที่เราไม่แสดงในโรงถ่ายเพียงอย่างเดียว?’ เราจะถ่ายทำให้ได้มากที่สุดบนหน้าจอเท่าที่ทำได้ แต่ก็ต้องอาศัยบลูสกรีนอีกเยอะอยู่ดี’ แม้แต่ฉากที่เป็นคอมพิวเตอร์กราฟฟิคทั้งหมด เราก็ยังคงชอบการถ่ายทำบางส่วนที่ทำได้จริง เช่น หากมีบางฉากที่คองวิ่งผ่านป่าและชนต้นไม้ หากเราเก็บภาพพื้นดินในป่าจริงได้จากนั้นค่อยเพิ่มคองเข้าไป เรารู้ว่ามันย่อมดีกว่าอาศัยบรรยากาศป่าแบบคอมพิวเตอร์กราฟฟิคทั้งหมด เรามักจะพยายามเพิ่มรายละเอียดที่ถ่ายทำจริงได้ด้วยคอมพิวเตอร์กราฟฟิคเสมอ ทั้งในโรงถ่ายและสถานที่จริง มันเป็นการผสมผสานกันทีทำให้ผู้ชมเชื่อในผลงานนั้นมากขึ้น ผมเชื่อเสมอว่าผู้ชมสัมผัสได้ว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม แม้ว่าพวกเขาจะรู้ก็อดซิลล่า และคองไม่มีจริงก็ตาม ยิ่งเราพาคองและก็อดซิลล่า ไปใส่ในสถานที่จริงได้เท่าไหร่ มันยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าสมจริงมากขึ้น ผู้ชมจะเข้าถึงตัวละครได้มากขึ้น”

ทอม แฮมม็อค (ผู้ออกแบบฉากฯ): “เมื่อบทเรียบร้อยแล้ว แผนกศิลป์เริ่มเขามาสร้างผลงานในเรื่องตั้งแต่ชวงนั้น และเราสร้างทีมของเราขึ้นมา นี่น่าจะเป็นเวลานานนับปีสำหรับการถ่ายภาพ สิ่งที่เกิดขึ้นคืออดัมกับผมคุยกันเรื่องความสร้างสรรค์กับผู้บริหารสตูดิโอ นักเขียน สร้างไอเดียกันเรื่องสีที่ควรจะเป็น การจัดวางองค์ประกอบ และวิชวลของภาพยนตร์ จากนั้นเมื่อเราได้ไอเดียคร่าวๆ ว่าจะเริ่มจากตรงไหน เราก็ทำการค้นหาข้อมูลอีกหลายอย่าง เราอาศัยทั้งนักวาดภาพประกอบ เมื่อพวกเขาเริ่มทำงานเราก็ทำงานร่วมกับผู้ชำนาญด้านสตอรี่บอร์ด และฉากต่างๆ จนมาถึงจุดที่เราวาดและสร้างพวกมันขึ้นมา จนลงเอยที่โมเดลและงานแกะสลักออกมา มีการสร้างงานแกะสลักเยอะมาก โดยเฉพาะในเรื่องนี้และเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น สุดท้ายเราได้งานแกะสลักเล็กๆ ขึ้นมาสำหรบภาพยนตร์ ซึ่งเป็นโมเดลที่นารักมาก จนถึงขั้นตอนการสร้างที่ใช้เวลาหลายเดือนก่อนจะเริ่มเปิดกล้องกันครั้งแรก

“เมื่อต้องนึกภาพว่าแต่ละฉากจะถ่ายทำที่ไหน จะถ่ายทำสถานที่จริงหรือในโรงถ่าย หรือจะใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิค อดัมกับผมจะนั่งลงกันอย่างจรงจัง และมาทบทวนบท ตัวละคร ซึ่งในที่นี้คือเหล่ายักษ์ใหญ่ที่มีความโดดเด่นในเรื่อง ผมคิดว่าเวลาผู้คนคิดถึงภาพยนตร์สัตว์ประหลาดยักษ์เหล่านี้ มักจะคิดถึงวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์มหึมา แต่อดัมย้อนกลับไปหายุคบุกเบิกของเขาในเรื่อง เขาอยากถ่ายทำจริงด้วยกล้องให้ได้มากที่สุด เราจึงพยายามถ่ายทำด้วยกล้องเยอะที่สุด จากนั้นเริ่มหาสถานที่หรือสิ่งที่มีเอกลักษณ์ พยายามสร้างกองถ่ายของเราขึ้นมา มีหลายครั้งที่เดินทางไปสถานที่จริง ในเรื่องนี้เราใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในป่าของจริง ไม่ว่าจะเป็นที่ออสเตรเลียหรือขึ้นไปทางตอนเหนือของออสเตรเลีย จนไปถึงปาปัวนิวกิเนีย เพื่อให้ได้ภาพที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น สุดท้ายเรามีข้อจำกัดเรื่องเวลาและเงิน เราต้องตัดสินใจว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ และคำตอบสำหรับอัมคือเก็บภาพทุกอย่างด้วยกล้องให้ได้มากที่สุด”

การพานักแสดงเข้าสู่โลกใบนั้น

เอริค แม็คเลียด (ผู้อำนวยการสร้างฯ): “ครั้งแรกที่เราเริ่มมองหาสถานที่ต่างๆ เรารู้ว่าอยากเข้าถึงความหลากหลายของฮอลโลว์ เอิร์ธมากขึ้น ช่วงที่เราค้นหาข้อมูลตอนแรก เราเกิดความสนใจที่ Daintree ซึ่งเป็นป่าฝนพื้นที่ราบเขตร้อนชื้นที่มีความเก่าแก่ที่สุด จากนั้นผมได้ยินเสียงตัวเองพูดว่า ‘เราต้องไปถ่ายทำกันที่นั่น เราจะเดนทางไปที่ออสเตรเลียและควีนส์แลนด์โดยไม่เก็บภาพป่าฝนที่เก่าแก่ที่สุดในโลกไม่ได้หรอก’ จากนั้นเราส่งทีมสำรวจสถานที่ไปที่นั่น พอเห็นภาพแรกที่ส่งกลับมามันเหลือเชื่อมาก มีต้นไม้และพืชพรรณที่มีความแตกต่างกันและไม่เคยเห็นในหนังเรื่องไหนมาก่อน มันไกลจากสตูดิโอถึง 1,900 กิโลเมตร ต้องใช้รถบรรทุกเดินทางขึ้นไปที่นั่น 2 วันครึ่ง เราเช่าเครื่องบินเพ่อพาทีมงานและอุปกรณ์ต่างๆ ไปที่นั่น ซึ่งมีความน่ากลัวอยู่พอควร ที่นั่นมีทั้งจระเข้ แมงมุม งูขนาดใหญ่… แต่ผมคิดว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของความตื่นเต้นที่ได้ถ่ายทำกันที่นั่น มันสนุกมากด้วยเพราะทีมงานรู้ว่าจะได้ถ่ายทำในสถานที่ที่เก่าแก่มาก พร้อมด้วยความรู้สึกว่ามีอันตรายอยู่ที่นั่น ระหว่างถ่ายทำกันที่นั่นผมรู้สึกว่ามันโผล่มาให้เห็นหลายฉากกันอยู่บ้างด้วยล่ะ 

“เกาะมอร์ตันเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่มีความเพอร์เฟ็กต์ที่ยากจะเดินทางไปถึง เราต้องนั่งเรือข้ามฟากส่งทีมงานและอุปกรณ์ต่างๆ ไปที่นั่น แต่ชายหาดที่มีความโค้งเว้าแห่งนี้เหมาะกับฉากที่ใช้สถานที่ใน Barbados เราสร้างฉากขึ้นมาที่นั่น และถึงแม้มันอาจจะง่ายกว่าหากถ่ายทำที่นี่ในบรรยากาศโรงถ่ายที่ควบคุมได้ แต่เมื่อเห็นในภาพยนตร์ นักแสดงทุกคนอยู่บนชายหาดจะสัมผัสได้ว่านักแสดงอยู่ที่นั่นจริงๆ 


“สุดท้ายข้อดีของการถ่ายทำที่ควีนส์แลนด์ คือได้บรรยากาศสถานที่หลากหลายรูปแบบมาก โดยใช้เวลาขับรถเพียง 1 ชั่วโมง แม้ว่าจะมีการถ่ายทำสถานที่ห่างไกลอย่างเกาะมอร์ตันและเดนทรี บริเวณภายในและโดยรอบบริสเบน และในช่วง 1 ชั่วโมงที่โกลด์โคสต์ก็ยังมีอีกหลายแห่งให้เราเลือก ส่วนที่ยากในบางครั้งคือการเลือกสิ่งทีดีที่สุด เพราะเรามีตัวเลือกที่ดีมากมาย ทั้งบริเวณนอกออสเตรเลีย สถานที่อื่น เช่น ไอซ์แลนด์ ท่ำให้เราเห็นภาพของฮอลโลว์ เอิร์ธชัดเจน และเรามีการถ่ายทำที่โมรอคโค ยิบรอลตาร์ โรม ฮาวาย และริโอ สถานที่เหล่านั้นช่วยยกระดับการสร้างโลกในภาพยนตร์ขึ้นมาได้มากจริงๆ” 

ความท้าทายด้านสถานที่

ทอม แฮมม็อค (ผู้ออกแบบฉากฯ): “ขั้นตอนการถ่ายทำที่เดนทรีมีความน่าทึ่งมาก แต่ก็มีความท้าทายเรื่องการคำนวณมากเช่นกัน จากที่พักเราต้องขับรถเกือบ 24 ชั่วโมงไปที่เดนทรี และสภาพอากาศมีความรุนแรงมาก ทั้งเรื่องฝน ความร้อน  ทาก  ไร งู นกขนาดใหญ่ จระเข้น้ำเค็ม เราร่วมงานกับทีมงานแผนกศิลป์ล่วงหน้าหลายสัปดาห์ ต้องใช้ความพยายามมหาศาลและความทุ่มเทจากทุกคนในการนำเครนเข้ามา ทำให้เราสามารถย้ายชิ้นส่วนในฉากได้โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องบินภาคสนามในบรรยากาศที่ซับซ้อนแบบนี้ และเราต้องคอยระวังจระเข้น้ำเค็ม นักชีววิทยาผู้ชำนาญพิเศษคอยไล่นกขนาดใหญ่ให้ออกไป และทุกคนต้องได้รับการบาดเจ็บจากทาก แต่เราทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่องานศิลปะของเรา จนเรารู้สึกตื่นเต้นกับการไปเยือนที่นัน ได้ภาพหายากมาถ่ายทอดในภาพยนตร์ การถ่ายทำในสถานที่ที่ห่างไกลและมีความโหดร้ายช่วยสร้างความโดดเด่นให้เรื่องนี้ และอดัม [วินการ์ด] และเบ็น [เซเรซิน] ตากล้อง พวกเขารักการอยู่ที่นั่น ในโลกแห่งความจริงเราได้รับความสมจริงอย่างที่หาจากไหนไม่ได้ ป่าในฮอลโลว์ เอิร์ธมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้มาก และเราพยายามมทำให้ผู้ชมได้เห็นป่าในแบบที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน การเดินทางออกไปยังป่าที่แสนไกลคือวิธีการสร้างองค์ประกอบสำคัญให้ฮอลโลว์ เอิร์ธของเรา

“พวกเราเดินทางเข้ามาและใช้ LiDAR [high-res 3D] สแกนต้นไม้ทุกต้น จากนั้นออกแบบฉากให้เหมาะกับช่องว่างระหว่างต้นไม้เหล่านี้ เราไม่อยากสร้างความเสียหายให้อะไร เราสร้างฉากที่อาจหักพังทลายได้ และต้องขนย้ายทีละชิ้นส่วน จากนั้นประกอบให้ลงตัวกับต้นไม้ของจริง… ทำให้เราได้ผลงานอันเหลือเชื่อจากป่าฝนแห่งนี้ที่มีความน่าเคารพอยู่ในตัว” 

เบ็น เซเรซิน (ผู้กำกับภาพ): ข้อดีของการถ่ายทำในสถานที่จริงบนโลก โดยเฉพาะในภาพยนตร์เรื่องนี้ คือการช่วยภาพที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาได้ ผมรักการทำงานในสถานที่จริง และเหตุผลส่วนหนึ่งนั้นคือการเก็บภาพที่อาจไม่อยู่ในจินตนาการ เราต้องรับมือกับหลายองค์ประกอบที่เราควบคุมไม่ได้และต้องปรับเปลี่ยน แม้จะปรับเปลี่ยนในสภาพธรรมชาติแล้วเราก็ยังพบความผิดพลาดได้ สิ่งเล็กๆ ที่อาจไม่เหมาะสมลงตัว แต่ช่วยสร้างความสมบูรณ์แบบให้ภาพได้ ตอนนี้ส่วนประกอบสำคัญคือการสร้างภาพลักษณ์ของเราขึ้นมา จากนั้นถ่ายทอดสิ่งที่เห็นสู่ผลงานในสตูดิโอ มันเป็นการผสมผสานกันของทั้งสองสิ่ง เมื่อภาพยนตร์ส่วนใหญ่อยู่ในพุ่มไม้และในป่า มักมีความท้าทายจากการพยายามสร้างมันขึ้นมาใหม่ในสตูดิโอ เราจึงพยายามผสมผสานผลงาน จากนั้นนำสิ่งที่ได้จากสตูดิโอมาปรบให้เข้ากับสถานที่จริงให้ได้มากที่สุดและกลับไปกลับมาตลอด หลายครั้งที่ผลงานในสตูดิโอมักจะได้ฉากที่เราต้องอาศัยการควบคุมสูง ซึ่งเป็นฉากที่ต้องการความสมจริงในนั้นด้วยแต่มีความทันสมัยขึ้นมาหน่อย สถานที่ของเดนทรีเราใช้ป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้อายุหลายพันปี ตอนนี้มันมีเอกลักษณ์ในตัวมาก เราไม่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้เลย แต่เราถ่ายทอดภาพนั้นออกมาและนำกลับมาใส่ในผลงานสตูดิโอ ซึ่งทำให้ได้ความน่าทึ่งขึ้นมาสูงมาก มนัสนุกมากที่ได้เห็นการผสมผสานนั้น”

ทีมนักแสดงระดับหัวกะทิ

อเล็กซ์ กราเซีย (ผู้อำนวยการสร้างฯ): “รีเบคก้า ฮอลล์ ผู้รับบท ดร.แอนดรูว์ส ในเรื่องนี้และรับบทครั้งแรกในเรื่อง  ‘Godzilla vs. Kong’ เป็นนักแสดงหญิงที่น่าทึ่งมาก เราโชคดีมากในแฟรนไชส์เรื่องนี้ที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงที่น่าทึงหลายคน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในเรื่องที่มีไอเดียงดงามและสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่เป็นหัวใจสำคัญ พวกเขาช่วยสร้างอารมณ์ที่สมจริง และรีเบ็คก้าก็เป็นพาร์ทเนอร์ที่เก่งคนหนึ่ง เธอร่วมงานได้อย่างเข้ากันดีกับเคย์ลี ฮอทเทิล ซึ่งมีความน่าทึ่งอยู่ในตัว เธอเป็นนักแสดงหูหนวกผู้รับบท เจีย ในเรื่อง ‘GvK’ และกลับมาร่วมงานในเรื่อง มิตรภาพแบบแม่ลูกระหว่างพวกเธอคือส่วนสำคัญของเรื่อง การมีนักแสดงหญิงที่ถ่ายทอดอารมณ์นั้นออกมาได้ในหนังไซไฟและแฟนตาซีนับว่าสร้างพลังได้อย่างน่าประทับใจมาก

“ไบรอัน ทรี เฮนรี่ ผู้รับบท เบอร์นี่ ที่เคยเห็นหน้าครั้งแรกในเรื่อง ‘GvK’ เขาเป็นแฟนสัตว์ประหลาดและแทบจะเป็นบล็อกเกอร์นักทฤษฎีการวางแผนลับของสัตว์ประหลาด เขาเป็นหูเป็นตาให้ผู้ชมแทบทุกอย่าง เขาคือนักแสดงที่มีความแปลก เต็มไปด้วยความสนุกสนาน แต่ไบรอันก็มีวิธีมองเห็นภาพทุกอย่างได้ชัดเจน อารมณ์ขันล้วนมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง มันมาจากตัวละคร และไบรอันเองก็เป็นแฟนหนังเหล่านี้โดยเฉพาะแนวนี้ เขาถ่ายทอดความสมจริงออกมาได้ เขารู้ว่าจะเล่นได้ไกลขนาดไหน จะรับมือกับมันได้มากขนาดไหน แต่ก็อยู่บนความสมจริงของเรื่องเสมอ

 

“ในหนังมีตัวละครใหม่ชื่อ แทรปเปอร์ รับบทโดยแดน สตีเวนส์ เขาเป็นสัตวแพทย์ของสัตว์ประหลาดโมนาร์ช เหมือนกับนักสัตววิทยาแห่งตำนาน เขาศึกษาเรื่องสิ่งมีชีวิต ทำงานกับพวกสิ่งมีชีวิตและคอยดูแลพวกมัน มีความสนุกหลายอย่างที่คองต้องการความช่วยเหลือในเรื่องนี้และแทรปเปอร์เข้ามาช่วย เขามอบความชำนาญแบบใหม่ที่ไม่เคยเห็นจากโมนาร์ช และแดน สตีเวนส์ก็เป็นนักแสดงที่เก่ง การได้เห็นเขารับบทตัวละครนี้ในผลงานการผจญภัยสุดยิ่งใหญ่เป็นเรื่องน่าทึ่งมาก แทรปเปอร์เป็นคนมีอารมณ์ขัน มีความตลก แต่ก็ยังมีความจริงจังในทีมนี้ มันสนุกมากเลยครับ


และเราก็ยังมีนักแสดงที่เก่งอีกหลายคนผู้มารับบทสำคัญอย่างอเล็กซ์ เฟิร์นส และ ฟาล่า เฉิน ไม่ว่าพวกเขาจะปรากฎตัวเวลาไหนบนหน้าจอ ตัวละครของพวกเขามีชีวิตชีวาและเพิ่มสีสันให้เรื่องราวตลอด อเล็กซ์ถ่ายทอดบทได้อย่างโดดเด่น ดูเป็นคนที่มีความถนัดในด้านนั้นจริงๆ ส่วนฟาล่าถ่ายทอดพลังความสงบและความงดงามสู่ตัวละครของเธอได้ดี และยังสร้างความสดใสออกมาสู่ผลงานได้อีกด้วย”

ทีมงานระดับแนวหน้า

เอริค แม็คเลียด (ผู้อำนวยการสร้างฯ): “ทีมอดัมและผู้สร้างภาพยนตร์มารวมตัวกันคือทีมงานระดับแนวหน้า พวกเขามีความหลงใหลในโปรเจ็กต์ ผู้กำกับภาพของเรา เบ็น เซเรซิน ถ่ายทำภาพยนตร์ 2 เรื่อง ทอม แฮมม็อค เป็นผู้ออกแบบฉากในภาพยนตร์ 2 เรื่อง ส่วนเอมิลี่ เซเรซิน นี่เป็นผลงานแรกของเธอในฐานะผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายและฝากผลงานไว้ได้น่าทึ่ง อเลสซานโดร ออนกาโร ทำหน้าที่ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ มีพื้นฐานด้านแอนิเมชั่นซึ่งเหมาะกับหนังเรื่องนี้ที่ไม่ได้มีแค่ไลฟ์แอ็คชั่นวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์เยอะมาก แต่ยังมีคอมพิวเตอร์กราฟฟิคเอ็ฟเฟ็กต์รวมอยู่ด้วย ทีมงานนี้ทำงานอย่างทุ่มเทกันมานานกว่า 1 ปี เพื่อสร้างจินตนาการของอดัม วินการ์ดให้เป็นรูปร่างขึ้นมา” 

อดัม วินการ์ด ในฐานะผู้กำกับฯ

ทอม แฮมม็อค (ผู้ออกแบบฉาก): “อดัมคือความสนุกอย่างหนึ่ง เรามีเด็กในร่างผู้ใหญ่ที่มีความฝันตั้งแต่ช่วงไฮสคูลว่าจะสร้างหนังก็อตซิลาและคอง ตอนนี้เขาทำได้แล้วและถ่ายทอดพลังนั้นสู่ฉากอย่างเต็มที่ ผมคิดว่ามันช่วยได้เยอะมากเลย ไม่ใช่แค่กับทีมงานทุกคนแต่รวมถึงนักแสดงด้วย อดัมจะคอยกระตุ้นและทำทุกคนตื่นเต้นตลอด ทำให้ทุกอย่างผ่อนคลาย นักแสดงจะสัมผัสสิ่งนั้นได้และสามารถถ่ายทอดบทของตัวเองออกมาได้ดี มันช่วยทำให้เขาสร้างความเป็นธรรมชาติในหนังแนวนี้ได้ เป็นอะไรที่เรามักไม่ค่อยเจอกัน และเมื่อมองย้อนกลับมาจนถึงวันสุดท้าย เราได้สร้างหนังที่เกี่ยวกับสัตว์ประหลาดยักษ์ขึ้นมา ใครบ้างจะไม่อยากทำอะไรแบบนั้นล่ะ?”

พูดถึงฮอลโลว์ เอิร์ธ

เอริค แม็คเลียด (ผู้อำนวยการสร้างฯ): “ฮอลโลว์ เอิร์ธโผล่มาเล็กน้อยในเรื่อง ‘Kong: Skull Island’ จากนั้นมีการสำรวจมากขึ้นในเรื่อง ‘GvK’ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการบินผ่านและเห็นเพียงไม่กี่ฉาก อดัมอยากเจาะลึกลงไปมากขึ้น พาทีมงานไปอยู่ในฮอลโลว์ เออิร์ธ แต่เขาไม่อยากให้ที่นั่นรู้สึกเหมือนถ้ำ อยากให้ดูเป็นโลกของตัวเอง มีธรรมชาติของตัวเอง ทั้งเพดานและพื้นมีการปรับให้เหมาะกับที่นั่น มีการสร้างแผนที่ขึ้นมาและเขาอยากให้มีสีสันที่สดใสขึ้นด้วย อยากให้ที่นั่นมีทั้งความสว่างและความมืด ด้านมืดจะมีพวกภูเขาไฟระเบิด ส่วนด้านสว่างจะเป็นทางเดินป่า ผมคิดว่าเขาคิดถึงความดีกับความชั่ว ไอวี่ของเราอยู่ด้านสว่างในป่า ส่วนสการ์ คิงอยู่ด้านมืดในภูเขาไฟ ผมคิดว่าเขาอยากให้หน้าตาของฮอลโลว์ เอิร์ธเป็นที่ๆ ทุกคนพูดได้ว่า  ‘ฉันอยากไปที่นั่นแม้จะเสี่ยงฉันก็อยากไป ฉันอยากไปทัวร์ฮอลโลว์ เอิร์ธ’ ผมคิดว่าเขาผลักดันทอม แฮมม็อค สถานที่ต่างๆ ทีมงานทั้งหมดและฝ่ายสร้างสรรค์ว่า ‘มาทำให้ฮอลโลว์ เอิร์ธดูเป็นที่ๆ เราอยากเข้าไปเยือน… แต่บนความตื่นเต้นนั้นก็มีอันตรายอยู่ด้วยเช่นกัน’” 

เบ็น เซเรซิน (ผู้กำกับภาพ): “ความท้าทายในเดนทรีมีอยู่สองสามเรื่อง คือเราต้องสร้างโลกฮอลโลว์ เอิร์ธขึ้นมา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของโลก ประเด็นแรกคือที่นั่นไม่มีแสงอาทิตย์ เมื่อเราถ่ายทำสถานที่จริง เราต้องรับมือกับเรื่องแสงอาทิตย์ที่พบ จากนั้นต้องเลือกถ่ายภาพรายละเอียดธรรมชาติและคิดว่าพวกมันคือเพื่อน มีการอาศัยควันมาผสมในการถ่ายทำบางช่วง การถ่ายทำในป่าที่มีแสงแทบจะมีน้อยมาก เราสามารถควบคุมองค์ประกอบทางธรรมชาติได้เพียงบางส่วน และบางครั้งเราก็ถ่ายทำในสภาพแวดล้อมที่เราปรับเปลี่ยนอะไรได้เพียงน้อยนิด หลายครั้งสถานที่จะพาเราไปพบกับความน่าสนใจ เราได้คิดอะไรด้วยตัวเอง ได้เห็นอะไรในแบบที่ไม่คาดหวังหรือวางแผนมาก่อน แล้วความมหัศจรรย์ก็จะเกิดขึ้น นั่นคือข้อดีของการถ่ายทำสถานที่จริง เราต้องเก็บช่วงเวลาพิเศษนั้นไว้และพูดว่า ‘เฮ้ นี่ไม่ใช่อย่างที่เราคิดเอาไว้ แต่มันดูน่าทึ่งมากเลย’ จากนั้นจึงค่อยกลับไปหาเหตุผลให้กับภาพลักษณ์นั้นที่ได้  

“ในเรื่องนี้เราจะได้พบความท้าทายหากไม่มีดวงอาทิตย์ในฮอลโลว์ เอิร์ธ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่าที่นั่นไม่มีเลย แสงสว่างจะมาจากที่ไหน? อดัมพัฒนาไอเดียว่าให้ที่นั่นมีแหล่งพลังงานคริสตัลในฮอลโลว์ เอิร์ธ ทำให้เขามีแหล่งพลังงานแสงสว่าง สามารถเปลี่ยนสีได้ บางครั้งมีความสว่าง บางครั้งมีความมืด บางครั้งดูมีพลัง บางครั้งเห็นจางๆ ด้านหลัง จากนั้นเราเพิ่มรายละเอียดเหล่านี้ทั้งในสถานที่จริงและการถ่ายทำในสตูดิโอ เราสามารถสร้างภาพที่มีเอกลักษณ์ขึ้นมาได้ แต่ไม่ไกลเหนือความเป็นจริงหรือโลกที่เรารู้จัก มีขอบเขตกำหนดแน่ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่เราจะพบได้ในป่าธรรมดา มันวิเศษมากเลยครับ”  

 

ตัวละครซูโก

ทอม แฮมม็อค (ผู้ออกแบบฉาก): “ตั้งแต่ช่วงแรกของซูโก อดัมต้องการยักษ์ใหญ่ที่มีความน่ารัก มีท่าทางในแบบของตัวเอง ดูชอบหลบๆ ซ่อนๆ สนุกสนาน ช่างสงสัยในสิ่งต่างๆ มีทุกอย่างที่เคยเห็นในวานรเด็ก และอดัมได้ดูภาพยนตร์สารคดีและฟุตเทจของเจน กูดัลหลายเรื่อง สังเกตลิงเด็ก วานรเด็ก กอริลล่าเด็ก พวกมันเป็นแบบไหนกัน? ซึ่งมันทำให้เขาได้ตัวละครที่มีความโดดเด่นในแบบคองและมีความน่ารักสำหรับผู้ชม”

ตัวละครสการ์ คิง

ทอม แฮมม็อค (ผู้ออกแบบฉาก): “สำหรับสการ์ คิง อดัมกับผมเริ่มตั้งข้อสังเกต และมันค่อนข้างน่ากลัวนิดหน่อยสำหรับในสังคมของวานรผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อเรามีพวกวานรโดยเฉพาะมีชิมแปนซี เป็นการใช้ชีวิตแบบออกล่าลิงตวอื่นๆ ใช้ชีวิตล่าวานรตัวอื่นๆ พวกมันมองตัวอื่นต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยอื่น มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบางชนิดที่ดูโหดร้ายสำหรับพวกมัน พวกมันมีความแข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง และเราเริ่มสังเกตวานรกลุ่มหนึ่ง พวกมันใช้ชีวิตอย่างไร อะไรกัน และมีการวาดโครงหน้า พวกมันใช้มืออย่างไร ลักษณะท่าทาง และสิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานตัวละครของเรา สการ์ คิงมีอาวุธสำคัญอย่างการตีด้วยกระดูก ไอเดียที่ได้คือเขาต้องเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีกระดูกสันหลังที่ยาวพอ ซึ่งจะเอาชนะและใช้เป็นอาวุธที่น่ากลัวได้ เป็นสิ่งที่สร้างความโดดเด่นให้เขา แต่ก็เทียบเท่าพอๆ กับขวานของคอง”

อเลสซานโดร ออนกาโร (ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์): “เราอยากให้สการ์ คิงมีความคิดว่าเขาคือผู้ยิ่งใหญ่ในโลก เขาไม่แคร์หรือเคารพใคร เขาไม่แคร์คอง เราอยากแน่ใจว่าสิ่งนี้ถ่ายทอดผ่านภาษาร่างกายได้ เขาเดินดูคล้ายกับอุรังอุตังแต่ดูมีความคิดมากกว่านั้น เขาคือวายร้ายตัวสำคัญในเรื่อง เขามีทาสคอยทำงานให้ เขารู้สึกว่าไม่มีอะไรโค่นล้มเขาได้ เมื่อต่อสู้กับคอง ไม่มีอะไรต้องเกรงกลัว เพราะเขารู้ดีว่าตัวเองคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด” 


เหล่าไอวี่แห่งฮอลโลว์ เอิร์ธ

ทอม แฮมม็อค (ผู้ออกแบบฉาก): “สำหรับภาพของเหล่าไอวี่ในเรื่อง เราพยายามแบ่งที่มาที่ไปของเขาเป็น 2 มุม หลายด้านมีอดีตที่คล้ายกับมนุษย์ อย่างแรกคือตั้งแต่ยุคหิน และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เกิดความเสียหาย ด้วยอารยธรรมที่อิงจากหินโดยพื้นฐาน จากนั้นอารยธรรมก้าวกระโดดด้วยเคโนโลยี และเราเข้าไปหาพวกเขาในหมู่บ้านขนาดใหญ่ วิหารสี่เหลี่ยมและรายล้อมด้วยปิระมิดคริสตัล พวกเขาได้พบกับโลหะจนเริ่มสร้างเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่ทำให้พวกเขาควบคุมแรงโน้มถ่วงโลกได้ และปรับเปลี่ยนหลายสิ่งได้สำเร็จ มีการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาที่ต่างจากระบบวิศวกรอย่างที่เรามีในโลกของเรา”

เบ็น เซเรซิน (ผู้กำกับภาพ): “ฉากหมู่บ้านไอวี่มีความน่าทึ่งมาก และการถ่ายทำในฉากนั้นมันทำให้เราได้เข้าไปสู่เมืองที่เป็นหมู่บ้านแสงไฟคริสตัล ในเนื้อเรื่องจะมีปิระมิดขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีคริสตัลขนาดหลายหมื่นดวงส่องแสงสว่าง นั่นคือสิ่งที่สร้างขึ้นมาจริงๆ เราตื่นเต้นมากที่มันกลายเป็นแหล่งให้แสงสว่างได้ดีเยี่ยม แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถทำได้ในสถานที่จริง ด้วยความแตกต่างของบรรยากาศหลายส่วนในฮอลโลว์ เอิร์ธ ซึ่งเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียว มีพืชหลากหลาย เราสามารถสร้างบรรยากาศที่มีความหลากหลายและมีสีสันขึ้นมาได้ เราสร้างโทนสีที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ตลลอดเวลา เรารู้สึกว่าหมู่บ้านนั้นให้ความรู้สึกว่ามีพลัง เป็นบรรยากาศที่มีชีวิตจริง มีรายละเอียดที่น่าสนใจหลายอย่าง ทั้งเรื่องการเปลี่ยนสีสันและรู้สึกเหมือนอยูอีกโลกหนึ่ง” 

บอกเล่าเรื่อองราวผ่านเสื้อผ้า

เอมิลี่ เซเรซิน (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย): “นับเป็นการทำงานสุดวิเศษในหนังที่มีความสนุกและความตื่นตามากมาย โดยเฉพาะตัวละครที่ไม่ธรรมดาทั้งหมดที่ ‘มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ’ สิ่งสำคัญมากคือการทำให้ตัวละครอยู่บนพื้นฐานความจริงในสภาพบรรยากาศนั้น ฉันคิดว่ามันช่วยสนับสนุนพวกเขาและช่วยยกระดับตัวละคร ทำให้พวกเขาสนุกไปกับมันได้ ฉันคิดว่ามีหลายสิ่งกเดขึ้นในห้องแต่งตัวเมื่อร่วมงานกับนักแสดง ต้องค้นหาสิ่งที่ดูเหมาะสมสำหรับพวกเขา… และบางครั้งก็ยากที่จะหาความเหมาะสมนั้นได้ เพราะมันคือภาษาที่มีความเป็นตัวของมันเอง โดยเฉพาะเสื้อผ้าร่วมสมัยและการทำงานข้ามพื้นที่ ทีมงานจากวิสคอนซินจะมีไอเดียที่ต่างจากทีมงานจากซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลียโดยสิ้นเชิง เกี่ยวกับเรื่องรองเท้าผ้าใบและมันเป็นเรื่องจริง การร่วมงานกับทีมนักแสดงอย่างใกล้ชิดจึงมีความสำคัญสำหรับฉันมากค่ะ และมันวิเศษมากเวลาที่เราเจออะไรเป็นหัวใจสำคัญของตัวละคร มันเหมือนกับรองเท้าบูทสักคู่หนึ่ง ภารกิจของบูทสำหรับตัวละครเจียของเคย์ลี เธอตื่นเต้นที่จะได้ลองสวมใส่ เพราะเธอเป็นหนึ่งในทีมที่ได้สวมมันในเรื่องนี้ เมื่อสวมแล้วจะทำให้เธอดูสูงขึ้นและดูมีพลัง มันวิเศษมากที่ได้เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของเธอแบบนั้น” 


สิ่งที่เฝ้ารอผู้ชมอยู่

อเล็กซ์ กราเซีย (ผู้อำนวยการสร้างฯ): “เรื่อง ‘Godzilla x Kong: The New Empire’ เป็นภาพยนตร์ผจญภัยที่มีความยิ่งใหญ่และสนุกสนาน เรามีฉากที่มีความยิ่งใหญ่พร้อมกับฉากการต่อสู้ของสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ แต่เราก็มีการเดินทางที่ตื่นเต้นเหลือเชื่อเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เชื่อมโยงกับผู้คนที่หายสาปสูญและคองได้ คองพบว่าเขาไม่ใช่ตัวสุดท้ายในสายพันธุ์ ยังมีตัวอื่นที่เหมือนเขาอีก รวมถึงวานรอายุน้อยที่ชื่อซูโก แน่นอนว่ายังมีก็อดซิลล่า ที่มาสร้างความสมดุลและปกป้องเรา เรามีการรวมตัวของตัวละครมนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้ มีความสมจริงและมีความสนุกสนาน มีความตื่นเต้นในเรื่องอย่างที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน ในหนังมีทุกอย่างที่เหมาะสำหรับทุกคน”

รายละเอียดของเหล่ายักษ์ใหญ่…

ก็อดซิลล่า  (สูง 393 ฟีต) นักล่าที่มีความสูงใหญ่เท่าตึก เขาถูกปลุกจากความอวดดีของมนุษย์และการใช้อาวุธในสงครามอย่างไร้สมอง ก็อตซิลาเหมือนภูเขาที่มีชีวิต เป็นนักล่าแห่งธรรมชาติที่ดุร้าย มีแรงผลักดันจากสัญชาตญาณการปกป้องโลกจากสัตว์ที่มารุกราน โดยใช้ซูเปอร์ชาร์จฮีทเรย์และการตวัดหางทำลายล้างเมือง

ครั้งสุดท้ายที่เราเจอก็อดซิลล่า ในเรื่อง “Godzilla vs. Kong” เขาเริ่มมี่ท่าทางเปลี่ยนไป ไม่ค่อยทำลายล้างเมืองอย่างไร้ทิศทาง ทำให้เหล่านักวิทยาศาสตร์แห่งโมนาร์ช ตัวแทนด้านสัตววิทยาแห่งตำนานขององค์กรตัดสินใจศึกษาเกี่ยวกับพวกเหล่ายักษ์ใหญ่ เพื่อหาเหตุผลว่าทำไมเขาเปลี่ยนใจเข้าหามนุษย์ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ความมุ่งมั่นของ APEX อยู่เบื้องหลังการปรับเปลี่ยนของยักษ์ใหญ่ ทำให้ทั้งก็อดซิลล่า และคองขัดขวางการผลิตล่าสุดขององค์กรอย่างเมชาก็อดซิลล่า 

สัตว์ขนาดยักษ์ที่มีทั้งกล้าม พลัง และอำนาจอย่างน่าเกรงขาม คอง (สูง 337 ฟีต) ยังไม่โตเต็มที่นักในช่วงที่เราเห็นในเรื่อง  “Kong: Skull Island” และยังไม่เป็นคองที่โตเต็มวัยเกินกว่าบ้านของเขาในเรื่อง “Godzilla vs. Kong” ตอนนี้เวลาล่วงเลยไปคองและก็อดซิลล่า ต้องต่อสู้กัน รวมถึงเมชาก็อดซิลล่า ด้วย ตอนนี้คองอายุมากขึ้น ฉลาดขึ้น และอาศัยที่ฮอลโลว์ เอิร์ธอย่างเต็มตัว… แม้จะอ้างว้างไปบ้าง คองยังคงปรากฏตัวบนจอยักษ์และเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับก็อดซิลล่า  แต่เขาจะเผชิญหน้ากับภัยร้ายที่ยิ่งใหญ่กว่าในฮอลโลว์ เอิร์ธได้ และทวงบัลลังก์ของบรรพบุรุษกลับมาได้หรือไม่?

ตอนนี้คองมีอาวุธ (ของจริง) เป็นถุงมือ B.E.A.S.T. (Bio-Enhanced Anatomech Seismic Thunder Glove)จากผู้ชำนาญแห่งโมนาร์ชจัดหาให้ 


แม้จะมีการ “บรรยายลักษณะ” ของเขาไว้อย่างชัดเจนและมีการโต้เถียงกันในบางครั้ง ตั้งแต่ปรากฎตัวให้เห็นบน Skull Island เมื่อหลายปีก่อน สการ์ คิง (สูง 318 ฟีต) ได้รับการยืนยันว่าเป็นเจ้าของและภัยคุกคามใหม่ของฮอลโลว์ เอิร์ธ ของคองและอาจจะของโลกด้วย เขาคือวายร้ายที่รอในเงามืดมาอย่างยาวนาน เป็นวายร้ายที่ก็อดซิลล่า และคองต้องจับมือกัน หากพวกเขาและพวกเราจะอยู่รอดได้

“ลุกขึ้นสู้ด้วยกันหรือโค่นล้มอย่างลำพัง” นี่คือแรงผลักดันจากการคุกคามของสการ์ คิง ที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ มีกองทัพทาส และการหวดตวัดที่รุนแรงจากแกนกระดูกสันหลังของยักษ์ใหญ่


เป็นเวลาหลายปีที่คองคิดว่าตัวเองคือตัวสุดท้ายในสายพันธุ์ แต่หลังจากช่วงที่เขาอยู่ในฮอลโลว์ เอิร์ธ เขาได้พบกับเพื่อนใหม่ที่คาดไม่ถึง… ซูโก (สูง 149 ฟีต) เขาคือ “มินิคอง” และเป็นฮีโร่ที่อายุน้อยมาก เขามีความซนและขี้อาย แต่มีความขี้สงสัยและกระตือรือร้นที่จะพาคองไปที่บ้านของเขาในฮอลโลว์ เอิร์ธ ซูโกยังเป็นนักสู้ที่รักการต่อสู้และมีความเกเร มีความเข้มแข็งที่หาได้ยาก มีความคิดร้ายและกัดได้ขนาดเท่าคอง

แต่คองได้พบกับ “เพื่อน” ใหม่ตัวจริงหรือยังมีสิ่งน่าสนใจเบื้องหลังงในตัวยักษ์ใหญ่อาวุโสอีก?