ภาพยนตร์เรื่อง THE DARKEST MINDS เป็นภาพยนตร์ไลฟ์แอคชั่นเรื่องแรกของผู้กำกับฯ เจนนิเฟอร์ ยูห์ เนลสัน ผลงานที่มีชื่อเสียงของเธอ ได้แก่ ภาพยนตร์แฟรนไชส์ Kung Fu Panda ภาพยนตร์ดัดแปลงมาจากหนังสือขายดีของอเล็กซานดร้า แบรคเคน ผลงานตอนแรกจากไตรภาคของ YA (The Darkest Minds, Never Fade และ In the Afterlight)

ภาพยนตร์นำแสดงโดย อแมนด์ลา สเตนเบิร์ก (The Hunger Games) ในบท “รูบี้ ดาลี”, แมนดี้ มัวร์ (This Is Us) ในบท “เคท”, แบรดลีย์ วิตฟอร์ด (Get Out) ในบทประธานาธิบดีเกรย์, แฮร์ริส ดิกคินสัน (Beach Rats) ในบท “เลียม สจ๊วต”, แพทริค กิ๊บสัน (The OA) ในบท “Clancy Gray”, ไมยา เคช (American Horror Story) ในบท “ซู”, สกายแลน บรูคส์ (Southpaw) ในบท “ชับส์”, ลิดยา เจเว็ตต์ (Hidden Figures) ในบท “รูบี้ตอน 10 ขวบ” และ เกว็นโดไลน์ คริสตี้ (Game of Thrones) ในบท “เลดี้ เจน”

เนลสันกำกับฯ จากบทภาพยนตร์ของแชด ฮอดจ์ เขามีชื่อเสียงจากผลงานที่อยู่ในฐานะผู้สร้าง ผู้ควบคุมโชว์ และผู้อำนวยการสร้างบริหารของผลงานทาง TNT เรื่อง Good Behavior และผลงานทาง Fox เรื่อง Wayward Pines

21 Laps ที่ตั้งอยู่ใน Fox (Stranger Things, Arrival) ของชอว์น เลวี่ และ แดน ลีไวน์ อำนวยการสร้างฯ ร่วมกับ แดน โคเฮน ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารฯ และยังอำนวยการสร้างบริหารฯ โดย จอห์น เอช. สตาร์ค

ทีมงานฝ่ายสร้างสรรค์ของเนลสัน ได้แก่ ผู้กำกับภาพ คราเมอร์ มอร์เกนธอว์ (Thor: The Dark World) ผู้ออกแบบฉาก รัสเซล บาร์นส (Captain Fantastic) ผู้ลำดับภาพ มาร์ยาน แบรนดัน (Star Wars: Episode VII – The Force Awakens) และ ดีน ซิมเมอร์แมน (Stranger Things) ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ ยอร์น เมเยอร์(Oblivion) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แมรี่ แคลร์ ฮานแนน (Paper Towns)

ภาพยนตร์ถ่ายทำทั้งพื้นที่ภายในและโดยรอบเมืองแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย จะมีการฉายวันที่ 3 สิงหาคม 2018

ภาพยนตร์ได้รับเรททั่วไป

เมื่อรูบี้ตื่นขึ้นมาในวันเกิดครบปีที่ 10 ของเธอ มีบางอย่างเกี่ยวกับตัวเธอเปี่ยนไป ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่ทำให้พ่อแมของเธอต้องจับเธอขังล็อคไว้ในโรงรถและโทรหาตำรวจ เป็นสิ่งที่ทำให้เธอต้องถูกส่งตัวไปยังเธอร์มอนด์ แคมป์ฟื้นฟูสมรรถภาพของรัฐบาลอันโหดร้าย” เธออาจรอดชีวิตจากโรคปริศนาที่คร่าชีวิตเด็กอเมริกันส่วนใหญ่ แต่เธอและคนอื่นๆ มีบางอย่างที่เลวร้ายกว่านั้น คือความสามารถอันน่ากลัวที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้

ตอนนี้เธออายุ 16 ปี รูบี้เป็นหนึ่งในผู้ที่ตกอยู่ในอันตราย เมื่อความจริงปรากฎออกมา รูบี้แทบจะหมดหนทางหลบหนีจากเธอร์มอนด์ ตอนนี้เธอต้องหลบหนีอย่างหมดหวังเพื่อหาที่หลบภัยสำหรับเด็กพิเศษอย่างเธอ ซึ่งเรียกที่นั่นว่าอีสต์ริเวอร์ เธอรวมกลุ่มกับเด็กๆ ที่หลบหนีออกจากค่าย เลียมเป็นผู้นำกลุ่มที่กล้าหาญ เขาตกหลุมรักรูบี้ ซึ่งไม่ว่าเธอจะทำให้เขาเจ็บปวด

ขนาดไหน รูบี้ไม่กล้าเสี่ยงเข้าใกล้เขา เพราะไม่อยากให้เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ของเธอ เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงอีสต์ริเวอร์ ทุกอย่างไม่เหมือนกับอย่างที่ควรจะเป็น อย่างน้อยก็คือผู้นำที่ดูลึกลับของที่นั่น

แต่ในการทำงานยังมีความกดดันอื่นอีก ทุกคนพร้อมทำทุกทางเพื่อใช้รูบี้ต่อสู้กับทางรัฐบาล รูบี้จะเผชิญกับทางเลือกที่โหดร้าย ซึ่งนั่นอาจรวมถึงการทิ้งโอกาสเดียวที่จะใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า

* อเล็กซานดรา แบร็กเคน

รายละเอียดการถ่ายทำ

ภาพยนตร์สร้างอิงจากนิยายของวัยรุ่นที่ได้รับความนิยม เรื่อง “The Darkest Minds” ซึ่งเป็นเรื่องราวของความวุ่นวายในประเทศอเมริกา เมื่อเด็กราว 98% ต้องเสียชีวิตลงอย่างลึกลับ เหลือเด็กเพียง 2% ที่รอดชีวิตและตกอยู่ในอันตรายจากสถานการณ์ที่กดดันให้พวกเขาต้องหลบหนี

“ภาพยนตร์เป็นเรื่องราวของเด็กที่ใช้พลังพวกนี้ในการเอาตัวรอด มีการต่อสู้เกิดขึ้นมากมาย แต่ก็มีเรื่องของความรู้สึกเยอะมากด้วย” ผู้กำกับฯ เจนนิเฟอร์ ยูห์ เนลสันกล่าว

ในเรื่อง “The Darkest Minds”จะสื่อกับผู้ชมว่าตัวละครต่างๆ ต้องต่อสู้กับอะไร และได้เห็นพวกเขาตกอยู่ในฝันร้าย “เราอยากให้รู้สึกสมจริงเหมือนที่เราเป็นอยู่ในทุกวันนี้” เนลสันกล่าว “นั่นคือสิ่งที่ทำให้พลังอำนาจมีความพิเศษ มันขัดแย้งกับโลกแห่งความจริงโดยทั่วไป เราควรนึกภาพว่าเราออกไปข้างนอกและเห็นคนทำอะไรแปลกๆ แบบนี้ได้ เราไม่ต้องอาศัยบรรยากาศในหนังให้ไกลตัวเหมือนยุคพีเรียดหรือเหนือจินตนาการ และเป็นสถานที่ๆ ดูคลุมเครือ เราอยากให้ผู้ชมเชื่อว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้”

“ฉันคิดว่าเป็นเรื่องที่ต่างจากสิ่งเดิมๆ ในโลกที่เราระวังเรื่องความตายของเรา” เกว็นโดไลน์ คริสตี้ ผู้รับบทนักล่าหัว เลดี้ เจน กล่าว “และฉันคิดว่าเราอยู่ในช่วงที่มีความสับสน และไม่ต่างจากผลที่ตามมาจากความวุ่นวายในเรื่อง มันส่งผลกับชีวิตเรามากกว่าเดิม ด้วยความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเรื่องจริงซึ่งมันวิเศษมาก”

“‘The Darkest Minds ถือเป็นการผจญภัยที่น่าสนใจ เพราะเราได้ลิขสิทธิ์จากหนังสือเมื่อ 5 ปีก่อน และนั่นเป็นช่วงที่บริษัท 21 Laps เป็นที่รู้จักด้านผลงานคอมเมดี้หรือผลงานแนวครอบครัว” ชอว์น เลวี่ เจ้าของบริษัท 21 Laps ผู้ผลิตภาพยนตร์กล่าว “แต่ผมรู้มาตลอดว่าเราอยากก้าวสู่ความแตกต่างแบบนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเรียกมันว่า ‘แนวอิงจากตัวละคร’”

“ผมคิดว่าเรื่องราวแบบนี้มีความเป็นอมตะอยู่ในตัว” แดน ลีไวน์ ผู้อำนวยการสร้างฯ กล่าวเสริม “และเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป เป็นเรื่องราวของเด็กที่โตขึ้นเป็นวัยรุ่น และพบว่าตัวเองมีความแตกต่าง ซึ่งไม่มีใครเข้าใจโดยเฉพาะพวกผู้ใหญ่และรัฐบาล พวกเขาจึงถูกส่งตัวไปยังที่พักชั่วคราว เนื้อเรื่องตามติดชีวิตเด็กเหล่านี้ที่โตขึ้นเรียนรู้การต่อสู้เพื่อตัวเอง ปกป้องตัวเอง ผมคิดว่ามันมีความกลัวอยู่ในตัวและมีการตามหาการยอมรับอยุ่หลายครั้งเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ใหญ่”

“เรื่องราวเกี่ยวกับโลกที่ไม่แตกต่างจากโลกของเราสักเท่าไหร่” อแมนด์ลา สเตนเบิร์ก ผู้รับบท รูบี้ ดาลี กล่าว “แต่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น เด็กส่วนใหญ่ต้องเสียชีวิตลง ส่วนเด็กที่เหลือกลับมีพลังจิตอย่างไม่สามารถอธิบายได้ และเป็นเพราะความสามารถทั้งหลายนี้ด้วย พวกผู้ใหญ่ต่างหวาดกลัวและส่งตัวพวกเขาไปอยู่ในที่พักชั่วคราว เรื่องราวส่วนใหญ่จึงให้ความสนใจที่เด็กผู้หญิงคนนี้ เธอหลบหนีจากที่พักออกมาได้ และเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเธอพบกับครอบครัวของเธอที่อยู่ด้านนอก”

“ใครก็ตามที่เคยเป็นวัยรุ่นจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี” ลีไวน์กล่าว “และนั่นคือสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันทำให้เราดูต่างออกไป เวลาที่ผู้ชมเห็นตัวอย่างหนังและได้ไปดูหนัง เราก็เริ่มรู้สึกว่านี่เป็นหนังที่สะท้อนถึงช่วงเวลานี้ และเป็นเรื่องที่ดูสมจริงมากเหมือนอาจเกิดขึ้นพรุ่งนี้ได้เลย แม้ว่าจะมีเรื่องเกี่ยวกับจินตนาการและเรื่องพลังวิเศษอยู่ในนั้น มันทำให้เรารู้สึกสมจริงและมันเกิดขึ้นในอนาคตที่มีความวุ่นวายและมีกฎระเบียบของโลกแบบใหม่”

“สิ่งที่ทำให้ ‘The Darkest Minds’ มีความพิเศษต่อฉันคือสามารถสร้างความแตกต่างขึ้นมาได้” เนลสันกล่าวเสริมว่า “ฉันคิดว่าสัญลักษณ์ ‘YA’ ของหนังคือสิ่งที่เคยตราตรึงและมีความคาดหวังสูง ฉันอยากทำบางสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ มีความแปลกใหม่ และ ‘The Darkest Minds’ มีความแปลกใหม่แบบนั้นแม้แต่ในบทภาพยนตร์ มันมีความรู้สึกสะท้อนอย่างชัดเจน มีตัวละครที่จับต้องได้จริงและเห็นตัวตนได้ชัดเจนจนเราอยากใช้เวลาอยู่กับพวกเขา มีฉากแอคชั่นที่น่าทึ่ง แต่สิ่งที่ส่งผลต่อฉันมากที่สุดคือเรื่องความรู้สึกของเรื่อง”

“มีหลายประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นในหนัง” เลวี่กล่าว “เป็นหนังที่เกี่ยวกับความเป็นพี่น้องและการเคารพกันในแนวนี้ นี่เป็นหนังที่เกี่ยวกับเด็กมีพลังบางอยาง แต่คนที่มีชีวิตรอดไม่เคยมีใครต่อสู้ดิ้นรนเพื่อค้นหาความพิเศษนั้น มันเป็นการค้นหาที่พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่น และนั่นคือประเด็นสำคัญในหนังของเรา”

“สุดท้ายก็มีเพียงเด็กกลุ่มเล็กๆ ที่มีพลังพิเศษเหนือมนุษย์ พวกเขายังไม่เข้าใจอะไรดีนัก พวกเขาได้มาพบกันเพราะถูกผู้มีอำนาจกำหนดไว้ และมันขึ้นอยู่กับความไว้ใจและความเข้าใจกันของพวกเขาในระหว่างที่ตามหาคนอื่นๆ ที่เหมือนพวกเขา มันอาจมีทั้งเนื้อเรื่องและเหตุการณ์ที่มีความดุเดือด แต่โดยพื้นฐานแล้วเป็นเรื่องของความหวัง มีความหวังเรื่องความเป็นไปได้ที่จะเชื่อมโยงถึงกันและความเป็นไปดในการยอมรับกัน เลวี่กล่าว

“หนังเรื่องนี้ครอบคลุมทุกช่วงวัย” เนลสันกล่าว “มันไม่ได้เกี่ยวข้องแค่วัยรุ่น ทุกคนที่อยู่ในจุดนั้นเวลาที่รู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่เป็นอยู่ มันเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับสิ่งที่เราไม่มีความสุข เรามองเห็นข้อผิดพลาด และการโตขึ้นมาในที่ๆ ยอมรับในสิ่งเหล่านั้นได้ เข้าใจในสิ่งที่ทำให้เราแตกต่างไม่เหมือนใครและใช้มันเป็นพลังที่แข็งแกร่ง ในเรื่องนี้เกี่ยวกับตัวละครที่ดูไร้พลังใน

ช่วงแรก เป็นคนขี้กลัวและอายในสิ่งที่เธอเป็น ซึ่งสุดท้ายเราได้เห็นเธอโตขึ้น ได้เห็นเธอมีบุคลิกที่แข็งแกร่ง สามารถทำสิ่งที่เธอไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ ทุกคนเห็นความชัดเจนได้จากการผจญภัยนั้น”

จากพื้นฐานด้านแอนิเมชั่นและความหลงใหลในด้านกังฟูและภาพยนตร์แอคชั่น เนลสันจึงเป็นผู้กำกับฯ ในที่เหมาะต่อการควบคุมหนังแอคชั่นผจญภัยที่มีผู้หญิงแสดงนำ

“เราพบกับผู้สร้างภาพยนตร์หลายคนเพื่อมากำกับฯ ‘The Darkest Minds’” เลวี่ยอมรับ “ซึ่งในช่วงแรกเราฝันไว้ว่านี่เป็นเรื่องของการผจญภัยที่มีผู้หญิงเป็นฮีโร่ ถ้าเราหาผู้กำกับฯ หญิงที่มีจินตนาการ มันคงช่วยให้หนังมีความเป็นผู้หญิงในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ รวมถึงประสบการณ์บางเรื่องพวกนี้ด้วย เราได้พบกับเจนนิเฟอร์ เนลสัน เธอมาจากหนังแอนิเมชั่นและกำกับฯ ‘Kung Fu Panda’ 2 ภาคล่าสุดด้วย ซึ่งมันมีโทนเรื่องที่ต่างกันมาก และเรารู้เลยว่าเธอคือคนที่เหมาะสำหรับงานนี้ที่สุด”

เนลสันอยากถ่ายทอดภารกิจของรูบี้ที่ทำเพื่อครอบครัว และการต่อสู้ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น รวมถึงความรู้สึกอีกหลายอย่างจากอดีตที่ยาวนานจากการถ่ายทอดจินตนาการและโลกที่ไม่เคยเห็นมาก่อนให้มีชีวิตขึ้นมา จากผลงานของเธอในเรื่อง “Kung Fu Panda” 2 และ 3

“เจนมีมุมมองที่ยอดเยี่ยมมาก” ลีไวน์กล่าว “เธอเป็นผู้ชำนาญด้านสตอรี่บอร์ด เวลาที่เรามองแผ่นกระดาษพวกนั้น มันดูสวยมาก แต่ละแผ่นดูเหมือนผลงานศิลปะ มีทั้งขอบเขตและขนาด ซึ่งฉันคิดว่าคงไม่มีใครทันคิดว่าเจนมีความเจ๋งอยู่ในตัวเธอ”

“เธอรักการค้นหาในสิ่งต่างๆ อย่างเต็มที่ และฉันคิดว่าเธอมีความหลงใหลในศิลปะอย่างน่าทึ่ง ตั้งแต่เรื่องการวาดสตอรี่บอร์ดและมีการฝึกฝนเรื่องนั้น เธอมีภาพทั้งหมดอยู่ในจินตนาการและทุกฉากก็อยู่ในหัวของเธอ เป็นการทำงานที่ดูแล้วน่าทึ่งมาก”

“ความสวยงามของรูปนี้อยู่ที่มันรวมองค์ประกอบที่ต่างกันทุกอย่างเอาไว้ และมีทางเดียวที่ภาพจะสมบูรณ์แบบได้โดยที่มีหลายส่วนเกิดขึ้น คือต้องมีคนที่มีความสามารถโดดเด่นแบบเจน เธอมีภาพที่เธอต้องการอย่างเป็นเอกลักษณ์ และเจนวาดสตอรี่บอร์ดของทุกฉากในหนังออกมา” คราเมอร์ มอร์เกนธอว์ ตากล้องของภาพยนตร์กล่าว “เจนจะสรุปสิ่งที่เธอต้องการออกมาได้ชัดเจนมาก และมีภาพแอนิเมชั่นเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารออกมา”

หนังสือซีรีส์ / อเล็กซานดรา แบร็กเคน

เนลสันมีจินตนาการที่ชัดเจนว่าประเด็นสำคัญของเรื่อง “The Darkest Minds” อยู่ตรงไหน “ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องราวที่สนุกนะคะ มีเหตุผลที่ทำไมถึงมีแฟนของหนังสือชุดนี้เป็นพิเศษ พวกเขาเข้าถึงตัวละครต่างๆ เข้าใจในความหมายของเรื่องราว และพวกเขาก็อินกับประเด็นสำคัญของเรื่อง และด้วยความตื่นเต้นของแฟนๆ ทำให้ติดตามเรื่องราวด้วยความตื่นเต้นไปด้วย ฉันอ่านบทต้นฉบับเยอะมากค่ะ ซึ่งเขียนออกมาได้ดีด้วยเช่นกัน แต่เรื่องนี้มีความลึกซึ้งบางอย่าง”

แบร็กเคนพยายามใช้มือในการแสดงเป็นครั้งแรกในฉากที่แสดงร่วมกับสกายแลน บรูคส์ ผู้รับบทชับส์ “ต้องขอบคุณที่เรามีการซ้อมกันมาก่อน เพราะฉันคิดว่าจะต้องพลาดโดนหน้าสักครั้งแน่ ฉันไม่คิดว่าตัวเองมีความเป็นนักแสดงมืออาชีพอยู่ในตัว แต่ในฉากที่ฉันแสดงฉันคิดว่าตัวเองตีบทแตกอยู่นะ” แบร็กเคนหัวเราะ

เมื่อย้อนไปตอนที่เธออยู่ในฉาก แบร็กเคนอธิบายว่า “มันมหัศจรรย์มากที่การเข้าฉากให้ความรู้สึกเหมือนเราได้กลับบ้าน ซึ่งตอนนี้มันคือผลงานที่ดัดแปลงขึ้นมาของจริง มันเป็นผลงานจากจินตนาการที่หลากหลายของคนมากมาย มีการทำงานกันอย่างหนัก และพวกเขาก็ทุ่มเททั้งจิตใจและวิญญาณไปกับเรื่องราว นักแสดงทุกคนสะท้อนมิตรภาพออกมาได้ ซึ่งฉันเห็นแล้วรู้สึกตื่นเต้นมากค่ะ ตอนนี้มันเหมือนโปรเจ็กต์ที่ทำกันเป็นกลุ่ม เหมือนทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อเรื่อง และฉันคิดว่านั่นคือความมหัศจรรย์”

การคัดเลือกตัวนักแสดง

“ความหลากหลายในตัวนักแสดงของเราคือเรื่องสำคัญ” เลวี่กล่าว “เจนนิเฟอร์อยากคัดเลือกนักแสดงที่สื่อความรู้สึกได้สมจริง และไม่แสดงออกมาตามที่ต้องการแบบแข็งทื่อ เธออยากได้ทีมนักแสดงที่มีความหลากหลายและสะท้อนได้ถึงความหลากหลายของประเทศนี้ ฉันคิดว่านั่นเป็นส่วนประกอบที่ดีและมีความสำคัญในหนัง ที่ต้องมีทั้งความหลากหลายและยอมรับในเรื่องความแตกต่าง”

“รูบี้เหมือนคนกำหนดความเป็นความตายในหนังเรื่องนี้ เธอปรากฎตัวเกือบทุกฉาก ฉันขอสารภาพว่ารู้จักกับอแมนด์ลามาหลายปีแล้ว เพราะบังเอิญเธออยู่โรงเรียนเดียวกับลูกสาวคนโตของฉัน ฉันเลยได้เนการแสดงของอแมนด์ลาที่โรงเรียน แม้แต่ตอนที่เธออายุเพียง 14 ขวบ ก็เห็นแววชัดเจนว่าสาวน้อยคนนี้ไม่ธรรมดา เธอไม่ได้กุมความสนใจบนเวทีและหน้าจอในบท รู จากเรื่อง ‘Hunger Games’ ได้เพียงอย่างเดียว ฉันเคยเห็นเธอในฐานะของหนึ่งในสมาชิก Teen Idol ร้อเพลง “Beauty School Dropout” ในเรื่อง “Grease” ซึ่งเธอก็ทำออกมาได้เยี่ยมเช่นกัน!”

“เธอเป็นคนที่แสดงออกในสิ่งที่เธอคิดได้อย่างเต็มที่ และเธอตอบโจทย์สำหรับเรื่องนี้มาก เธอถ่ายทอดความลึกซึ้ง ความสามารถในการทวงบางอย่างกลับคืนมา การไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใด และถ่ายทอดความเป็นตัวเธอออกมาได้ในทุกฉาก ซึ่งนั่นคือสิ่งสำคัญสำหรับหนังเรื่องนี้มาก มีความลึกลับที่ยากจะเข้าใจในตัวอแมนด์ลา มีทั้งไหวพริบที่เป็นเลิศ และพลังในตัวเธอที่ทำให้เธอกลายเป็นรูบี้อย่างสมบูรณ์แบบ”

“ตัวละครรูบี้น่ากลัวอยู่พอตัว” สเตนเบิรืกกล่าว “เธอค่อนข้างเก็บตัวด้วย เหมือนอย่างที่เขียนเอาไว้ในหนังสือเลย ซึ่งการทำให้เธอมีชีวิตขึ้นมาบนหน้าจอ เราคิดกันว่าจะถ่ายทอดมุมต่างๆ ในตัวเธอออกมาอย่างไร เพราะเราไม่สามารถอ่านสิ่งที่อยู่ในใจเธอได้ทั้งหมดเหมือนเลาเราอ่านหนังสือ ฉันคิดว่าเธอมีความรุนแรงมาก เธอยืนหยัดในจุดของตัวเอง รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร นั่นคือสิ่งที่ฉันชอบมากในตัวเธอ แต่เธอก็เป็นคนช่างคิดและเก็บมันไว้กับตัวเอง ฉันคิดว่าเธอเหมือนฉันมากค่ะ”

ในการพูดคุยกันถึงสิ่งที่ทำให้เธอสนใจโปรเจ็กต์นี้ สเตนเบิร์กเล่าว่า “เนื้อเรื่องและความหมายของเรื่องราวเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันตื่นเต้นกับโปรเจ็กต์นี้ทันทีค่ะ ฉันคิดว่ามันมีความคล้ายกันระหว่างเรื่องราวนี้กับโลกที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน”

สำหรับการรับบทเลียม แฮร์ริส ดิกคินสันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มาร่วมในโปรเจ็กต์นี้ “สิ่งที่ผมรักกในบทคือมันอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และการยอมทำทุกทางเพื่อสิ่งที่มีความหมาย ทั้งมิตรภาพ ครอบครัว การช่วยเหลือ และการต่อสู้เพื่อสิ่งที่เราเชื่อมั่น”

“ตัวละครของเลียมเหมือนผู้นำการปฏิวัติและทำภารกิจ” เลวี่อธิบาย “เขาปกป้อง ซู เด็กผู้หญิงที่หลบหนีไปกับเขาสุดชีวิต เราเลยต้องการใครสักคนที่มีพลัง มีตัวตน และถ่ายทอดเรื่องราวความรักออกมาได้ เพราะความโรแมนติกของเรื่อง “The Darkest Minds” เป็นอีกมุมหนึ่งที่มีความชัดเจน และเรื่องราวความรักระหว่างรูบี้กับเลียมก็ก่อตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ”

“หนังทั้งเรื่องถ่ายทอดภารกิจของเด็กที่อยู่ในที่พักชั่วคราว” เลวี่เล่าต่อว่า “ซึ่งที่พักแห่งนี้ได้มอบชีวิตอิสระแก่เด็กๆ ตัวละครแคลนซี่ [รับบทโดยแพทริค กิ๊บสัน] มีความสำคัญมาก เพราะเขาได้พัฒนาดินแดนที่เหมือนในเรื่อง ‘Lord Of The Flies’, ‘Maze Runner’ สำหรับเด็กขึ้นมาโดยเฉพาะ หรืออาจเป็นเหมือนด่านหน้าที่คอยรักษากฎระเบียบ มีความเมตตา มีความพิเศษ ซึ่งแพทริคถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นออกมาในบทบาทได้ อาจรวมถึงความรักระหว่างแคลนซี่ รูบี้ และเลียมด้วย เราอยากให้ผู้ชมแปลกใจกับความเปลี่ยนแปลงของงรูบี้ในตอนท้าย ซึ่งทั้งแฮร์ริสและแพทริคนอกจากจะเป็นคนที่ดูดีแล้ว เขายังมีเสน่ห์และมีความน่าสนใจบนหน้าจอที่ถ่ายทอดมุมความโรแมนติกออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวา”

ผู้ที่ผจญภัยในภารกิจสู่ที่พักชั่วคราวสำหรับเด็กไปกับรูบี้และเลียมคือซู รับบทโดยไมยา เคช และ ชับส์ที่รับบทโดยสกายแลน บรูคส์

“ซูเป็นเด็กผู้หญิงอายุ 9-10 ขวบ ส่วนตัวไมยาเห็นได้ชัดว่าเธอเป็นนักแสดงเด็กที่เก่งแบบพบเห็นได้ยาก” เลวี่กล่าว ตอนที่ไมยามาออดิชั่น สีหน้าของเธอสื่อความหมายชัดเจนมาก ตัวละครของเธอแทบไม่ได้พูดราว 95% ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ฉะนั้นเราต้องการคนที่สื่อความหมายออกมาได้โดยไม่ต้องมีถ้อยคำ ไมยามีความเป็นมืออาชีพอย่างงเหลือเชื่อตั้งแต่อายุน้อย เธอถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครซูออกมาได้อย่างชัดเจน ซึ่งเราได้รู้จักเธอจากหนังว่าเธอผ่านเรื่องราวเลวร้ายมา และเป็นเรื่องที่เลวร้ายกว่าที่คนวัยเดียวกับเธอได้พบเจอ”

หลังจากอ่านเรื่องราว เคชเล่าว่า “ฉันนึกภาพตัวเองที่เป็นเธอได้เลยค่ะ และคิดว่าเธอมีการแสดงออกที่เหมือนฉันมาก”

“คุณจะเข้าใจเธอได้จริงๆ” เลวี่กล่าวเสริม “และจะเข้าใจว่าทำไมเลียมถึงปกป้องเธอสุดชีวิตเหมือนเป็นพี่ชายของเธอ”

ส่วนเพื่อนร่วทางอีกคนคือชับส์ที่ช่วยเสริมสีสันเข้ามา “ชับส์ไม่ได้เป็นแค่ตัวละครที่มีด้านเดียวและดูเชื่อถือได้เหมือนตัวลละครทั้งหมด” เลวี่กล่าว “แน่นอนว่าเขาเป็นคนสร้างความตลก เขาชอบพูดไปตามสิ่งที่เห็น เวลาที่เขาเห็นสิ่งที่ก่อตัวขึ้นมาระหว่างรูบี้และเลียม เขาจะสร้างนิยามให้มันแม้จะทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดก็ตาม”

“และผมคิดว่าในโลกแห่งความจริงเราก็ต้องการอะไรแบบนั้น และในหนังที่มีเรื่องเครียดๆ ฉากดุเดือด ผมมองในฐานะของผู้ชมคนหนึ่ง ผมดีใจที่ได้ลดความกดดันลงบ้าง ซึ่งเราทำโดยผ่านมุกตลก แต่ต้องไม่หยาบคาย ดูไร้สาระ มันต้องใช้

ไหวพริบกันหน่อย ซึ่งในมุมของตัวละครชับส์ถือว่าชนะเรื่องการสร้างความตลกท่ามกลางบรรยากาศของครอบครัวที่กำลังเดินทาง”

“สิ่งที่ผมรักมากที่สุดในหนังคือมุกตลกที่ถ่ายทอดออกมา มันไม่ใช่มุกที่เตรียมมาก่อนหรือเป็นมุกไร้สาระ แต่เป็ฯมุกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ความขัดแย้งของตัวละคร ความอึดอัดของตัวละคร เพราะในความอึดอัดก็สามารถสร้างความสนุกขึ้นมาได้”

ตัวละครหญิงที่ต่างกันสุดขั้ว 2 คนได้มาช่วยสร้างบรรยากาศให้ทีมนักแสดง นั่นคือ เคท คุณหมอที่พยายามช่วยรูบี้ และเลดี้ เจน นักล่าหัวที่พยายามล่าตัวเด็กๆ

“ผมรู้แต่แรกว่าเราอยากได้แมนดี้ มัวร์มารับบทเคท” เลวี่กล่าว “เราอยากได้คนที่มีวามแข็งแกร่ง แต่ดูจริงใจ มีความอบอุ่น นั่นคือสิ่งที่เราต้องการจากตัวละครเคท ซึ่งเป็นพื้นฐานของผู้คอยช่วยชีวิตคน เราต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเธอ ซึ่งแมนดี้มีสิ่งนั้นอยู่ในตัวอย่างชัดเจน”

“เลดี้ เจนเป็นนักล่าหัว และต้องบอกว่ายิ่งเกว็นโดไลน์ คริสตี้มาพร้อมกับไอเดียนี้ ไม่ว่าเราจะได้ดูมาจาก “Game of Thrones” หรือ “Star Wars: The Force Awakens” เกว็นจะมีบุคลิกที่ดูสง่า น่าเกรงขาม มีความโดดเด่น เธอมีความหลากหลายอยู่ในตัวในฐานะของนักแสดงแต่เธอ”

“เลดี้ เจนเป็นทั้งนักรบบนท้องถนน/นักล่าหัว เธอเดินทางข้ามพรมแดนเพื่อตามหาเด็กที่หลบหนี พยายามสะสมแต้น พยายามดึงพวกเขาออกมา เธอต้องดูน่ากลัว แต่เราอยากให้เธอดูน่ากลัว ดูคุกคามอย่างน่าสนใจและมีความแตกต่าง ซึ่งไม่ว่าเกว็นโดไลน์ คริสตี้จะแสดงอะไร มันก็ดูน่าหลงใหลทั้งนั้น”

คริสตี้อธิบายว่าเธอรู้สึกตื่นเต้นกับการเซ็นต์สัญญารับโปรเจ็กต์นี้ “หลังอ่านบทฯ ฉันรู้สึกว่ามันตรงกับยุคสมัยของเรา สถานการณ์บ้านเมืองของเรา มีความดุเดือด หดหู่ และมีสถานการณ์เรื่องผู้ลี้ภัยจากทั่วโลก ซึ่งฉันคิดว่าในแง่ของสื่อ เรากำลังเริ่มพยายามเข้าถึงมนุษย์ที่มีความแตกต่างจากพวกเรามากขึ้น เข้าใจว่าความแตกต่างนั้นไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร และยอมรับในความเป็นมนุษย์ของกันและกัน ได้รู้ว่าความต้องการความอุ่นใจ ที่พักพิง อิสรภาพ และความรักมันเป็นยังไง” คริสตี้กล่าว

“ฉันรู้สึกว่าเลดี้ เจนต้องรับมือกับเรื่องความลำบากใจในแง่ศีลธรรม เธอเป็นชาวอังกฤษแต่ต้องติดอยู่ในอเมริกา เพราะพวกเขาปิดชายแดนจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เธอรู้สึกว่าถ้าสามารถรวบตัวเด็กเหล่านี้ มีเงินมากพอ เธอก็กลับบ้านได้ แต่แน่นอนว่าต้องทุ่มเทกับเด็กเหล่านี้เยอะมาก”

“เลดี้ เจนเป็นตัวละครที่เจ๋งมากในหนังสือเรื่องนี้” ลีไวน์กล่าว “และผมคิดว่าผู้ชมจะต้องรักเธอในหนังเรื่องนี้ด้วย”

เรื่องของสีสัน (สีฟ้า สีเขียว สีส้ม สีแดง สีทอง)

ในช่วงการถ่ายทำเรื่อง “The Darkest Minds” เด็กนับร้อยคนต้องอยู่ในร่างสีทอง สีฟ้า และสีเขียวในมุมมืดที่มีเพียงแสงน้อยนิดสแกนตัวเด็กเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย สัญญาณเตือนภัยส่งเสียงตลอดทั้งคืน เพื่อเตือนว่ามีทหารเข้ามาตามล

ล่าตัวเด็กๆ และต้อนพวกเขาเข้ารั้วไฟฟ้า เมื่อหิมะตกลงมาและต้องอยู่ท่ามกลางความมืด แฮร์ริส คิกคินสัน ที่รับบทเลียม และ ไมยา เคช ที่รับบทซูอยู่เคียงข้างเขา ดิกคินสัน โดยใช้การเจาะเข้าพลังของเขาและทำให้รั้วล้มลงมา

ตลอดเวลานั้นอแมนด์ลา สเตนเบิร์กมองความกลัวเหมือนเรื่องราวในอดีตที่ทำให้เด็กๆ ต้องเผชิญกับสถานการณ์นั้น มีเด็กเพียง 2% ที่รอดชีวิตจากโรคลึกลับที่คร่าชีวิตเด็กอเมริกามากถึง 98% และบรรดาผู้มีอำนาจต่างคิดว่าพวกเขาเป็นอันตรายต่อสังคม

ในฉากต้องอาศัยความแม่นยำจากทีมนักแสดงผาดโผนที่มากประสบการณ์ นำทีมโดยแจ็ค กิล และผู้ควบคุมสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ ไมเคิล แลนเทียรี่ เพื่อสร้างบรรยากาศความเครียด ความกลัว และความรู้สึกทั้งหลายในหนังเรื่องนี้

อย่างแรกเลยคือผู้สร้างภาพยนตร์ต้องมีจินตนาการเรื่องพลังของเด็กแต่ละคนให้ชัดเจน จากนั้นนึกภาพว่าจะให้พวกเขามีฉากต่อสู้และแสดงพลังอย่างไร

“เราสร้างพลังขึ้นมาเหมือนสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้หากเรามีพลังพวกนั้น เช่น การระเบิดพลังความรอน เราอยากให้มันรู้สึกเหมือนออกมาจากตัวเด็กเหล่านี้จริงๆ และพวกเขาไม่รู้ว่าจะควบคุมพลังนั้นยังไง” ลีไวน์กล่าว

“เราอยากแสดงให้เห็นว่าจะเปนยังไงถ้าเราถึงช่วงวัยหนึ่งแล้วสามารถพัฒนาพลังเหล่านี้ได้ จนเราไม่สามารถควบคุมพลังได้ และสำหรับเด็กๆ เหล่านี้มันจะน่ากลัวขนาดไหน”

“บางสีสันยิ่งอันตรายกว่าสีอื่น และมันง่ายต่อการสื่อถึงสังคมในปัจจุบันมาก มีเรื่องของความลำเอียงที่จะต้องรับมือกับมัน และผมคิดว่านั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งในหนังสือที่ทุกคนเข้าใจมันได ผมคิดว่าคนที่รู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมจะเข้าใจหนังสือเล่มนี้ เวลาเด็กๆ ถูกแบ่งแยกด้วยสีสันและความสามารถ” ลีไวน์กล่าว

“ผมคิดว่าสุดท้ายแล้วหนังจะสะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่เรามองว่าเป็นความรับผิดชอบหรือความแตกต่าง จริงๆ แล้วมันคือพลังอย่างหนึ่ง”

สีส้ม เป็นสีที่จำแนกผู้ที่มีพลังโทรจิต รูบี้รับบทโดยสเตนเบิร์กถูกจัดอยู่ในสีส้ม และพัฒนาความสามารถด้านการอ่านความคิด โน้มน้าวพฤติกรรมและความคิดของผู้คนได้ ปรับเปลี่ยนหรือลบความทรงจำได้ และเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของคนอื่น แคลนซี่ เกรย์รับบทโดยแพทริค กิ๊บสันก็ถูกจัดอยู่ในสีส้มและมีพลังโทรจิต

สีทอง เป็นสีที่จำแนกผู้ที่มีพลังควบคุมไฟฟ้า ซูถูกจัดอยู่ในสีทองและมีความสามารถในการผลิตและควบคุมไฟฟ้า พวกเขาถูกจัดว่าเป็นผู้ที่มีอันตรายมาก

สีเขียว เป็นสีที่จำแนกผู้ที่มีพลังเพิ่มความสามารถ แม้ว่าในหนังสือชับส์ถูกจัดอยู่ในสีฟ้า (พลังโทรจิต) ผู้สร้างภาพยนตร์ตัดสินใจให้เขาอยู่ในสีเขียวเพื่อให้มีความหลากหลายในกลุ่ม ส่วนในหนังชับส์มีความสามารถด้านการแก้ปัญหาและมีความจำที่แม่นยำ

สีฟ้า เป็นสีที่จำแนกผู้ที่มีพลังโทรจิต เลียมรับบทโดยแฮร์ริส ดิ๊กคินสันถูกจัดอยู่ในสีฟา และเขาสามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของได้โดยใช้ความคิด

สีแดง เป็นสีที่จำแนกผู้ที่มีพลังเพลิง สีแดงมีไว้จัดแบ่งผู้ที่สามารถผลิตและเคลื่อนย้ายเปลวไฟได้ ซึ่งผลที่ตามมาคือการทำลายล้างอย่างมหาศาล และถูกมองว่าเป็นภัยมากที่สุดในพีเอสไอ และสร้างความท้าทายเรื่องการควบคุมฉากผาดโผนให้แจ็ค กิลมากที่สุด

ฉากผาดโผนและฉากแอคชั่น

สำหรับการถ่ายทอดพลัง PSI powers จากหน้ากระดาษสู่จอยักษ์ เนลสันต้องร่วมงานกับกิลอย่างใกล้ชิด

“เจนจุดไอเดียขึ้นมาอย่างรวดเร็วซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก” กิลกล่าว “เธอเข้ามาและทำตัวเหมือนฟองน้ำ เธออยากเรียนรู้ซึมซับทุกเรื่องและบอกว่า ‘ตัวแปรมีอะไรบ้าง? ตอนนี้เราทำอะไรได้บ้าง? จากตรงนี้เราจะทำแบบนั้นได้ยังไง? การมีคนที่อยากเรียนรู้มันช่วยเรามาก เพราะมันคือความพยายามในการร่วมมือกัน”

“เจนรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรอย่างชัดเจน และทุกคำถามที่เรามีต่อเธอ เธอจะมีคำตอบทที่ดีมากมอบให้ ทำให้เราเห็นแนวทางการทำงานที่ชัดเจน”

“สำหรับสีแดงเราใช้เครื่องพ่นไฟของจริง ซึ่งเป็นเครื่องพ่นไฟแบบเดียวกับไอเดียของเครื่องพ่นไฟสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการใช้แก๊สโซลีนด้วยความเร็วสูงและมีความกดอากาศต่ำ เราจึงยิงมันได้ในระยะ 75-80 ฟีต และในหนังเราจะเห็นฝ่ายสีแดงพ่นไฟออกมาได้ 5 ฟีตในระยะที่พ่นจากปากและติดไฟ และเมื่อเกิดเปลวไฟขึ้นแล้วจะเผาไหม้ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา”

เมื่อนึกถึงฉากการแสดงผาดโผน กิลอธิบายว่า “ไอเดียที่อยู่เบื้องหลังฉากทั้งหมดคือถึงแม้มันจะอยู่ในโลกช่วงที่เกิดความวุ่นวาย แต่มันไม่ใช่วันสุดท้ายของพวกเขา เรายังคงต้องการให้ทุกคนรู้สึกว่ายังมีความหวัง เราพยายามทำให้ทุกคนรู้สึกว่าพวกเขากำลังต่อสู้เพื่อสิ่งที่ดีกว่าเดิม ฉะนั้นในฉากแอคชั่น ทุกอย่างที่เราทำคือให้คุณเห็นตัวละครเหล่านี้เติบโตขึ้นเมื่อเจอกับสิ่งต่างๆ พวกเขาจะได้เรียนรู้ว่าพลังของตัวเองคืออะไร พวกเขาจะได้รู้วิธีควบคุม ได้เรียนรู้ว่าจะจัดการกับสิ่งต่างๆ ยังไง”

“สิ่งที่เราพยายามทำคืออยากสร้างฉากแอคชั่นที่ไม่ต้องเห็นแอคชั่นสุดอลังการตั้งแต่เริ่มแรกของหนัง เราเลยสร้างพลังและฉากแอคชั่นพวกนี้ขึ้นมา ฉะนั้นในช่วงที่เดินทางมาถึงองก์ 3 เราเปิดฉากแอคชั่นที่ยิ่งใหญ่สุด มันเหมือนเป็นการผจญภัยของเราทุกคน เพราะตัวละครได้มาเจอหน้ากันและเราจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร”

“จากนั้นพวกเขาได้รู้ว่าต่างฝ่ายต่างเกรงกลัวกันเอง เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าใครจะแสดงธาตุแท้ออกมา ฉะนั้นเลยกลายเป็นช่วงที่พวกเขาต้องไว้วางใจกัน เมื่อพวกเขาไว้ใจกันแล้วก็สามารถช่วยเหลือกัน และได้ไปถึงปลายทางที่พวกเขาตั้งใจไว้ได้ในท้ายที่สุด แต่ฝ่ายคนร้ายก็คอยตามตัวพวกเขาตลอด และสิ่งที่แย่คือพวกเขาไม่มีทางรู้ว่าใครคือเพื่อนใครคือศัตรูกันแน่”

“ความท้าทายที่สุดอย่างหนึ่งที่เราเผชิญ คือในฉากตอนจบขององก์ 3 ตัวละครต่างพ่นไฟออกมาเยอะมาก พวกเขาพนไฟออกมาระยะ 70 ฟีต เราเลยมีการใช้ที่พ่นไฟแบบสะพายหลังของจริง ซึ่งใช้น้ำมันดีเซลและแก๊สโซลีน พวกเขาต้องซ้อมกันหลายครั้งมาก เรามีเวลาซ้อม 2-3 เดือนก่อนการถ่ายทำฉากสุดท้าย เพราะเรามีรายละเอียดหลายอย่างอยู่ในฉาก”

กิลได้รวบรวมบรรดาคนที่เก่งที่สุดมาช่วยในฉากการผจญภัย เขาได้อาศัยผู้ควบคุมฉากแสดงผาดโผนที่มีความชำนาญและเป็นพี่ชายของเขา แอนดี้ กิล รวมถึงเพื่อนเก่าและผู้ควบคุมฉากผาดโผน แกรี่ ไฮม์ส

“ตอนที่เกว็นโดไลน์ คริสตี้ต้องถ่ายทำฉากขับรถไล่ล่า เราทำให้มันดูเหมือนเธอกำลังขับรถ” แอนดี้อธิบาย “แต่ผมกำลังขับรถจากสิ่งที่เรียกว่าพอด มันจะอยู่ด้านบนของตัวรถ ตั้งอยู่บนหลังคารถและมีพวงมาลัย เบรค แก๊ส มีการขับเคลื่อนระบบไฮดรอลิคในรถ เธอไม่ต้องใช้พวงมาลัย น้ำมัน เบรคเลย จริงๆ มันไม่มีอะไรให้เหยียบในรถเลย เธอแค่นั่งอยู่ในนั้นและทำเหมือนขับรถอยู่ เราต้องซ้อมแล้วซ้อมอีกจนเธอรู้ว่าเธอต้องแสดงออกมาแบบไหน แจ็คคุยกับเธอและบอกผมว่าสิ่งที่เขาต้องการคือให้ผมทำไปพร้อมกัน ทำท่าต่อสู้ไปด้วยกันหรือขยับไปข้างหน้าข้างหลัง สไลด์ตัว หมุนตัวด้วยความเร็ว 180 หลุดออกจากท้องถนน”

สำหรับการฝึกซ้อมพวกเขาใช้อุปกรณ์จากแฟรนไชส์ Fast and Furious กิลและทีมรู้ว่าพวกเขาต้องใช้รถจริงบนถนน “พอเราเริ่มมองกลับไปที่ฉากแอคชั่นจริงๆ ที่ผู้ชมรู้สึกว่ามันโอเค ผมเป็นส่วนหนึ่งในนั้นละนั่นคือสิ่งที่ผมใช้มาตลอดในหนังเรื่อง Fast and Furious” เขากล่าว

“เราต้องใช้ตัวขึงที่มีขนาดต่างกัน อันหนึ่งจะเรียกว่าตัวขึงแบบบิสกิต ซึ่งเป็นตัวขึงที่ใช้สำหรับพาหนะการเดินทาง แล้วให้พอดเป็นเหมอืนกรงที่เราสามารถบังคับพาหนะได้ วางพอดนั้นไว้ส่วนไหนของพาหนะก็ได้ ฉะนั้นเราจะมองเห็นได้ในทุกทิศทาง มันดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันมีทั้งจอมองภาพ พวงมาลัย เราสามารถขับเคลื่อนพอดไปทางไหนก็ได้ตามต้องการ มันทำให้เราได้มุมกล้องที่มีความยืดหยุ่น”

“ส่วนที่ขึงอีกอันที่ใช้จะเรียกว่าพอด ซึ่งจริงๆ มันดูเหมือนรถโกคาร์ทที่อยู่บนรถตู้ คนขับจะบังคับรถตู้ไว้ส่วนนักแสดงของเราจะอยู่บนนั้น ทำให้ดูเหมือนพวกเขากำลังขับรถอยู่”

“จากมุมกล้องมันจะดูเหมือนเรากำลังขับรถจากรถของเราเองในสถานการณ์ที่เสี่ยงตายนี่” คริสตี้กล่าว “แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมีคนขับที่เป็นนักแสดงผาดโผนอยู่ในอุปกรณ์ที่ติดกับตัวรถขณะที่เราแสดงอยู่ ซึ่งในบางส่วนมันก็ดูน่ากลัวมากค่ะ เมื่อพูดถึงในมุมของคนที่นั่งอยู่ข้างหลังคนขับ”

“แจ็ค กิลและทีมงานของเขาถ่ายทอดภาพที่น่าตื่นเต้นและสุดยอดประสบการณ์เอาไว้ ฉันคิดว่ามันจะเป็นการยกระดับให้หนังและเรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ขเมาร่วมงานด้วย”

การออกแบบฉาก

“สิ่งที่เราต้องการคือสร้างบรรยากาศและหนังให้ดูสมจริงและเข้าใจได้” ผู้ออกแบบฉากฯ รัสเซล บาร์นส กล่าว “เราอยากเลี่ยงมุมมองหนังที่มันดูเกินจริง และอยากฉีกออกจากภาพที่เราเคยเห็นในหนังวัยรุ่นที่ผ่านมาบางเรื่อง”

“แคมป์ เธอร์มอนด์ [ที่รูบี้รู้สึกประทับใจในช่วงแรกของหนัง] ถูกจัดอยู่ในโทนที่ดูน่าเบื่อและสิ้นหวัง เราอยากให้ระเบิดสีสันออกมาในโลกของรูบี้ตอนที่เธอหายไป” บาร์นสกล่าวต่อ “รูบี้ถูกขังมานาน 6 ปี สุดท้ายเธอได้เจอกับกลุ่มเด็กๆ ที่รู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวที่เธอมีมากที่สุด เหมือนเปิดมุมมองให้เธอมากขึ้น เธอได้เห็นโลกในมุมที่ต่างออกไป และเราก็ให้ความสมใจเรื่องการสาดสีสันลงไป โทนสีจะเริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้นและเราเริ่มสร้างความแตกต่างกับโลกใบใหม่ที่เธอมี”

“เจนนิเฟอร์อยากให้หนังเป็นโทนอบอุ่น น่าดึงดูดใจ และเป็นโลกที่เราอยากเข้าไปอยู่ในนั้น โดยเฉพาะเวลารูบี้ออกมาจากที่พักชั่วคราว มันมีความอิสระ มีความเป็นวัยรุ่น และมีความสนุกสนาน เจนไม่อยากให้ภาพออกมาดูหดหู่หลังจากช่วงนั้น เธอไม่อยากได้สีโทนเย็นและดูไม่สบายใจ”

การถ่ายทำเกิดขึ้นที่แอตแลนต้า ความหลากหลายของสถานที่ทำให้ผู้สร้างภาพยนตร์ได้ประโยชน์มาก “แอตแลนต้าเข้ามาในความคิดเลย” บาร์นสยอมรับว่า “ด้วยสถานที่ๆ มีความหลากหลายและใกล้เคคียงกับเมือง เรามีสภาพแวดล้อมที่มีความแตกต่าง รวมถึงเดินทางจากนอกเมืองเข้าสู่เขตอุตสาหรกรรมได้ และมีความใกล้เคียงกับบรรยากาศหลังช่วงที่ดูวุ่นวาย รวมถึงมีพื้นที่สำหรับการจัดฉากที่ดีเยี่ยม”

“จอร์เจียจะให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป” ผู้กำกับภาพฯ คราเมอร์ มอร์เกนธอว์ กล่าวเสริม “มันมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์เพราะที่นั่นมีฝนตกชุกและใบไม้มาก มันเหมือนกับการสาดสีเขียวลงไปซึ่งมีวามสำคัญต่อการออกแบบภาพของเจนมาก ที่ต้องการสื่อถึงการเจริญเติบโตที่มีความขัดแย้งกันของธรรมชาติ”

สภาพบรรยากาศของแอตแลนต้ามีส่วนช่วยเป็นพิเศษสำรับการสร้างที่พักของเด็กๆ ขึ้นมา ธรรมชาติมีส่วนช่วยในเรื่องการออกแบบ “สำหรับที่พักชั่วคราวของเด็กๆ มันมีความสำคัญมาก เราต้องหาที่ๆ มีแหล่งน้ำรายล้อม มีต้นไม้ล้อมรอบ ฉะนั้นเราจะสื่อถึงอิสรภาพและสร้างค่ายที่อยู่ห่างไกลออกไปได้” บาร์นสกล่าว “เราพบมุมที่สวยงามในเทือกเขาสโตน อยู่ด้านนอกแอตแลนต้าซึ่งมีทุกสิ่งที่จำเป็น” บาร์นสกล่าวเสริม “ตอนนี้เราได้ทั้งสีเขียว ป่า และทุกอย่างที่สร้างความรู้สึกแห่งความหวังอย่างที่รูบี้จะรู้สึกตอนที่ออกจากค่ายเธอร์มอนด์แล้ว”

แม้ว่าอยากจะให้หนังมีความรู้สึกใกล้เคียงกับปัจจุบัน บาร์นสและเนลสันได้เลือกฉากให้รู้สึกเหมือนไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน “ผมทำการค้นคว้าเรื่องเรือนจำและค่ายทหาร แต่เราพยายามสร้างสิ่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และได้บรรยากาศไม่ต้องเรียกความสนใจเรื่องการอ้างอิงถึงเรื่องประวัติศาสตร์มากนัก เราเลยสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่หมด” บาร์นสกล่าว

แม้ว่าจะร่วมงานกับเนลสันเป็นครั้งแรก บาร์นสพบว่าการร่วมงานกับผู้กำกับฯ เป็นเรื่องที่ราบรื่นมาก “เพราะเธอมีพื้นฐานด้านแอนิเมชั่น เธอเรียนรู้ไวและวาดภาพออกมาได้เก่งมาก สามารถถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในความคิดออกมาได้ ทำให้ชีวิตผมง่ายขึ้น” เขาอธิบาย “สตอรี่บอร์ดเหล่านี้ใช้อธิบายกับทุกแผนกได้ดีมาก เราสามารถเห็นสิ่งที่อยู่ในความคิดของเธอ และช่วยสร้างโลกตามจินตนาการของเธอออกมาได้”

“ในหนังควรให้ความรู้สึกว่ามันเกิดขึ้นได้จริงในอีกไม่กี่เดือนหากเกิดเรื่องบ้าๆ ขึ้นมา” เลวี่กล่าว “ผมอยากให้มันรู้สึกเหมือนโลกที่เราคุ้นตาดี เพราะผมคิดว่ามันทำให้โทนเรื่องและเหตุการณ์ต่างๆ ดูน่ากลัวขึ้น เพราะมันจะเกิดขึ้นตอนนี้ก็ได้ มีบรรยากาศของโลกที่ดูเป็นธรรมชาติ แม้ว่าตอนนี้จะไม่ค่อยมีเด็กวัยรุ่น แต่ก็ยังคงงดงามและมีความหวัง”

“ผมคิดว่าประเด็นทั้งหมดในหนังสือ ต้องการสื่อถึงความหวังของผู้คนที่จะเอาชนะอคติเหล่านี้ โดยใช้พลังของพวกเขาและเป็นตัวแทนของครอบครัว และการได้รับการยอมรับจากคนอื่นที่เข้าใจว่าการได้รับอิสรภาพต้องแลกกับอะไร” ลีไวน์กล่าว

“เจนเป็นคนที่มีความหวัง เธอมองเห็นความดีงามของมนุษย์และคุณจะได้เห็นสิ่งนั้นในหนังเช่นกัน” มอร์เกนธอว์กล่าว

“’The Darkest Minds จะทำให้ผู้ชมตื่นเต้นสุดขีดกับการผจญภัย จะเป็นการผจญภัยที่ตื่นเต้นที่มีทั้งฉากแอคชั่น การผจญภัย มีฉากที่สื่อด้วยภาพ มีฉากต่อสู้ มีฉากการใช้พลังและทุกอย่าง แต่ผมคิดว่าผู้ชมคาดเดาถึงเรื่องความรู้สึกที่อยู่ในหนังเรื่องนี้ได้ เพราะถึงแม้จะเต็มไปด้วยภาพที่น่าตื่นเต้นและฉากที่ดูสะดุดตาแล้ว ยังมีเรื่องของตัวละครที่คอยมองหาว่าตัวเองเหมาะกับที่ไหน และได้รู้ว่าสุดท้ายแล้วคือจุดที่พวกเขาอยู่ด้วยกันนั่นเอง” เลวี่กล่าว

ข้อมูลภาพยนตร์  The Darkest Minds – จิตทมิฬ 
เข้าฉาย 2 สิงหาคม 2018 ในโรงภาพยนตร์
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม  https://www.facebook.com/DarkestMindsMovieThailand/
คลิปต่าง ๆ
https://www.youtube.com/watch?v=xuegiEgA12E&list=PLhHUMbo06Eoda9Mwd2Y1dnJK74alw6ONl