เรื่องย่อ
ผลงานของ ดาร์เรน อาโรนอฟสกี สู่ The Whale เรื่องราวของครูสอนภาษาอังกฤษผู้รักสันโดษที่พยายามสานสัมพันธ์กับลูกสาววัยรุ่นที่ห่างเหินไปของเขาอีกครั้ง นำแสดงโดยเบรนแดน เฟรเซอร์ และสร้างจากบทละครที่โด่งดังของซามูเอล ดี. ฮันเตอร์
ในเรื่อง The Whale ของดาร์เรน อาโรนอฟสกี เบรนแดน เฟรเซอร์แสดงฝีมืออย่างยอดเยี่ยมในบทชาร์ลีครูสอนภาษาอังกฤษที่ป่วยเป็นโรคอ้วนขั้นรุนแรงซึ่งเวลาของเขากำลังจะหมดลง ในขณะที่เขาพยายามอย่างกล้าหาญเป็นครั้งสุดท้ายที่จะคืนดีกับครอบครัวที่แตกแยกระหองระแหงของเขา ชาร์ลีต้องเผชิญหน้าด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมและไหวพริบอันเฉียบแหลมความชอกช้ำที่ฝังลึกมานานและความรักที่ไม่อาจเอ่ยออกมาซึ่งตามหลอกหลอนเขามายาวนานหลายสิบปี
แต่ The Whale แสดงให้มากกว่าแค่ความมืดมน โดยเป็นการศึกษาตัวละครขั้นสูงของชายคนหนึ่งที่ต่อสู้กับความเสียใจอย่างใหญ่หลวง หน้าที่ของความเป็นพ่อ และความเป็นไปได้ในความดี โดยแก่นของเรื่อง The Whale เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและการก้าวข้าม การผจญภัยของชายคนหนึ่งที่เดินทางเข้าไปภายในตัวตนเขาเองและกลับออกมา การเดินทางผ่านส่วนลึกของความเศร้าโศกไปสู่ความเป็นไปได้ของความรอดพ้นทางจิตใจ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เราเข้าถึงชีวิตที่ไม่ค่อยได้แสดงออกมาอย่างอ่อนโยนหรือเฉลียวฉลาดนักบนหน้าจอโดยผ่านตัวละครชาร์ลี เฟรเซอร์ผู้แสดงบทนี้มองตัวเองเข้าไปในภาพหลากสีหลากมุมของโลกภายในตัวตนของชาร์ลี ซึ่งมีทั้งความขัดแย้ง ความโหยหา และความกลัว ด้วยไหวพริบที่เกือบจะเรียกได้ว่าซุกซน นี่เป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมและอบอุ่นอย่างลึกซึ้ง แสดงถึงคนที่ไม่เห็นว่าความเห็นอกเห็นใจเป็นศัตรูของความซื่อสัตย์ แต่เป็นด้านสองด้านของเหรียญเดียวกัน
ความใกล้ชิดระหว่างผู้ชมและตัวเอกคือหัวใจสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งเกิดขึ้นในเวลากว่าห้าวันในโลกของชาร์ลีในขณะที่เขาพยายามเชื่อมต่อกับผู้คนมากมายในชีวิตของเขา ไม่ว่าจะเป็นลูกสาวที่เหินห่างไป ภรรยาเก่า เพื่อนสนิท นักเรียนออนไลน์ของเขา และแม้แต่ผู้สอนศาสนาที่เบิกตากว้างอยู่ที่ประตูหน้าบ้านของเขา การเผชิญหน้าแต่ละครั้ง ภาพเหมือนชีวิตของชาร์ลีโฟกัสเข้ามามากขึ้นๆและความรุนแรงอันน่าสะเทือนใจของสถานการณ์ของเขาก็ชัดเจนขึ้น มันเริ่มต้นขึ้นเมื่ออพาร์ตเมนต์แบบหนึ่งห้องนอนกลายเป็นสมรภูมิที่ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตอันไม่แน่นอนมาบรรจบและต่อสู้กัน
ดาร์เรน อาโรนอฟสกีต้องการที่จะดัดแปลง The Whale มาเป็นภาพยนตร์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้ดูบทละครที่เขียนโดยแซม ดี. ฮันเตอร์ เมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว เขารู้สึกทึ่งกับความเฉลียวฉลาดของมันในทันที และวิธีการที่ไม่กลัวเกรงในการซักถามสภาพจิตใจของมนุษย์โดยไม่ให้คำตอบง่ายๆ
อาโรนอฟสกีกล่าวว่า “สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับ The Whale คือมันเชิญชวนให้คุณเห็นความเป็นมนุษย์ของตัวละครที่ไม่ได้ดีหรือเลวไปเสียทั้งหมด ผู้คนใช้ชีวิตในโทนสีเทาอย่างแท้จริงและมีชีวิตภายในพื้นที่เข้มข้นและซับซ้อน พวกเขาล้วนทำผิดพลาด แต่สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันคือหัวใจอันยิ่งใหญ่และความปรารถนาที่จะรักแม้ว่าคนอื่นๆจะดูเหมือนไม่มีใครรักก็ตาม มันเป็นเรื่องราวที่ถามคำถามง่ายๆ แต่สำคัญ นั่นคือ เราสามารถช่วยกันและกันได้หรือไม่? ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญในโลก ณ ตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผู้คนดูเหมือนจะหันหลังให้กันมากกว่าที่เคย”
“สำหรับผม นี่คือสิ่งที่เกี่ยวกับภาพยนตร์” เขากล่าวต่อ “ด้วยพลังแห่งอารมณ์ เรื่องราวเช่นนี้สามารถทำให้เราสวมบทบาทเป็นบุคคลที่เราอาจไม่เคยนึกสงสัยด้วยซ้ำ และเตือนเราว่าคำสัญญาแห่งความรักและการไถ่บาปทางจิตใจล้วนมีอยู่ในการดำรงอยู่ของมนุษย์ทุกคน”
ในบางแง่มุม The Whale คือการล่า เป็นการค้นหาเพื่อเข้าใจธรรมชาติอันลื่นไหลของความเห็นอกเห็นใจ ว่าเหตุใดเราจึงต้องการมันและเหตุใดเราจึงผลักไสมันออกไป เมื่อใดที่เราให้ได้และเมื่อใดที่เราให้ไม่ได้ แต่ผู้ชมยังได้สัมผัสกับความตื่นเต้นที่ดอกไม้จะเบ่งบานระหว่างการดำเนินไปของเรื่องราว ท่ามกลางการทบทวนถึงความเชื่อใจและขอบเขตต่างๆอีกครั้ง ชาร์ลีได้ทำลายเส้นเขตแดนของตัวเอง เขาอยู่ในวังวนนับตั้งแต่คู่ของเขาตายไป แต่ตอนนี้เขาผ่านความเหนื่อยล้ามาสู่การมองโลกในแง่ดีที่สัมผัสได้ซึ่งช่วยจุดประกายวันคืนเหล่านี้ เมื่อถึงจุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง ชาร์ลีถามสิ่งที่อาโรนอฟสกีมองว่าเป็นคำถามที่ลึกซึ้งที่สุดคำถามหนึ่งของเรื่อง “คุณเคยรู้สึกไหมว่าผู้คนสูญสิ้นซึ่งการใส่ใจต่อกันและกัน”
ความหวังทั้งหมดที่ชาร์ลีมีเหลืออยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเอลลี ลูกสาวของเขาที่ดูเหมือนไม่ชอบใครๆเลย มีรากฐานมาจากคุณสมบัติที่มีความเป็นมนุษย์ที่ข้อนี้ เพราะหากความเชื่อมั่นของเขาเกี่ยวกับการเห็นอกเห็นใจเป็นเรื่องจริง ทุกสิ่งก็เป็นไปได้สำหรับ “ชาร์ลีเป็นคนที่มีข้อบกพร่องเยอะมาก แต่เขาเข้าใจถึงพลังแห่งจินตนาการ เขาเชื่อว่าหากคุณได้ใช้เวลาสักนิด ใครๆก็อาจจินตนาการและอาจเข้าใจโลกของผู้อื่นได้” อาโรนอฟสกีกล่าว
จากเวทีสู่หน้าจอ
เมื่อเวอร์ชันดั้งเดิมของThe Whaleออกแสดงรอบปฐมทัศน์ในปี2012 มันมีความกังวลบางอย่างในตอนแรก แม้แต่ในพื้นที่กะทัดรัดบนเวที ว่าผู้ชมในโรงละครจะมาดูการแสดงที่ตัวเอกถูกปล่อยทิ้งอยู่บนโซฟาตลอดทั้งเรื่องหรือไม่? แล้วชื่อเรื่องล่ะ?
แต่ปรากฎว่าความกังวลทั้งหมดนั้นไร้ประโยชน์ บทละครของฮันเตอร์ได้รับความนิยมอย่างมาก แทนที่จะรู้สึกว่าถูกกักขังมากเกินไป ผู้ชมกลับชื่นชมในด้านการซักถามทางจิตวิญญาณของมนุษย์ที่กว้างขวางและกว้างไกล ชื่นชอบในความสัตย์จริงและอารมณ์ขันของตัวละคร และการเข้าถึงอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความเศร้าโศก การถูกบังคับ และการไถ่บาป
ความกังวลใดๆเกี่ยวกับของชื่อเรื่องที่ฟังดูแข็งๆก็หมดไปอย่างรวดเร็วเช่นกันเมื่อเข้าใจว่าธีมเรื่องโมบี้ดิ้กมีส่วนสำคัญในการแสดง ทั้งตามตัวอักษรและตามหัวข้อ ชาร์ลีและเอแฮบไม่ได้แตกต่างไปจากกันเลย ชายทั้งสองล้วนจมอยู่กับการไล่ตามความฝัน มัวเมากับสิ่งที่เป็นไปได้และหมกมุ่นอยู่กับจินตนาการของอนาคตอื่น
หลังจากประสบความสำเร็จและเปิดตัวในเดนเวอร์อย่างครึกครื้น The Whaleก็ย้ายออกจากบรอดเวย์ในเดือนมกราคมปี2012ผ่านทางPlaywrights Horizonsซึ่งกวาดรางวัลมากมาย รวมถึงรางวัลLucille Lortel Awardสาขาการแสดงยอดเยี่ยม, รางวัลGLAAD Media Award และรางวัลSpecial Drama Desk Award สำหรับการสนับสนุนอย่างสลักสำคัญต่อโรงละคร นอกจากนี้ยังสร้างชื่อเสียงที่เพิ่มขึ้นของฮันเตอร์ในฐานะผู้เขียนบทคนสำคัญในยุคนี้ โดยเขาปรับมันให้เข้ากับความซับซ้อนของอัตลักษณ์สมัยใหม่แต่ยังคงคำถามคลาสสิกที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับจิตวิญญาณและการดำรงอยู่
อาโรนอฟสกีได้ชมละครเรื่องนี้ในช่วงต้นเรื่องในนิวยอร์ก โดยเพิ่งได้ดูภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาไปสดๆร้อนๆและกำลังคิดเกี่ยวกับโปรเจ็กต์ต่อไปอยู่พอดี เขาได้รับการยอมรับในฐานะนักพากย์ภาพยนตร์ที่มีผลงานที่ท้าทายต่อการจัดหมวดหมู่ เขาเริ่มต้นอาชีพของเขาด้วยภาพยนตร์ระทึกขวัญหลอนประสาทเรื่องPi ก่อนที่จะดัดแปลงและกำกับนิทานเรื่องRequiem for a Dream และภาพยนตร์แนวไซไฟสุดคลาสสิกที่ละลายใจเรื่องThe Fountain ตามมาด้วยการจู่โจมตัวตนในแบบระทึกขวัญแนวจิตวิทยาในเรื่องThe WrestlerและBlack Swan แม้ว่าเนื้อหาและโทนเรื่องจะแตกต่างกันอย่างมาก แต่ภาพยนตร์ของอาโรนอฟสกี(รวมถึงเรื่องที่ตามมาหลังจากนั้น เช่น มหากาพย์การดัดแปลงเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิลเรื่องNoah และเรื่องMother! อุปมาสตรีนิยมเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่เดือดดาล) ล้วนมีสิ่งที่เหมือนกันคือการสำรวจจิตใจของบุคคล และการทลายกำแพงกั้นระหว่างตัวตนและเรื่องราว
อาโรนอฟสกีรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องThe Whaleเมื่อเข้าไปดู จู่ๆเขาก็ซื้อตั๋วเพราะทึ่งกับชื่อเรื่อง หลังจากที่ไฟในโรงละครสว่างขึ้นเมื่อการเดินทางของชาร์ลีสิ้นสุด เขาก็รู้ว่าเขาต้องได้รับลิขสิทธิ์ในเรื่องนี้
“ผมรู้สึกเชื่อมโยงกับธีมและแนวคิดต่างๆของเรื่องและวิธีที่มันทำให้ค้นพบความสวยงามในสิ่งที่อคติของเรามักทำให้ไร้ซึ่งมนุษยธรรมมากเกินไป” อาโรนอฟสกีกล่าว “มันทำให้ใจผมเจ็บปวด ทำให้ผมหัวเราะและผมรู้สึกได้รับแรงบันดาลใจจากความกล้าหาญและความสง่างามที่ตัวละครแต่ละตัวพบ ผมต้องใช้คำถามที่ผมชอบสำรวจในงานของผมเองที่ว่า คุณจะนำผู้ชมเข้าไปอยู่ในตัวละครที่พวกเขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนได้อย่างไร ตอนนั้นผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นหนังได้ไหม แต่ผมได้พบกับแซมและสนิทกับเขาในทันที”
ความผูกพันระหว่างอาโรนอฟสกีและฮันเตอร์ในทันทีทำให้สิ่งต่างๆก้าวต่อไป ทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันว่าฮันเตอร์ควรดัดแปลงงานของเขาเอง แต่มีปัญหาเดียวคือฮันเตอร์ไม่เคยเขียนบทภาพยนตร์ แต่เขาได้รับการสนับสนุนจากอาโรนอฟสกีและได้รับทุนMacArthur Genius ฮันเตอร์จึงเริ่มสอนตัวเองตั้งแต่เริ่มต้น เขาศึกษาภาษาภาพยนตร์และหาวิธีแปลงงานของเขาจากบทเวทีสู่หน้าจอ “แซมมีพรสวรรค์อย่างเหลือเชื่อ ผมรู้ว่าเขาต้องหาทางของเขาเองได้” อาโรนอฟสกีกล่าว
ในฐานะผู้รักการเรียนรู้ตัวยง ฮันเตอร์ชอบความท้าทาย “มันเป็นโอกาสที่จะได้มองดูเรื่องราวอีกครั้งด้วยดวงตาที่สดใส และเติบโตในฐานะบุคคลเมื่อเรื่องราวเติบโตขึ้น” เขากล่าว
นอกจากนี้ยังหมายถึงการดำดิ่งกลับไปสู่วันที่มืดมนที่สุดในชีวิตของเขา แรงผลักดันในการเขียนThe Whaleมีส่วนหนึ่งมาจากประสบการณ์ของฮันเตอร์เกี่ยวกับโรคอ้วนในช่วงวิทยาลัย แม้ว่าเขาจะลดน้ำหนักลงไปมากแล้ว แต่เขาก็รู้ดีว่าคนอย่างชาร์ลีต้องผ่านอะไรมาบ้างทั้งทางร่างกายและทางสังคม และในขณะที่โรคอ้วนมีสาเหตุหลายประการซึ่งมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อชาวอเมริกันกว่า40% ฮันเตอร์ได้เชื่อมโยงโดยตรงในกรณีของเขาระหว่างน้ำหนักส่วนเกินและความรู้สึกที่ไม่ได้ถูกแก้ไข
“ผมรู้จักผู้คนมากมายที่ตัวใหญ่แต่มีความสุขและสุขภาพดี แต่ผมไม่ใช่แบบนั้น” ฮันเตอร์กล่าว “ผมมีอารมณ์ที่ไม่ได้รับการจัดการขณะเข้าเรียนในโรงเรียนคริสเตียนนิกายฟันดาเมนทัลลิสท์ ที่ซึ่งรสนิยมทางเพศของผมเป็นไปอย่างกดดันและน่าเศร้า และนั่นทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพด้านการกินอาหาร ตอนที่ผมเริ่มเขียนThe Whale ผมคิดว่าทุกอย่างมันไหลออกมาจากตัวผมเอง”
ฮันเตอร์พบสถานที่เพื่อสำรวจบาดแผลทางใจและความโกรธที่เขามีผ่านตัวละครชาร์ลี เมื่อเราพบกับชาร์ลี เขาอยู่ในขอบเขตจำกัดของอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริง ร่างกายเนื่องจากขนาดของเขาทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดีนัก อารมณ์เพราะความเศร้าโศกอย่างใหญ่หลวงที่เขามีต่ออลันคู่ของเขาที่ตายจากไป เขาไม่อาจให้อภัยตัวเองต่อสิ่งที่เขามีส่วนต่อการตายของอลัน และเขารู้สึกผิดอย่างมากเกี่ยวกับการทอดทิ้งลูกสาวตัวน้อยและภรรยาของเขาไป ชาร์ลีเริ่มทำลายตัวเองด้วยการกินอาหารมากเกินไป
“ความเศร้าโศกที่ไม่ได้ถูกจัดการคือรากฐานของทุกสิ่งสำหรับชาร์ลี เขาทรมานจากภาวะหัวใจล้มเหลว แต่บางทีเขาอาจกำลังจะตายจากความโศกเศร้าในเรื่องที่เขาไม่แก้ไข” ฮันเตอร์กล่าว
ก่อนลงมือเขียนบท ฮันเตอร์เริ่มสอนที่มหาวิทยาลัยรัตเกอร์ส โดยเขาแก้ปัญหาในชั้นเรียนที่น้องใหม่ทุกคนกลัว นั่นคือ การเขียนเชิงอธิบาย ประสบการณ์ของเขาในฐานะศาสตราจารย์เป็นแรงบันดาลใจให้ชาร์ลีเป็นอาจารย์สอนออนไลน์ ซึ่งเป็นงานที่ทำให้เขาสามารถซ่อนตัวจากโลกภายนอกในขณะที่ยังสามารถเข้าสังคมได้ และการเลือกอาชีพนี้สำหรับชาร์ลีช่วยให้ฮันเตอร์เข้าใจถึงแรงจูงใจของชาร์ลีในการแสดงได้ในที่สุด และว่าทำไมเขาถึงหมดหวังที่จะเชื่อมต่อกับผู้คนอีกครั้ง
ในฐานะครูโรงเรียนมัธยม ชาร์ลีคุ้นเคยอย่างดีกับความสำคัญของการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนเพื่อป้องกันและสนับสนุนแนวคิดของตน การละเว้นซึ่งความฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นเพื่อเข้าสู่หัวใจของเรื่องอย่างชัดเจนและรัดกุมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งจุดสำคัญนี้จำเป็นทั้งในการเขียนเรียงความและในการใช้ชีวิต ระบบความเชื่อนี้สนับสนุนความปรารถนาของชาร์ลีที่จะติดต่อกับผู้คนในชีวิตของเขาอีกครั้ง:การผูกมัดเส้นด้ายหลวมๆเพื่อรอบทสรุปที่เข้มข้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเชื่อในวันสุดท้ายของเขาบนโลกนี้
“ไม่มีใครชอบการเขียนอธิบาย แต่ผมจำได้ว่าผมมาถึงจุดที่ผมขอร้องนักเรียนของผมว่าได้โปรดเขียนสิ่งที่เป็นความจริง เขียนอะไรก็ได้ที่คุณเชื่อจริงๆ นั่นคือตอนที่นักเรียนคนหนึ่งของผมเขียนสิ่งที่ตอนนี้เป็นบรรทัดฐานทั้งในละครและภาพยนตร์ หัวข้องานเขียนของเขาคือ’ฉันคิดว่าฉันต้องยอมรับว่าชีวิตของฉันมันคงไม่น่าตื่นเต้นมากนัก’ ผมจะไม่มีวันลืมการได้อ่านงานเขียนนั้นเพราะมันเหมือนกับว่า ทันใดนั้นมีแสงสว่างฉายขึ้นมาบนหน้ากระดาษ และผมก็เห็นคนพวกนี้และความเป็นมนุษย์ของพวกเขาที่สว่างไสว” ฮันเตอร์อธิบาย “ชาร์ลีกำลังมองหาสิ่งนั้น จากตัวเขาเองและจากคนอื่นๆ”
การแสวงหาความจริงของชาร์ลีทำให้เขากลับมาติดต่อกับเอลลี่ ลูกสาวที่เหินห่างไปของเขา ซึ่งเป็นการอำพรางบาดแผลของเธอจากการถูกทอดทิ้งโดยชาร์ลีด้วยเกราะหนาสีดำแห่งความโกรธของเธอ ในตอนแรก เธอปฏิเสธความพยายามใดๆของชาร์ลีที่จะได้ใช้เวลาร่วมกัน แต่เธอยอมอ่อนข้อเมื่อเขาตกลงที่จะช่วยเธอเขียนเรียงความส่งโรงเรียน
“ในฐานะครู วิธีเดียวที่ชาร์ลีจะเชื่อมกับเอลลีได้ก็คือการช่วยเขียนเรียงความเรื่องโมบี้ดิ้กของเธอ” ฮันเตอร์กล่าว
เมื่อฮันเตอร์เริ่มเขียนบทละครและเจาะลึกความสัมพันธ์ระหว่างชาร์ลีและเอลลี ประสบการณ์นี้รู้สึกแปลกและเกือบจะน่ากลัวสำหรับเขา เขาไม่เคยรู้สึกเปิดเผยและเปลือยเปล่ามากเท่านี้มาก่อน “มันให้ความแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงสำหรับผมเพราะผมรู้สึกเปลือยเปล่ามากขึ้น ไม่ได้ซ่อนอะไรไว้เบื้องหลังเลย และมันก็ทำให้รู้สึกเปราะบางอ่อนแอจริงๆ”
ความเปราะบางนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลไกของละคร ความซื่อสัตย์และความใจกว้างแบบสุดโต่งที่บังคับหรืออย่างน้อยก็ปลอบใจผู้ชมมากพอให้พวกเขาเต็มใจที่จะติดตามการแสดงลึกลงไปในโพรงกระต่าย แต่เมื่ออาโรนอฟสกีเข้ามามีส่วนร่วมและมีแนวคิดในการดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์มาเสนอ ก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นมา เรื่องราวของชาร์ลีจะสามารถบอกเล่าบนหน้าจอได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่? เป็นไปได้ไหมที่จะสร้างสถานที่เพียงแห่งเดียวและตัวละครที่อยู่นิ่งๆให้เป็นภาพยนตร์? มีการริเริ่มในเริ่มแรกให้เล่นกับพื้นที่ โดยให้ย้ายการกระทำบางอย่างออกไปจากบ้านของชาร์ลีไปสู่โลกภายนอกด้วยตัวละครใหม่ที่สร้างสรรค์ขึ้น แต่ในที่สุดทั้งฮันเตอร์และอาโรนอฟสกีก็ล้มเลิกความคิดดังกล่าวไป
“ผมกับดาร์เรนสนใจในความท้าทายที่จะรักษาทุกอย่างไว้ในพื้นที่เดียว ที่ตัวละครต่างพยายามช่วยกันและกัน แต่มันต้องไม่รู้สึกอึดอัด” ฮันเตอร์กล่าว “บรรยากาศต้องให้ความรู้สึกเชิญชวนมากพอที่ผู้ชมจะพาตัวเองหลงเข้าไปข้างในได้”
การเปลี่ยนแปลงของฮันเตอร์ที่ละเอียดอ่อนแต่สำคัญทำให้อาโรนอฟสกีตื่นเต้น “แซมไม่กลัวที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ” เขากล่าว “ตัวอย่างหนึ่งคือการเพิ่มตัวละครคนส่งพิซซ่า [แสดงโดย Sathya Sridharan] ซึ่งสร้างช่วงเวลาสะเทือนอารมณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ เมื่อผมอ่านฉากที่เขาเห็นชาร์ลี ผมก็เชื่อสนิทใจว่าเคยได้เห็นตัวละครนี้บนละครเวที แต่นี่เป็นตัวละครที่สร้างขึ้นมาใหม่ต่างหาก เมื่อสมองของคุณเปลี่ยนภาพบนหน้ากระดาษให้เป็นสิ่งที่คุณคิดว่าเคยเห็นด้วยตามาก่อน คุณจะรู้ว่ามันทรงพลังมาก”
การกลับมาทางการแสดงอย่างยิ่งใหญ่ของเบรนแดน เฟรเซอร์
ในฐานะบทที่ต้องการความเปราะบางและการเปิดเผยจากนักแสดง การเล่นเป็นชาร์ลีจะเป็นประสบการณ์ที่เข้มข้นไม่เหมือนใครสำหรับนักแสดงทุกคน บางทีอาจมากกว่านั้นสำหรับเบรนแดน เฟรเซอร์ ผู้ซึ่งกล่าวว่าเขาต้องนำทุกสิ่งที่เขามี ทั้งความฉลาดทางอารมณ์เต็มรูปแบบ อารมณ์ขันที่เฉียบแหลม ความรู้สึกสูญเสีย และความโกรธที่ซ่อนเร้น เพื่อตอกย้ำความสามารถทางการแสดงของเขาในบทชายคนหนึ่งที่ถึงขีดสุดทั้งด้านความพังพินาศและการค้นพบสัจธรรม
นักแสดงที่เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดคนหนึ่งของฮอลลีวูด อาชีพของเฟรเซอร์ผ่านบทบาทมามากมาย ตั้งแต่มหากาพย์ระดับบล็อคบัสเตอร์ คอเมดีอันเป็นที่รัก และบทบาทที่ได้รับคำชื่นชมอย่างสูงประกบเอียน แมคเคลเลนในGods and Monstersที่ได้รับรางวัลออสการ์ แต่บทบาทในThe Whaleเป็นอะไรที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง โดยเป็นบทที่มีความต้องการสูงที่ต้องการความกล้าอย่างยิ่งในการกลับมารับบทบาทดราม่าที่สำคัญอีกครั้ง ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพครั้งใหญ่เท่านั้น แต่การรับบทเป็นชาร์ลีเกี่ยวข้องกับแง่มุมทางจิตวิทยาด้วยเช่นกัน จำเป็นอย่างยิ่งที่ชาร์ลีจะต้องผลักดันความคาดหวังของผู้ชมหรือการเหมารวมเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกออกไป เพื่อชักจูงให้พวกเขาติดตามชาร์ลีในการเดินทางและการก้าวข้ามขีดจำกัดของเขา และท้ายที่สุดทำให้พวกเขารู้สึกถึงน้ำหนักที่หนักอึ้งของประสบการณ์นั้นแบบเรียลไทม์
เฟรเซอร์เปิดใจเกี่ยวกับความจริงที่ว่าเขาต่อสู้กับหลายข้อสงสัยก่อนการถ่ายทำ “ผมยอมรับว่าผมรู้สึกกลัว ผมมีความกลัวจริงๆที่จะรับบทนี้ แต่นั่นก็เน้นย้ำให้ผมเห็นความสำคัญของการขุดลงไปให้ลึกกว่าที่ผมรู้ว่าทำได้ ซึ่งอาจเป็นทางเลือกที่ตรงกันข้ามแต่ผมไม่เคยถูกขอให้ทำมาก่อน คือการรวมทุกอย่างที่ผมได้เรียนรู้จากชีวิตการทำงานของผมทั้งหมด เพื่อให้เข้ากับองค์ประกอบทั้งหมดของตัวละครเป็นหนึ่งเดียวกัน และยังรวมถึงการใส่ทุกอย่างในตัวผมลงไปด้วยวิธีนี้” เขากล่าว “และผมรู้สึกขอบคุณสำหรับโอกาสที่ได้รับ”
ในกองถ่าย เขาทำตามคำแนะนำที่แม็คเคลเลนผู้ช่ำชองมอบให้ นั่นคือ คุณต้องทำเช่นนี้เป็นครั้งแรกให้เหมือนว่ามันเป็นสิ่งสุดท้ายที่คุณจะได้ทำ สิ่งนี้กระตุ้นความพร้อมของเขาที่จะบุกทลาย ปลดระวางการป้องกันทั้งหมด และดำดิ่งสู่ช่องว่างระหว่างความสงสัยในตนเองและความหวัง
“ผมใส่ทุกอย่างที่ผมมีไว้บนหน้าจอทั้งหมด” เฟรเซอร์พูดด้วยอารมณ์ดิบ “ไม่มีอะไรที่ผมรั้งไว้ ทุกอย่างอยู่นั่นทั้งหมด”
ขณะที่เขาเข้ายึดวิญญาณของชาร์ลี เฟรเซอร์ไม่ได้รู้สึกหดหู่จากด้านมืดของเขาหรือรู้สึกอะไรเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่ชีวิตในฐานะพ่อ ครู สามี และแฟนหนุ่มต้องพังทลายลงในกำมือของเขาเอง “ชาร์ลีไม่ใช่เทพบุตร แต่เขาเป็นมนุษย์ที่น่าทึ่งมาก ในใจผมคิดว่าเขาคือวอลต์ วิทแมน” เฟรเซอร์กล่าว โดยอ้างถึงการเฉลิมฉลองของกวีเกี่ยวกับความสามารถของมนุษย์ที่จะ“ยิ่งใหญ่และล้นเหลือ” นักแสดงกล่าวเสริมว่า “ชาร์ลีเป็นคนรักชีวิตและความงามของมัน แต่ขณะเดียวกันก็กลับซ่อนตัวอยู่แต่ภายใน”
ชาร์ลีซ่อนบางเสี้ยวของตนจากความเกลียดชังที่มีต่อเขาเนื่องจากรูปลักษณ์ภายนอกของเขา แต่ยิ่งไปกว่านั้นยังเนื่องจากความผิดพลาดที่เขาทำและความสูญเสียที่เขาไม่สามารถแก้ไขหรือก้าวข้ามผ่านไปได้ เฟรเซอร์ตั้งข้อสังเกตว่า “การที่ชาร์ลีไม่สามารถก้าวต่อไปจากความเศร้าโศกนั้นเกิดจากการที่เขาไม่สามารถเป็นคนที่เขาอยากจะเป็นได้ เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อการจากไปของอลัน ความรู้สึกผิดที่เดินออกมาจากชีวิตกับลูกสาว ความรู้สึกผิดต่อสิ่งต่างๆที่อาจเกิดขึ้น”
เฟรเซอร์เชื่อว่าชาร์ลีไม่เคยต้องการทำร้ายใคร แน่นอนว่าทั้งต่อลูกสาวของเขาและต่อตัวเขาเองเช่นกัน “เขาไม่ได้ช่างคิดคำนวณหรือมุ่งร้าย แต่ชาร์ลีทำอันตรายอย่างใหญ่หลวงโดยส่วนใหญ่มาจากการไม่เตรียมพร้อมและการไม่เป็นตัวของตัวเอง และตอนนี้เขากำลังอยู่ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว เขาเลิกยุ่งกับคนที่เขารักมานานเกินไปและเกือบจะสายเกินไปแล้ว เมื่อเขาบอกลูกศิษย์ว่าพวกเขาต้องหาทางบอกความจริง เขากำลังเทศนากับตัวเองพอๆกับต่อคนอื่น บัดนี้เหลือเวลาอีกแค่สองสามวัน และเขาไม่รู้ว่าเขาจะได้รับการไถ่บาปหรือไม่”
เช่นเดียวกับหลายๆคนที่อยู่ในภาวะวิกฤต ชาร์ลีเต็มไปด้วยแรงกระตุ้นที่ขัดแย้งกัน แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเขากำลังจะตาย แม้ว่าเขาจะปฏิเสธการรักษาทางการแพทย์ที่อาจสามารถช่วยชีวิตเขาหรือบรรเทาความเจ็บปวดของเขา แต่เขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่อย่างงดงามและหวาดกลัวต่อสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เขามีความกระตือรือร้นที่ไม่อาจปฏิเสธได้ในชีวิตนี้ แม้ว่าเขากำลังส่งให้ตัวเองตายลงอย่างช้าๆ
เฟรเซอร์ไม่ได้มองว่าการกระทำของชาร์ลีเป็นการทำลายตัวเองอย่างแท้จริง เมื่อเราได้พบกับเขา เขาก็แค่ยอมรับสภาพตัวเองตามที่เป็นอยู่ไปแล้ว “ชาร์ลีรู้ว่ามันสายเกินไปที่จะหันเรือกลับ” เขาว่า “แต่เขาก็รู้เช่นกันว่าเขาสามารถทำให้ผู้คนตอบสนองต่อความเปราะบางของเขาได้”
เฟรเซอร์เล่าถึงแผลเป็นด้านในที่มอมแมมของชาร์ลีในระดับส่วนตัว และสังเกตว่าเขารู้สึกว่าหลายคนอาจรู้สึกเช่นเดียวกัน “ผมรู้ดีว่าความรู้สึกถูกหัวเราะเยาะเย้ยอย่างไร้ความปรานีเป็นอย่างไร” เขาตั้งข้อสังเกต “แต่อาจจะไม่มากไปกว่าใครในโลกปัจจุบันนี้หรือใครก็ตามบนโซเชียลมีเดีย ตอนนี้เราทุกคนล้วนเรียนรู้วิธีที่จะระงับความเจ็บปวดนั้นแล้ว”
อาโรนอฟสกีใช้เวลาสิบปีในการค้นหาชาร์ลีของเขา “ผมนึกถึงทุกคน ไม่ว่าจะเป็นดาราหนัง คนที่ไม่เป็นที่รู้จัก คนที่ไม่ใช่นักแสดง แต่ไม่มีใครที่ใช่สักที่” เขาเล่า “ผมต้องการใครสักคนที่คุณสามารถเชื่อได้ว่าเป็นชาร์ลีแต่มีความลึกซึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ จากนั้นผมก็เห็นเบรนแดนเป็นในบทเล็กๆในตัวอย่างหนังเรื่องJourney to the End of the Night แล้วผมก็สว่างวาบขึ้นมาเลย”
ในเดือนกุมภาพันธ์2020 อาโรนอฟสกีรวบรวมเฟรเซอร์และสมาชิกนักแสดงคนอื่นๆเพื่ออ่านบททีละฉากที่โรงละครเซนต์มาร์กในนิวยอร์ก มันมีเวทมนตร์เกิดขึ้นที่นั่น “ผมรู้สึกหนาวสั่นตั้งแต่วินาทีแรก” อาโรนอฟสกีเล่า “ผมรู้ว่านี่คือภาพยนตร์ และผมรู้ว่าผมต้องการสร้างมันร่วมกับเบรนแดน”
ฮันเตอร์ซึ่งเฝ้าดูการอ่านอยู่ก็รู้สึกแบบเดียวกัน “คุณสามารถเห็นดีเอ็นเอของชาร์ลีในตัวเบรนแดน” เขากล่าว “เขาเข้าใจจริงๆว่าการรู้สึกสูญเสียเหมือนกับชาร์ลีเป็นอย่างไร และเขาเข้าใจว่าถ้าคุณเล่นเป็นชาร์ลีในแบบที่มืดมนและครุ่นคิด เรื่องราวอาจเหี่ยวเฉาจบเห่คาต้น แต่สิ่งที่เบรนแดนทำคือเชื่อมโยงโดยตรงกับความสุขและความรักในตัวชาร์ลี”
นอกจากนี้ ในการอ่านบทนี้ยังมีแอนดรูว์ ไวส์บลัม นักตัดต่อภาพยนตร์ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง2สมัย ซึ่งจะร่วมงานกันเป็นครั้งที่5กับอาโรนอฟสกีในเรื่องนี้ เขายังให้ความสำคัญกับวิธีที่ชาร์ลีพาผู้ชมจากการเผชิญหน้าไปสู่การปลุกเร้าความทะเยอทะยาน “สิ่งที่ช่วยยกระดับเรื่องราวคือการมองโลกในแง่ดีของชาร์ลีและความมุ่งมั่นที่จะสร้างความสัมพันธ์กับคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา นั่นคือลูกสาวของเขา เส้นด้ายทางอารมณ์ที่แข็งแกร่งนั้นจะพาคุณฝ่าฟันความมืดไปได้” เขากล่าว
หลังจากนั้นไม่นาน อาโรนอฟสกี้บอกกับเฟรเซอร์ว่าเขาวางแผนที่จะดำเนินการกับภาพยนตร์เรื่องนี้ต่อ “ผมรู้สึกโชคดีมากที่ได้อยู่ในที่ที่ผมอยู่ ผมชื่นชมดาร์เรนและผลงานของเขาอย่างสุดซึ้งและผมก็มองเห็นความเป็นไปได้ของสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นไปได้” เฟรเซอร์เล่า “หัวใจของผมกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้”
แต่เพียงสองสัปดาห์ต่อมา การล็อคดาวน์ของโควิดก็หยุดการผลิตภาพยนตร์ทั้งหมด มันอาจใช้เวลาสักพักก่อนที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นได้อย่างปลอดภัย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เฟรเซอร์จำได้ว่ามันรู้สึกเหมือนเป็นยารักษาความเหงา “แค่มาที่กองถ่ายทุกวันในช่วงนี้และอุทิศตนเพื่อโลกของชายคนนี้ ดูเหมือนจะทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันในแนวทางที่สำคัญ” เขาตั้งข้อสังเกต
ก่อนหน้านั้น เฟรเซอร์หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เขาเรียกว่า “การวิจัยที่อาจจะจริงจังมากเกินไปสักหน่อย” เขาเรียนรู้โดยตรงจากผู้ที่เป็นโรคอ้วน ดูหนังทุกเรื่องกับคนตัวใหญ่เพื่อดูว่านักแสดงต่างๆมีวิธีเข้าหาบทเช่นนี้อย่างไร เขาอ่านนิยานของเมลวิลล์อีกครั้งและเรียนรู้ในภายหลังด้วยความช่วยเหลือจากเบธ ลูอิสโค้ชด้านการเคลื่อนไหวเพื่อตรวจตราอพาร์ตเมนต์เหมือนที่ชาร์ลีทำ เขายังต้องชินกับการสวมชุดหนัก100ปอนด์ที่แหวกแนวและการแต่งหน้าเสริมอวัยวะเทียมเพื่อเปลี่ยนร่างกายของเขา
เรื่องราวเกี่ยวกับโรคอ้วนมีมากมายแม้จะเป็นโรคที่พบได้บ่อยมาก แต่ก็ยังมีความจำเป็นด้านปัจเจกบุคคลสูงเมื่อมาถึงการแต่งหน้าด้วยแง่มุมด้านพันธุกรรม เมแทบอลิซึม สิ่งแวดล้อม และมิติทางจิตใจ ทั้งหมดนี้มีส่วนทำให้เกิดผลกระทบต่อปัจเจกบุคคล ผู้คนสามล้านคนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอ้วนทุกปี สิ่งนี้สะท้อนได้จากการขาดการนำเสนออย่างตรงไปตรงมาของผู้ที่มีโรคอ้วนในภาพยนตร์และทีวี และยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อเป็นเรื่องของตัวละครนำ
ฮันเตอร์ไม่ได้ตั้งใจจะคลี่คลายความซับซ้อนทั้งหมดเกี่ยวกับอคติเรื่องน้ำหนักเมื่อเขาเขียนเรื่องThe Whale แต่เรื่องราวของชาร์ลีมีผลกระทบอย่างมาก และจุดประกายให้เกิดการสนทนาไม่ว่าจะไปที่ไหน อาโรนอฟสกี้ตระหนักดีถึงความสำคัญของการเป็นตัวแทนที่เหมาะสม เขาจึงมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับความเป็นจริงของโรคนี้ให้ได้มากที่สุด เขาและเฟรเซอร์ปรึกษากับดร.ราเชล โกลด์แมน นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมการกินและการรักษาโรคอ้วน และร่วมกับObesity Action Coalition (OAC) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนหลักของประเทศ นอกเหนือจากการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับศัพท์เทคนิคในสคริปต์แล้ว OACยังให้พวกเขาติดต่อกับผู้คนที่เต็มใจพูดอย่างตรงไปตรงมาและเจาะลึกเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของพวกเขาต่อโรคอ้วน
“อคติเรื่องน้ำหนักเป็นหนึ่งในด่านสุดท้ายของมนุษย์ที่หาทางบั่นทอนซึ่งกันและกัน” เฟรเซอร์กล่าว “บ่อยครั้งเกินไป คนที่มีขนาดเท่าชาร์ลีไม่เป็นที่มองเห็น มีเพียงครอบครัวหรือผู้ดูแลเท่านั้นที่รู้ และเรามองเห็นแค่เพียงแวบเดียวเท่านั้น สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการพูดคุยกับผู้คนมากมายก็คือ พวกเขาต้องการบอกเล่าเรื่องราวของตนเช่นเดียวกับทุกคน และพวกเขาต้องการได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมและตรงไปตรงมา และสำหรับผม นั่นเป็นแรงผลักดันอีกประการหนึ่งในการมุ่งสู่ความถูกต้องอย่างสมบูรณ์”
ฮันเตอร์หวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะช่วยทลายกำแพงการเล่าเรื่องอีกด้าน “ผมรู้สึกว่าไม่ควรเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่จะเขียนเกี่ยวกับตัวละครที่เป็นโรคอ้วนซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีความสวยงาม มีข้อบกพร่อง มีความรัก และเต็มไปด้วยความรัก” เขากล่าว “ผมจะไม่พูดว่านี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับทุกคนที่ต่อสู้กับโรคอ้วน เพียงแต่ว่ามันมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเอง มีเรื่องราวมากมายให้เล่า แต่หวังว่าชาร์ลีจะได้รับการตอบรับด้วยความเมตตาและความรัก”
แม้ว่าร่างกายของชาร์ลีจะเป็นองค์ประกอบหลักของเรื่อง เฟรเซอร์หวังว่าการแสดงของเขาจะพาผู้ชมไปสู่ที่ที่รูปร่างของชาร์ลีเป็นที่สนใจน้อยกว่าสิ่งที่ชาร์ลีคิด รู้สึก และโหยหาตลอดทั้งเรื่อง “เราใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งสัปดาห์ในการเรียนรู้ว่าชายคนนี้เป็นใคร” เขากล่าว “ผมรู้ว่าผู้คนจะมองหาเส้นแบ่งระหว่างความประดิษฐ์และความเป็นจริงในตอนแรก แต่ผมหวังว่ามันจะไม่เป็นที่มองเห็น ท้ายที่สุดแล้ว ผมหวังว่าการแต่งหน้าที่น่าทึ่งจะผสานรวมเข้ากับฉากหลังได้อย่างดีจนคุณหลงไหลไปกับเรื่องราว”
อาโรนอฟสกีอยู่ใกล้ชิดเฟรเซอร์ไปตลอดทางเพื่อปกป้องสิ่งที่เขารู้ว่าเป็นสภาวะจิตใจที่ละเอียดอ่อนมากเมื่อเขาก้าวเข้าไปในบุคลิกของชาร์ลี “มีการผสมผสานระหว่างพลังของคำพูดของแซมกับความกล้าหาญในการแสดงของเบรนแดนที่เหนือขอบเขต และคุณจะได้เห็นความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในคุณสมบัติหลากสีสันทั้งหมดของเขา” เขากล่าว “โดยหลักแล้ว ผมกับเบรนแดนคุยกันว่าเราต้องการให้ผู้ชมเข้ามาสู่ที่ไหนและไม่อยากให้พวกเขาออกไปไหน เบรนแดนเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์และฉลาดอย่างเหลือเชื่อ แต่ชาร์ลีก็สามารถเป็นคนเห็นแก่ตัวและไร้เหตุผลได้ในบางครั้ง ดังนั้นจึงต้องหาสมดุลในแต่ละช่วงเวลา”
สำหรับเฟรเซอร์แล้ว อาโรนอฟสกีมีความสามารถที่หาได้ยากในเรืีองรายละเอียดปลีกย่อย “ดาร์เรนสามารถเห็นทุกอย่าง เขาบอกผมว่าถ้าเขาไม่ได้เป็นผู้สร้างภาพยนตร์ เขาคงเป็นผู้ตัดสินเบสบอล และผมก็เข้าใจเพราะเขารู้ดีอยู่เสมอ เขาใจดีกับผมมาก เป็นไกด์ที่คอยให้กำลังใจ คอยผลักดันผมเมื่อผมต้องการให้เจาะลึกลงไปอีกและทำทุกอย่างต่อหน้ากล้อง”
เฟรเซอร์ตกหลุมรักบทสนทนาของฮันเตอร์ “แซมทำให้ชีวิตจริงกลายเป็นบทกวี” เขาแสดงความคิดเห็น “เขามอบคุณค่าและจุดประสงค์ให้กับเรื่องราวทั้งหมด เขาก็มีพรสวรรค์ด้วยภาษาที่สดใส มีความตลกและตรงไปตรงมา เขาอยู่ที่กองถ่ายทุกวัน และคำแนะนำของเขาก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้”
แม้ในขณะที่การแสดงต้องเสียเหงื่อและน้ำตา เฟรเซอร์ก็รู้สึกได้ถึงความรักที่จริงใจที่มีต่อชาร์ลี จนเขาอดคิดถึงเขาไม่ได้เมื่อบทบาทนี้สิ้นสุดลง “ผมไม่เคยมีประสบการณ์แบบนั้นมาก่อน” เขาสารภาพ “มันเป็นการเดินทางส่วนตัวที่เข้มข้นมาก และผมก็กลับออกมาในอีกด้านหนึ่งที่เปลี่ยนไป ซึ่งผมก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นสำหรับคนดูเช่นกัน ผมหวังว่าผู้คนจะเดินทางไปกับชาร์ลีในการค้นหาความถูกต้องนี้ ผมหวังว่าพวกเขาจะรู้สึกว่าการแสดงความจริงอย่างตรงไปตรงมาว่าคุณเป็นใครมีความสำคัญกับชาร์ลี สำคัญกับผม และสำคัญกับทุกๆชีวิต”
ผู้มาเยือนของชาร์ลี
ตลอดห้าวันที่เราอยู่กับชาร์ลี เราเห็นความพยายามของเขาที่จะสานสัมพันธ์กับลูกสาวที่เขาจากไปตั้งแต่ยังเล็ก และตอนนี้เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ตอนนี้เอลลีอายุสิบเจ็ดปี เธอเป็นคนปากไว ฉลาดหลักแหลม โกรธกระฟัดกระเฟียด เธอภูมิใจในตัวเองที่ไม่ต้องการใครและชอบฟาดฟันอย่างรุนแรงต่อใครก็ตามที่พยายามเข้าใกล้เธอ
แม่ของเธอคิดว่าเธอช่างเลวร้ายอย่างไม่อาจแก้ไขได้ แต่ชาร์ลีเชื่อว่าเธอฉลาด และความเฉลียวฉลาดของเธอจะกลายเป็นสิ่งพิเศษตราบใดที่เธอไม่เดินตามเส้นทางที่ซ่อนไว้ด้วยความเจ็บปวดของเธอ
ชาร์ลีเชื่อมั่นว่าเอลลีจะเป็นข้อพิสูจน์ในเชิงบวกต่อคำตัดสินที่ว่าไม่มีใครไม่สามารถดูแลเธอได้ เขาเชื่อมั่นในศักยภาพของเธอมากจนเต็มใจที่จะเอาชนะความโกรธที่แผดเผาของเธอ แม้กระทั่งยอมช่วยเธอทำการบ้านหากนั่นหมายถึงการได้ใช้เวลาร่วมกัน เฟรเซอร์กล่าวว่า “เอลลีเหน็บแนมพ่อของเธอ เธอล้อเลียนเขา เธอใจร้ายกับเขา เธอยุแหย่เขาและกล่าวหาเขา ถึงกระนั้น ก็ยังมีความงดงามในความเดือดดาลที่แผดเผาและการดูถูกเหยียดหยามที่เธอแสดงออกมา ผมคิดว่าชาร์ลีเชื่อว่าเธอจะกลายเป็นนักเขียนที่ยอดเยี่ยมและเป็นนักพูดสะท้อนความจริงได้”
ชาร์ลีกำลังฉายภาพลูกสาวที่เขาปรารถนาใช่หรือไม่? ฮันเตอร์กล่าวว่าสิ่งสำคัญคือต้องคอยเปิดคำถามนั้นเอาไว้ “ดาร์เรนเล่นกับเรื่องนี้ และผมคิดว่าคุณต้องให้ผู้ชมถามว่าเอลลีเป็นใคร เพราะส่วนใหญ่แล้วเราจะเห็นเธอต่อหน้าพ่อของเธอ ซึ่งนั่นเป็นสถานการณ์ที่กดดันจนบางทีคุณอาจไม่เคยเห็นเอลลีตัวจริงเลย อย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย” ฮันเตอร์แนะนำ
บทบาทนี้ต้องการการแสดงที่จะเปลี่ยนความคิดคร่ำครึว่าความกังวลใจของวัยรุ่นอาจกลายเป็นสิ่งที่รุนแรงขึ้น อาโรนอฟสกีพบตัวตนแบบเซดี ซิงก์ หรือที่รู้จักกันดีในบทแม็กซ์ เมย์ฟีลด์ ที่เป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆในซีรี่ย์“Stranger Things” “ครั้งแรกที่ผมรู้จักเซดีเหมือนกับคนส่วนใหญ่ในซีซันที่สองของ’Stranger Things’ เธอน่าทึ่งและจุดประกายเมื่อใดก็ตามที่เธออยู่บนหน้าจอ” อาโรนอฟสกีกล่าว “หลังจากที่เบรนแดนได้รับคัดเลือก ผมเริ่มคิดว่าผมจะหานักแสดงที่แข็งแกร่งพอที่จะยืนหยัดสู้กับเขาได้อย่างไร เซดีเข้ามาในจินตนาการของผมและไม่เคยจากไป”
“เซดีมีอาชีพการงานที่ยิ่งใหญ่รอเธออยู่” อาโรนอฟสกีกล่าวต่อ “เธอฉลาดและมีสัญชาตญาณสูงมาก แต่เธอก็เป็นนักแสดงที่มีเทคนิคสูงซึ่งรู้วิธีทำงานกับกล้องในขณะที่กำลังเข้าถึงอารมณ์ที่ดิบเถื่อนที่สุด”
เฟรเซอร์กล่าวเสริมว่า “ผมเชื่อในตัวเธออย่างแน่นอน ผมเชื่อในโลกภายในที่เธอนำออกมา และเซดีก็น่าทึ่งมากที่เธอทำให้ผมเชื่อในอนาคตของเอลลีในแบบที่ชาร์ลีเชื่อ”
ซิงก์รับบทบาทนี้ด้วยความตื่นเต้นในการได้เผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอจนถึงปัจจุบัน “ฉันไม่เคยทุ่มเทให้กับอะไรอย่างเต็มที่ขนาดนี้มาก่อน” เธอกล่าว เธอจินตนาการว่าตัวเองค่อยๆ ปล่อยให้ผู้ชมเดินทะลุเกราะหนาของเอลลีเข้าไปทีละนิด เปิดแสงริบหรี่เล็กๆสู่ความรู้สึกอันซับซ้อนของเธอที่มีต่อพ่อที่เธอรักตั้งแต่ยังเล็ก พ่อที่เธอเกลียดเมื่อตอนเป็นวัยรุ่น และผู้ชายที่ขอให้เธอยกโทษให้ ในตอนนี้
“ฉันสนุกกับโอกาสที่จะลอกชั้นของเอลลีออกช้าๆ” ซิงก์กล่าว “เมื่อคุณพบเธอครั้งแรก คุณอาจคิดว่าโอ้เธอก็แค่วัยรุ่นขี้โมโหคนหนึ่งและฉันเคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน คุณจะเห็นว่าเธอมีด้านที่มืดมนและเต็มไปด้วยพิษร้าย จากนั้น แม้ว่าเธอจะโหดเหี้ยมและใจร้ายอย่างที่สุด คุณอาจเริ่มรักเธอเมื่อคุณเห็นว่าความโกรธนี้มาจากไหน ส่วนใหญ่ฉันหวังว่าผู้คนจะเห็นอกเห็นใจเอลลีบ้าง เพราะสำหรับฉันแล้ว แม้ว่าเธอจะสุดโต่งในตัวเลือกบางอย่างที่เธอเลือก แต่เธอก็เป็นหญิงสาวผู้สูญเสียและกำลังค้นหาบางอย่าง”
ซิงก์รับรู้ว่าเอลลีกำลังทำภารกิจเพื่อยัดเยียดความเจ็บปวดของเธอสู่พ่อของเธอเพื่อบังคับให้เขารู้สึกถึงมัน “เธอทำร้ายพ่อของเธอมาเกือบทั้งชีวิต” เธออธิบาย “พวกเขามีสายสัมพันธ์ที่พิเศษมากเมื่อตอนที่เธอยังเด็ก แต่การถูกเขาทอดทิ้งไปจนทำให้เธอและแม่ต้องตกอยู่ในวังวน ฉันคิดว่าเธอมาที่อพาร์ตเมนต์ของเขาส่วนหนึ่งเพราะเธอต้องการทำร้ายเขาจริงๆ เธอต้องการแสดงให้เขาเห็นว่า ‘ดูสิว่าฉันกลายเป็นคนเลวร้ายแค่ไหนเพราะคุณ’ เธอต้องการทำให้เขาเจ็บปวดทางอารมณ์แบบที่เขาทำต่อเธอ และบางทีเธอก็อาจรู้สึกดีที่เห็นว่าพ่อของเธอไม่อยู่ในสภาพที่ดีนัก มันทำให้เธอรู้สึกได้เปรียบเพราะเขากำลังทุกข์ใจเธอจึงไม่ยอมแพ้ เธอมีเรื่องจะพูดและเธอก็จะพูดมันออกมา”
เอลลีใช้เวลาส่วนใหญ่ในภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแน่วแน่ที่จะไม่รับรู้ความรู้สึกใดๆต่อพ่อของเธอแม้แต่ความสงสาร แต่เมื่อเวลาผ่านไป ส่วนหนึ่งของเธอเริ่มสนุกไปกับบทสนทนาของพวกเขา แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นการพูดดูถูกอย่างเลวร้ายที่สุดเท่าที่เธอนึกออก แต่เธอกลับต้องหงุดหงิดเมื่อชาร์ลีพบว่าไหวพริบของเธอมีเสน่ห์มากกว่า “พลังพิเศษของเอลลีคือการที่เธอมีความสามารถอย่างแท้จริงในการมองเห็นผู้คนและเข้าใจพวกเขา” ซิงก์กล่าว “และฉันไม่คิดว่าเธอเคยคิดผิดเกี่ยวกับใครมาก่อนเหมือนที่เธอคิดผิดเกี่ยวกับชาร์ลี แต่ฉันไม่คิดว่าเธอเคยมีประสบการณ์ได้รับความรักแบบไม่มีเงื่อนไขจากใครก็ตามแบบที่เขาแสดงให้เธอเห็น นั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอกังวล”
สำหรับซิงก์ เอลลีเป็นคนที่เปิดเผยมากที่สุดเท่าที่เธอเคยสัมผัสมาในชีวิตในช่วงเวลาสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ และเช่นเดียวกับชาร์ลี ซิงก์ต้องการเชื่อว่าเอลลีมีศักยภาพที่จะแยกตัวออกจากความเกลียดชังที่มีต่อผู้คนหลังจากสิ่งที่เธอได้ประสบจากพ่อ “ถ้าชาร์ลีมีให้อภัยเธอและรักเธอหลังจากทุกถ้อยคำเลวร้ายที่เธอพูดกับเขา บางทีเธอก็อาจทำแบบนั้นได้เช่นกัน” ซิงก์สรุป “บางทีเธออาจจะสามารถเห็นข้อดีในตัวผู้คน เรื่องราวของThe Whaleเป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ที่ซับซ้อนมากและเอลลีสามารถตีความได้หลายวิธี แต่ฉันพบว่าตัวเองกำลังสนับสนุนเธอ”
ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับความเคียดแค้นและเก็บกดของเอลลีคือลิซ ผู้เป็นเพื่อนสนิทมานานของชาร์ลีและเป็นคนดูแลที่ซื่อสัตย์ ซึ่งบทนี้แสดงโดยฮง เชา
ลิซเป็นผู้หญิงที่ซับซ้อน เธอฉุนเฉียวและดุแต่อีกสักพักก็ใจกว้างและคอยปกป้อง เธอถูกหลอกหลอนด้วยบาดแผลในอดีตที่ผูกมัดเธอกับชาร์ลี และเธอยังสามารถเป็นตัวกระตุ้นที่เลวร้ายที่สุดของเขาอีกด้วย เธอรักชาร์ลี แต่เห็นได้ชัดว่าส่วนหนึ่งของความรักนี้คือการที่ชาร์ลีเป็นตัวแทนของสายสัมพันธ์สุดท้ายของเธอที่มีต่อกับอลัน น้องชายของเธอ
ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำจากเรื่องDownsizing และเพิ่งได้เห็นเธอในภาพยนตร์ยอดนิยมเรื่อง”Watchmen”ทางช่องHBO เชาสร้างความประทับใจต่ออาโรนอฟสกีทันทีจากความลื่นไหลเป็นธรรมชาติและสัญชาตญาณในการสำรวจของเธอ “ฮงนำเสนอการตีความที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงทุกครั้งที่ถ่ายทำ เธอไม่เคยหมดซึ่งแนวทางใหม่ๆแนวคิดใหม่ๆ ซึ่งเป็นของขวัญชิ้นใหญ่สำหรับผู้สร้างภาพยนตร์” เขากล่าว “ในขณะเดียวกัน เธอมักจะมองเห็นภาพที่ใหญ่กว่าเสมอ”
เชารู้สึกถึงแรงดึงดูดจากความซับซ้อนของมนุษย์ในสคริปต์ “นี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ การยอมรับ และความรัก แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่มนุษย์จะเผชิญหน้าได้อย่างเต็มที่ในช่วงชีวิต และนั่นคือที่มาของบทละครของแซม ฮันเตอร์” เธอกล่าว
ลิซเป็นคนที่มีความแตกต่างหลากหลาย เธอห่วงใยชาร์ลีอย่างสุดซึ้งและแน่วแน่ และกลัวจะสูญเสียเขาไป แต่เธอก็ยอมต่ออาการเสพติดอาหารของเขา บางทีเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของเธอที่จะทำให้เธอเป็นที่ต้องการ
“ฉันมองว่าลิซเป็นคนๆหนึ่งที่กำลังค้นหาบางอย่างเพื่อยึดเหนี่ยวตนเอง ในลักษณะนั้น บางคนค้นหาสาเหตุหรือบุคคลที่พวกเขาจะสามารถอุทิศทั้งชีวิตให้กับมันได้” เชาให้ข้อสังเกต “แต่มันก็ซับซ้อนมากเช่นกัน เพราะเธอช่วยเหลือและสนับสนุนพฤติกรรมที่เป็นอันตรายที่สุดของชาร์ลีในหลายๆทางแม้ว่ามันจะไม่ได้เกิดจากความรักก็ตาม ถึงกระนั้น ฉันคิดว่าเราทุกคนล้วนมีเหตุการณ์ในชีวิตที่เรามองข้ามคนที่เราห่วงใย”
ในการสำรวจการผสมผสานระหว่างการพึ่งพาอาศัยกันและความเอื้ออาทรของลิซ เชาครุ่นคิดเกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดูของเธอโดยเฉพาะ “ส่วนหนึ่งของสิ่งที่ทำให้ลิซฉุนเฉียวคือเธอมีวัยเด็กที่วุ่นวายและเติบโตมาในฐานะลูกบุญธรรมชาวเอเชียในครอบครัวเคร่งศาสนาในเมืองเล็กๆในไอดาโฮ ซึ่งมีอยู่เยอะมาก” เธอตั้งข้อสังเกต “แล้วการที่พี่ชายบุญธรรมของเธอตายจากไป คนคนเดียวที่เคยทำให้เธอมีความสุขและทำให้เธอรู้สึกสบายดี ทั้งหมดนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชาร์ลี ฉันถามตัวเองหลายครั้งว่าทำไมลิซถึงไม่ทิ้งไอดาโฮไปเลย จริงๆฉันคิดว่ามันคงเป็นเรื่องง่ายที่สุดสำหรับเธอที่จะพาตัวเองออกไปจากสถานการณ์นี้ แต่มันยากกว่ามากที่จะเฝ้าดูคนที่คุณรักอย่างแท้จริงเผชิญกับสิ่งที่ชาร์ลีกำลังเผชิญอยู่ นั่นต้องใช้หัวใจและพลังอย่างมาก”
เชาค้นพบความลึกซึ้งและความไว้วางใจต่อมิตรภาพระยะยาวอย่างทันทีในตัวเฟรเซอร์แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักกันมาก่อนก็ตาม เธอชมว่าเฟรเซอร์เข้าถึงชาร์ลีได้อย่างสมบูรณ์ “สิ่งหนึ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดเกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้คือไม่บ่อยนักที่คุณรู้สึกประหลาดใจกับการแสดง” เธอกล่าว “เบรนแดนช่างงดงามเหมือนกับชาร์ลี และเขายังเป็นยิ่งกว่าคนดีคือเขามีคุณสมบัติที่คุณอยากจะกอดเขาในทันที ครั้งแรกที่ฉันเห็นเบรนแดนเป็นชาร์ลี สิ่งที่ฉันเห็นคือใบหน้าที่สวยงามราวเทพบุตรที่ฉันอยากจะดูแล”
เฟรเซอร์พูดถึงเชาว่า “ฮงนำความมุ่งมั่นที่ไม่มีใครเทียบได้ในระยะเวลา30ปีที่ผมทำงานในภาพยนตร์ เช่นเดียวกับตัวละครของเธอ เธอมีความเห็นอกเห็นใจอย่างไร้ขอบเขต”
เชายังรู้สึกทึ่งเมื่อได้เห็นอาโรนอฟสกีลงมือทำงาน เธอสังเกตว่า “ดาร์เรนมีวิธีการที่ยอดเยี่ยมในด้านเทคนิคจนทำให้คุณคิดว่าเขาไม่รู้สึกด้านอารมณ์เลย แต่แล้วคุณก็ตระหนักได้ว่าเขารู้สึกและรู้สึกอย่างลึกซึ้งด้วย เมื่อฉันได้ดูภาพยนตร์เมื่อมันเสร็จสมบูรณ์ ฉันประหลาดใจไม่เพียงแต่ว่ามันน่ายินดีและน่าตื่นเต้นเพียงใด แต่มันมีพลังที่ยิ่งใหญ่เกือบเท่ามหาสมุทร ระหว่างมุมที่แมทธิว ลิบาทีคถ่ายทำผสานกับดนตรีและจังหวะ ฉันไม่คิดว่าจะมีใครอื่นนอกจากดาร์เรนที่จะสามารถสร้างภาพที่น่าตื่นเต้นจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งได้”
ผู้มาเยือนที่ซับซ้อนและสะเทือนใจที่สุดคนหนึ่งของชาร์ลีคือแมรี่ ภรรยาเก่าของเขา นี่คือผู้หญิงที่รักชาร์ลีและมองเห็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในตัวเขา เขาทำให้หัวใจเธอแตกสลายและเธอก็เกลียดเขาที่ทำเช่นนั้น แต่เธอก็ยังมีความอ่อนโยนต่อเขาเมื่อเห็นเขาในสภาพปัจจุบัน เธอลังเลระหว่างความขยะแขยง ความสมเพช ความหวาดกลัว และความเสน่หา แมรี่เป็นตัวละครที่ซับซ้อนอย่างลึกซึ้ง และการแสดงของเธอโดยซาแมนธา มอร์ตัน ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง2สมัย เผยให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างความเจ็บปวดรวดร้าวและความต้องการการสารภาพอย่างความเร่งด่วน
มอร์ตันเป็นนักแสดงคนสุดท้ายที่เข้ามาร่วม แต่เฟรเซอร์จำได้ว่าความรู้สึกสนิทสนมกันเกิดขึ้นในทันที “ซาแมนธาเข้ามามีส่วนร่วมและทำให้พวกเราทุกคนประหลาดใจ” เฟรเซอร์กล่าว “เพราะเธอทำให้คุณรู้สึกได้ทันทีว่าเธอแต่งงานกับชาร์ลีมานานแล้วและมีความรู้สึกที่ซับซ้อนต่อเขา เธอเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ดูราวกับว่าเธอไม่มีชั้นในที่พวกเราส่วนใหญ่ใส่กัน ผมไม่รู้ว่ามันเป็นผิวหนังหรือพลังงานหรืออะไร แต่เธอมีความโปร่งใสอย่างมหัศจรรย์”
ความโปร่งใสและพลังงานนี้เองที่ทำให้เธอสามารถรื้อภาพเหมารวมของ”อดีตภรรยาที่ขี้โมโห”ที่เหนื่อยล้าได้อย่างเชี่ยวชาญและทันท่วงที แมรี่ที่แสดงโดยมอร์ตันเป็นการผสมผสานระหว่างความรัก ความงุนงง ความเสียใจ และความโกรธแค้นที่เปลี่ยนไปมาอยู่ตลอดเวลา การเผชิญหน้าของเธอกับชาร์ลี การได้เห็นเขาต่อหน้าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขาทิ้งเธอไปเมื่อหลายปีก่อน เป็นเรื่องที่น่าสะเทือนใจและน่าอัศจรรย์ใจตั้งแต่ความโกรธที่ฝังรากลึกไปจนถึงเสียงหัวเราะต่อวันวาน ไปจนถึงรอยน้ำตาอย่างหมดหวัง กลับไปกลับมา
อาโรนอฟสกีนึกถึงการค้นหาความจริงใจอย่างไม่สิ้นสุดของมอร์ตันในทุกการเคลื่อนไหวของเธอและในทุกท่วงท่า “เธอต้องค้นหาความเป็นจริงของพื้นที่ของเธอเพื่อเปิดใจและปล่อยให้ความจริงทางอารมณ์อันบริสุทธิ์พุ่งออกมาจากภายในของเธอ” อาโรนอฟสกีกล่าว “เธอไม่สามารถปลอมมันได้ ไม่อยากจะปลอมมัน และสุดท้ายตัวละครแมรี่ก็ถูกดึงออกมาจากส่วนลึก และนั่นเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากที่ได้เห็น”
การค้นหาโธมัส มิชชันนารีหนุ่มที่ดูไร้เดียงสาที่มากดกริ่งหน้าประตูบ้านของชาร์ลีและตัดสินใจช่วยชีวิตเขา เป็นหนึ่งในความท้าทายในการคัดเลือกนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด “โทมัสต้องมีความไร้เดียงสาพอที่คุณจะเชื่อได้ว่าเขาเป็นคนที่เดินทางตรงจากไอโอวามายังไอดาโฮ นี่เป็นเรื่องยากมากที่จะนึกถึงใครที่เป็นแบบนั้นเพราะเราทุกคนต่างดูช่ำชองโลกไปหมด” อาโรนอฟสกีกล่าว เขาพบคุณสมบัตินี้และความสามารถในการที่จะแสดงมันออกมาใน ไท ซิมคินส์ วัย20 ปี ผู้ซึ่งจนถึงตอนนี้ได้แสดงในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่างJurassic World, Iron Man 3 และ Avengersมาแล้ว “ไทเป็นการค้นพบที่ยอดเยี่ยม และเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆไปอีกเมื่อการถ่ายทำดำเนินไป” อาโรนอฟสกีแสดงความคิดเห็น
ซิมคินส์และซิงก์ค้นพบสายสัมพันธ์ที่โลดโผนของพวกเขาเอง แม้ว่าตัวละครของพวกเขาจะไม่แตกต่างกันมากนัก แต่โทมัสหมดหวังที่จะคงไว้ซึ่งความอ่อนน้อมถ่อมตนและมีเมตตา ในขณะที่เอลลี่นั้นโหดร้ายและจอมบงการ แต่พวกเขามีความรู้สึกแปลกแยกซ่อนอยู่ใต้ผิวหนัง “โทมัสเป็นคนที่เอลลีมองเห็นได้ไม่เหมือนที่เขาดูจะเป็น และเธอตั้งใจแน่วแน่ว่าจะกดดันให้เขาคายความลับที่ลึกที่สุดของเขากับเธอ ซึ่งเขาก็ทำเช่นนั้น” ซิงก์รำพึง “ไทกับฉันสนุกมากที่ได้เล่นฉากนั้น”
ในขณะที่ลิซที่แสดงโดยเชาคอยจ้องจับผิดตัวละครของซิมคินส์อยู่ตลอดเวลาในฉากของพวกเขา เชาบอกว่าซิมคินส์รู้สึกยินดีที่ได้ร่วมงานด้วยในฐานะคู่หูในฉาก “ไททุ่มเทอย่างมากกับบทบาทนี้และเขาก็ทำงานหนักมาก” เธอให้ความเห็น “ทั้งเขาและเซดีต่างก็พร้อมสำหรับโอกาสนี้ และมันก็เป็นสิ่งที่สวยงามที่ได้เห็น เรามีนักแสดงแค่5คนแต่เป็นกลุ่มที่น่ารักที่สุดที่ฉันเคยร่วมงานด้วย”
กว่าจะมาเป็นชาร์ลี
การแสดงของเฟรเซอร์กลายเป็นส่วนผสมที่หาได้ยากระหว่างนักแสดงกับการแต่งหน้าเทียม อาโรนอฟสกีจินตนาการว่าน้ำหนักของชาร์ลีอยู่ในระดับที่มากที่สุดของมนุษย์ ซึ่งรุนแรงพอที่จะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แต่เขาก็ต้องการให้แน่ใจว่าใบหน้าของเฟรเซอร์จะไม่ถูกบังจนบดบังจนไม่เห็นการแสดงออกทางอารมณ์ของเขา
เพื่อบรรลุภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ ผู้สร้างภาพยนตร์ได้หันไปหาผู้ร่วมงานที่เชื่อถือได้และมีความคิดสร้างสรรค์สูงส่ง นั่นคือ เอเดรียน โมรอท ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ที่เคยทำงานร่วมกับอาโรนอฟสกีใน The Fountain, Noah และ Mother! สำหรับThe Whaleแล้ว โมรอทจะเป็นผู้บุกเบิกการแต่งหน้าอวัยวะเทียมแบบดิจิทัลทั้งหมดเป็นครั้งแรก ท่ามกลางนวัตกรรมอื่นๆ สิ่งที่เรียกว่า “ชุดคนอ้วน” มีประวัติอันยาวนานในการสร้างภาพยนตร์ บางครั้งถูกใช้เพื่อตีตราหรือเยาะเย้ย ซึ่งกระตุ้นอาโรนอฟสกีและโมรอทให้เจาะลึกวิธีสร้างชุดขนาดเต็มของชาร์ลีทั้งอย่างสมจริงและอย่างให้เกียรติ โดยมองว่ามันเป็นส่วนขยายของการแสดงภาพลักษณ์ของเฟรเซอร์
“เอเดรียนเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกๆที่ผมติดต่อเมื่อผมเริ่มคิดถึงThe Whale ผมรู้ว่าหากไม่มีเขาภาพยนตร์เรื่องนี้คงเป็นไปไม่ได้ เขาลุกขึ้นสู้กับความท้าทายด้วยการวิจัยที่ไม่รู้จบ และในที่สุดก็เห็นได้ชัดว่าเขาจำเป็นต้องคิดค้นนวัตกรรมใหม่ด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ” อาโรนอฟสกีกล่าว “เขาเป็นหุ้นส่วนที่น่าทึ่งในการหาวิธีสร้างภาพลวงตาของร่างกายของชาร์ลีให้เป็นจริง”
เฟรเซอร์พบว่าเขารู้สึกประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นขาเทียมครบชุดที่โมรอทสร้างขึ้น “ผมคิดว่า ‘สิ่งนี้น่าจะได้ไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์เทท โมเดิร์น’ เขาเล่า “รายละเอียดมันซับซ้อนมาก เทคนิคการใช้แอร์บรัชช่วยดึงความโปร่งใสของผิวหนังและสีน้ำเงินของเส้นเลือดที่อยู่ด้านล่างออกมา มีความกังวลอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับกฏด้านฟิสิกส์และผลกระทบของแรงโน้มถ่วงต่อผิวหนัง แต่คุณยังรู้สึกได้ถึงความรักและความเมตตาที่สร้างมันขึ้นมา”
ตลอดการถ่ายทำ40วัน เฟรเซอร์พัฒนาความสัมพันธ์แบบรักๆเลิกๆกับขั้นตอนการแต่งหน้าที่ยุ่งยากซึ่งใช้เวลาถึงสี่ชั่วโมงต่อครั้งในการลงสี และชุดสูทซึ่งต้องใช้คน5คนในการใส่และถอดเมื่อสิ้นสุดการถ่ายทำแต่ละวัน เมื่อสวมชุดแล้ว เฟรเซอร์สามารถถอดแขนออกเพื่อที่เขาจะได้กินอาหารได้ แต่แม้ต้องออกจากฉากไปชั่วขณะเพื่อพักเบรกก็จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น ชุดนี้มีระบบระบายความร้อนในตัวเหมือนกับที่ใช้สำหรับนักแข่งรถแข่งฟอร์มูล่าวันแม้ว่ามันก็ยังร้อนอบอ้าวมากอยู่ดี ในที่สุดเฟรเซอร์ก็เคยชินกับการสวมมันมากเสียจนเมื่อเขาถอดมันออกเขาจะรู้สึกเวียนศีรษะและขาดความสมดุล เหมือนกับที่คุณรู้สึกไม่มั่นคงเมื่อก้าวขึ้นบกหลังล่องเรือ
“ส่วนที่คุณมองไม่เห็นบนหน้าจอคือต้องใช้การซ้อมอย่างเข้มข้นมากแค่ไหนเพื่อเรียนรู้วิธีเคลื่อนไหวขณะสวมชุดนั้น” เฟรเซอร์กล่าว “ผมได้พัฒนากล้ามเนื้อชุดใหม่ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำว่ามีอยู่ มันเป็นการเดินทางทางร่างกายที่ยากที่สุดที่ผมเคยทำในฐานะนักแสดง การวิ่งเล่นในทะเลทรายเมื่อตอนยังเด็กยังน้อยไปเมื่อเทียบกับสิ่งนี้ผมพูดเลย”
ชุดสูทยังมีความสำคัญด้ายสัญลักษณ์อีกด้วย “ไม่ใช่แค่น้ำหนักทางกายภาพเท่านั้น แต่มันยังมีความสำคัญทางอารมณ์ด้วย” เฟรเซอร์สะท้อนให้เห็น “เมื่อทุกสิ่งที่คุณทำต้องใช้ความพยายามอย่างมาก การเลือกของคุณจึงมีความสำคัญมากขึ้นไปอีก”
โมรอทรู้อยู่แล้วว่าอาโรนอฟสกีชอบเล่นกับขอบเขตทางเทคนิคในขณะที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ค่อนข้างยุ่งยาก เขาสนุกกับความท้าทายเช่นนั้น แต่เขาก็ยังไม่พร้อมเต็มที่ว่าThe Whaleจะผลักดันทักษะของเขาไปได้ไกลแค่ไหน เขาเคยทำขาเทียมเพื่อเพิ่มน้ำหนักมาก่อน แต่เห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีและหลักปฏิบัติในปัจจุบันไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการ เขาจะต้องสร้างหนทางของเขาเอง
โมรอทเริ่มสำรวจทุกตัวอย่างรายละเอียดของชุดเพิ่มน้ำหนักที่เขาพบในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ แต่เขารู้สึกผิดหวังอย่างมากเนื่องจากตัวอย่างที่พบเกือบทั้งหมดถูกนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์ด้านตลกขบขันหรือแฟนตาซี ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนวิธีโดยตระหนักว่าสิ่งที่เขาต้องการใช้ยังไม่มีอยู่จริงและเขาจำเป็นต้องศึกษาร่างกายอย่างแท้จริงด้วยตัวเองเพื่อทำความเข้าใจกับงานที่ทำอยู่
เมื่อโมรอทเริ่มออกแบบในช่วงแรก เห็นได้ชัดว่าเฟรเซอร์จะต้องสวมอวัยวะเทียมสำหรับใบหน้าด้วย เพื่อให้นักแสดงกับร่างกายมีความกลมกลืน “ดาร์เรนต้องการเห็นการแสดงออกของเบรนแดนอย่างชัดเจน และเราพบวิธีที่จะผสานอวัยวะเทียมเข้ากับใบหน้าของเขาซึ่งช่วยให้กล้ามเนื้อของเขาเคลื่อนไหวได้เต็มที่” โมรอทกล่าว
สิ่งนี้นำไปสู่การตัดสินใจทำอวัยวะเทียมทั้งหมดแบบดิจิทัล ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนสำหรับภาพยนตร์ ซึ่งไม่เหมือนวิธีมาตรฐานที่เริ่มต้นด้วยการหล่อเบ้าหน้าของเฟรเซอร์ จากนั้นจึงปั้นหัวด้วยดินเหนียวก่อนที่จะหลอมชิ้นส่วนซิลิโคน โมรอททำให้กระบวนการทั้งหมดคล่องตัวภายในคอมพิวเตอร์ เขาใช้การสร้างแบบจำลอง 3 มิติเพื่อสร้างรูปปั้นแบบดิจิทัล จากนั้นจึงกระโดดไปที่การพิมพ์ 3 มิติโดยตรงโดยข้ามการปั้นดินเหนียวไปโดยสิ้นเชิง
“ผมได้ทดสอบวิธีนี้มาระยะหนึ่งแล้ว และผมบอกดาร์เรนว่าวิธีนี้จะมีความเสี่ยงมาก” โมรอทอธิบาย “แต่มันก็สมเหตุสมผลที่จะลอง ข้อดีของ The Whale มีมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะดาร์เรนเป็นพวกชอบความสมบูรณ์แบบ ไม่เพียงแต่จะไปถึงรูปปั้นเริ่มต้นได้เร็วกว่าเท่านั้น แต่ยังง่ายกว่ามากในการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างหากดาร์เรนต้องการ เราสามารถหาแบบที่เขาพอใจได้ตั้งแต่ขนาดของรูขุมขนและริ้วรอยต่างๆ”
โมรอทกล่าวว่าไม่ว่าจะแต่งหน้าอย่างระมัดระวังแค่ไหน มันก็ได้ผลเพราะเฟรเซอร์นำความสามารถการแสดงออกทางอารมณ์ที่ทำให้มันมีชีวิตชีวา “นี่เป็นครั้งแรกในการทำงานของผมที่ผมเสียน้ำตาขณะทำงาน และมันเกิดขึ้นหลายครั้งในการเฝ้าดูเบรนแดนแสดง มันเป็นการแสดงที่เหลือเชื่อ และผมหวังว่าผู้คนจะไม่เห็นการแต่งหน้ามากเท่ากับที่พวกเขามองเห็นชาร์ลี” เขากล่าว
โลกของTHE WHALE
แนวคิดของอาโรนอฟสกีเกี่ยวกับThe Whaleในขั้นต้นนั้นมีศูนย์กลางอยู่ที่บทและการแสดงเป็นอันดับแรก แต่เขารู้ว่าสถานที่เดียวนั่นคืออพาร์ทเมนต์หนึ่งห้องนอนของชาร์ลีเป็นตัวละครสำคัญในการเล่าเรื่องด้วยภาพของภาพยนตร์เรื่องนี้
เมื่อพิจารณาจากทั้งหมด The Whaleอาจเป็นภาพยนตร์ที่ดูธรรมดาที่สุดเท่าที่อาโรนอฟสกีเคยสร้างมา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าขั้นตอนการออกแบบจะง่าย การค้นหาให้แน่ชัดว่าบ้านของชาร์ลีจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร สิ่งที่ต้องพิจารณาสำหรับข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวของเขา ชีวิตภายในของเขา(หรือชีวิตในอดีตกับอลัน)จะผ่านจุดไหนและอย่างไร ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความอุตสาหะและเป็นตัวขับเคลื่อนตัวละคร
การซ้อมเริ่มขึ้นสี่สัปดาห์ก่อนการผลิตที่Umbra Studios ในนิวเบิร์กที่นิวยอร์ก ทุกฉากถูกกั้นไว้อย่างพิถีพิถัน และพื้นถูกปิดกั้นด้วยเทปเมื่อไดนามิกของพลังระหว่างตัวละครเปลี่ยนจากทฤษฎีเป็นกายภาพ “ผมรู้ว่านักแสดงกำลังเตรียมการเดินทางทางอารมณ์ของพวกเขา และผมต้องการให้เวลาพวกเขาทำเช่นนั้น เราจึงเริ่มต้นด้วยการบล็อก” อาโรนอฟสกีอธิบาย “หากเราสามารถหาวิธีที่จะทำให้สิ่งต่างๆเคลื่อนไหวได้ มันจะแก้ปัญหาหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ คำถามสำคัญคือเราจะสร้างเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในอพาร์ทเมนต์เดียวและส่วนใหญ่เกิดขึ้นในห้องเดียวได้อย่างไรเพื่อให้ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้นได้อย่างแท้จริง”
คำตอบนั้นมาจากความร่วมมือระหว่างอาโรนอฟสกีและแมทธิว ลิบาทีค ผู้กำกับภาพที่ร่วมงานกันมานาน ผู้ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึงสองครั้ง พวกเขาทำงานร่วมกันในทุกมุมของภาพยนตร์ก่อนการถ่ายทำ แม้ว่าลิบาทีคและอาโรนอฟสกีจะเป็นที่รู้จักจากการใช้สไตล์กล้องมือถือ แต่สำหรับThe Whale พวกเขากลับไปใช้การเคลื่อนไหวของกล้องแบบคลาสสิกที่ใช้ในช่วงการถ่ายThe Fountain ด้วยการใช้เครนและดอล พวกเขาสร้างรายการช็อตที่เน้นไปที่การเพิ่มความใกล้ชิด ความตึงเครียด และความเร่งรีบแทบหยุดหายใจ ทั้งหมดนี้อยู่ในสถานที่เดียวที่คับแคบ
“แมตตี้เป็นเหมือนพี่ชายของผม และเขาเก่งในเรื่องการใช้แสงในการวาดภาพ ตามสไตล์แล้ว นี่เป็นการจากไปจริงๆสำหรับเราจากหนังเรื่องสุดท้ายด้วยกันเรื่องMother! ซึ่งพวกเราถือกล้องครบมือ แต่เขากลับมาพร้อมกับไอเดียมากมายที่ช่วยให้ผมคิดวิธีย้ายกล้องไปรอบๆห้องนี้ด้วยวิธีที่น่าสนใจ” ทั้งคู่ดูภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ดัดแปลงมาจากละครหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่อง Who’s Afred of Virginia Woolf ของไมค์ นิโคลส์ และภาพยนตร์เรื่อง A Streetcar Named Desire ของเอเลีย คาซาน แต่อาโรนอฟสกีกล่าวว่า “สุดท้ายแล้วคุณต้องกลับไปที่เนื้อเรื่อง เรื่องราวจะบอกคุณเสมอว่ากล้องควรอยู่ที่ไหน”
แสงสว่างมีบทบาทมากพอๆกับการเคลื่อนไหว “แมทธิวจุดไฟให้อพาร์ทเมนท์ดูเหมือนเป็นมหาวิหาร” เฟรเซอร์กล่าว “ผมเดินชนกับชาร์ลีวอล์กเกอร์ที่ถือตะเกียงไปรอบๆ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้แสงเพื่อปรับเปลี่ยนอารมณ์และให้เข้ากับสภาพอากาศ”
ผู้ออกแบบงานสร้าง มาร์ค ฟรีดเบิร์กและโรเบิร์ต ปิโซชา ซึ่งเพิ่งทำงานร่วมกันในการสร้างภูมิทัศน์เมืองก็อตแธมที่บิดเบี้ยวของโจ๊กเกอร์ พวกเขาต้องคิดจากภายในสู่ภายนอกโดยใช้พื้นที่เล็กๆเพื่อปลุกให้นึกถึงโลกภายในอันกว้างใหญ่ อพาร์ทเมนต์ของชาร์ลีกลับมามีชีวิตอีกครั้งในฐานะพื้นที่ทำงานของชายระดับศาสตราจารย์ที่เรียบง่าย อบอุ่น มีหนังสือและภาพถ่ายใส่กรอบมากมาย แต่ยังเป็นที่ลี้ภัยและที่หลบซ่อนที่เขาสามารถอยู่อาศัยได้อย่างสบายใจ
“ต้องใช้ความเฉลียวฉลาดจากผู้ออกแบบงานสร้างเพื่อเติมชีวิตชีวาให้กับห้องเดี่ยวนี้ หนึ่งในความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการวางโซฟาของชาร์ลี” อาโรนอฟสกีกล่าว “อพาร์ทเมนต์ส่วนใหญ่มีโซฟาตั้งชิดผนัง แต่พวกเขาพบวิธีทำให้โซฟาของเขาลอยโดดอยู่กลางห้องโดยที่ยังคงรักษาความเป็นธรรมชาติเอาไว้ ดูเหมือนง่าย แต่การเปิดทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบและทำให้เรามีโอกาสเคลื่อนไหวมากขึ้น”
แต่ละแง่มุมของห้องมีเหตุผลที่เป็นอยู่ ซึ่งถึงชื่อหนังสือบนชั้นวางที่ดึงมาจากคอลเลกชั่นของผู้ออกแบบฉากเอง “ในทุกรายละเอียด คุณเชื่อว่าชายคนนี้อาศัยอยู่ที่นั่นจริงๆ” เฟรเซอร์กล่าว
อาโรนอฟสกียังได้ร่วมงานกับแดนนี่ กลิกเกอร์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อีกครั้ง ซึ่งร่วมงานกับเขาในภาพยนตร์เรื่องMother! “การออกแบบเสื้อผ้าให้เข้ากับการแต่งหน้าของเอเดรียนเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก” อาโรนอฟสกีกล่าว “เสื้อผ้าที่เหมาะกับชาร์ลีนั้นหาได้ยากในโลก ดังนั้นแดนนี่จึงมีตัวเลือกที่จำกัด ด้วยโทนสีและทรัพยากรทางการเงินที่จำกัดซึ่งเชื่อมโยงกับข้อผูกมัดทางเทคนิคที่สำคัญ การจะทำอะไรให้เหมาะกับตัวละครนั้นยากกว่าที่คิดไว้มาก”
ในช่วงหลังการถ่ายทำ การเพิ่มระดับความระทึกใจของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการปรับแต่งอย่างดีโดยการตัดต่อของแอนดรูว์ ไวส์บลัม “แอนดี้มีความไวอย่างเหลือเชื่อต่อเรื่องราว อารมณ์ และจังหวะเวลา เขาสามารถเก็บองค์ประกอบที่ขัดแย้งกันไว้ได้ และเขาสามารถผสมผสานทักษะทางเทคนิคขั้นสุดยอดเข้ากับอารมณ์ที่ลึกล้ำอย่างที่น้อยคนจะทำได้” อาโรนอฟสกีให้ความเห็น
ไวส์บลัมรู้สึกประทับใจตั้งแต่เนิ่นๆกับการมองโลกเกี่ยวกับอนาคตในแง่ดีของชาร์ลี แม้จะรู้ว่าเขามีเวลาเหลือที่จะมีชีวิตอยู่อีกไม่มาก นี่เป็นความขัดแย้งที่ดูเป็นประเด็นสำคัญในกระบวนการตัดต่อของไวส์บลัม “ผมทราบดีว่าภาพยนตร์เรื่องนี้อาจลงเอยด้วยท่วงทำนองที่มีความสุขเกินไปหากเราไม่ระวัง” เขากล่าว “แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีอารมณ์ขันและแง่บวกมากมายจนผมคิดว่ามันเกินดุล และด้วยเหตุนี้ ผมจึงรู้สึกเสมอว่าการเล่นให้เป็นธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญ”
ไวส์บลัมรู้สึกประทับใจกับความมีชีวิตชีวาของช็อตที่เขาเห็นในช่วงแรกๆของการผลิต และชื่นชอบกระบวนการสร้างบนรากฐานนั้น “ดาร์เรนและแมตตี้พบวิธีที่จะทำให้ห้องดูน่าตื่นเต้นบนจอในโรงภาพยนตร์โดยใช้การวางตำแหน่งกล้อง การจัดเฟรม และการเคลื่อนไหวโดยไม่ปล่อยให้ห้องดูโดดเด่นหรือดร้อปเกินไป” เขากล่าว “ในการตัดต่อ ผมกับดาร์เรนคุยกันว่าเราจะใช้ช็อตเหล่านี้ในทางไวยากรณ์อย่างไร ในแง่ของจังหวะ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นความท้าทายเพราะเรื่องราวเป็นเส้นตรงมาก ดังนั้น คุณสามารถยกออกหรือเปลี่ยนแปลงมันได้โดยไม่ต้องสนใจโครงสร้าง มีพื้นที่ให้ขยับได้ไม่มากนัก แต่เราพบเทคนิคเล็กๆน้อยๆเพื่อจะย่อและทำให้มันง่ายขึ้น”
บทสรุปของภาพยนตร์เรื่องนี้มาจากการให้ดนตรีประกอบที่ละเอียดอ่อนโดย ร็อบ ไซมอนเซ็น “นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ร่วมงานกับร็อบ และผมพบว่าเขาเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นอย่างเหลือเชื่อ เขาทำงานหนักมากและสามารถสอดแทรกความเศร้าโศกด้วยแรงบันดาลใจในรูปแบบที่สวยงามที่สุด” อาโรนอฟสกีกล่าว ไวส์บลัมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับดนตรีประกอบโดยร็อบว่า “เราไม่ต้องการให้ดนตรีกระตุ้นอารมณ์ที่รุนแรงอยู่แล้วหรือมีสไตล์มากเกินไป ร็อบช่วยเราหาจุดสมดุลได้ดีมาก”
ในขณะที่The Whaleเร่งเนื้อหาขึ้น ทุกองค์ประกอบของการออกแบบและการแสดงล้วนสร้างเป็นตอนจบที่เหนือธรรมชาติ และเพื่อเป็นการตอบสนอง ฮันเตอร์ได้เปลี่ยนตอนจบของบทไปเล็กน้อยจากบทละครดั้งเดิม
ในเวอร์ชันละครเวที เรื่องนี้จบลงด้วยการตัดฉับจนเป็นสีดำ ในภาพยนตร์ เราเห็นชาร์ลีก้าวไปสู่แสงสว่าง มันเป็นช่วงเวลาแห่งความคิดริเริ่มซึ่งบางทีอาจจะเป็นเรื่องเพ้อฝันก็ได้ ความกล้าหาญของมันทำให้อาโรนอฟสกีตื่นเต้น “ผมกับแม็ตตี้มีไอเดียตั้งแต่เนิ่นๆว่าสภาพอากาศจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในงานชิ้นนี้ ฝนกำลังจะมา แต่วันสุดท้ายแดดกลับออก และเมื่อประตูเปิดออก แสงก็สาดส่องลงมาที่ชาร์ลี เมื่อคุณตัดสินใจเลือกสิ่งที่ยิ่งใหญ่แบบนั้น คุณก็แค่ทุ่มทุกอย่างที่มีและหวังว่าคุณจะทำมากพอที่ผู้ชมจะติดตามคุณไปด้วยกัน”
ไวส์บลัมตั้งข้อสังเกตว่าฉากนี้ได้รับการออกแบบให้เป็นภาพสะท้อนของฉากแรกกับเอลลี “การวางโครงสร้างนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ช่วงเวลาทั้งสองนี้สะท้อนถึงกันและกัน ซึ่งในจุดหนึ่งชาร์ลีล้มเหลว และอีกช่วงหนึ่งเขาประสบความสำเร็จ รูปแบบการตัดและตัวเลือกซีนของทั้งสองฉากนั้นคล้ายกันมาก แต่พลังของฉากสุดท้ายนั้นคือการที่เรารู้ว่าชาร์ลีกำลังเผชิญกับจุดจบ”
ขณะที่ถ่ายทำ เฟรเซอร์ไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผล แต่เมื่อเขาดูภาพยนตร์ที่ถ่ายทำเสร็จแล้ว ผลลัพธ์ก็ทำให้เขาตกตะลึง “ผมลุกขึ้รจากเก้าอี้ไม่ได้” เขาเล่า “ผมต้องนั่งอยู่ที่นั่นและรวบรวมตัวเอง ไม่ใช่ว่าผมรู้สึกเศร้า แต่ผมรู้สึกท่วมท้น”
ภาพยนตร์ที่สร้างเสร็จแล้วยังเป็นรูปแบบหนึ่งของการปลอบประโลมใจสำหรับอาโรนอฟสกี เขาสูญเสียแม่ชาร์ลอตต์และอับราฮัมผู้เป็นพ่อไปเมื่อปีที่แล้ว และเขาอุทิศThe Whaleให้กับพวกเขา “พ่อแม่ของผมเป็นตัวกำหนดในฉากทั้งหมดของผม พวกเขาแสดงในภาพยนตร์ของผมหลายเรื่อง และนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาไม่สามารถมาที่ฉากได้เนื่องจากข้อจำกัดเพราะโควิด” อาโรนอฟสกีเล่า “แม่ของผมจากไปก่อนที่หนังจะถูกตัดต่อ แต่พ่อของผมก็อยู่ใกล้ๆและเขาดูหนังด้วยความทุ่มเทแทนแม่ของผมได้”
The Whaleสะท้อนความรู้สึกเกินขอบเขตตั้งแต่ผู้ชมได้พบกับชาร์ลีบนเวทีเป็นครั้งแรก สำหรับฮันเตอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้มอบชีวิตใหม่ให้ชาร์ลีอย่างเหนือความคาดหมาย “ส่วนใหญ่แล้ว ผมหวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเชื้อเชิญให้ผู้คนเดินผ่านประตูของคนที่พวกเขาไม่เคยพบมาก่อน และอาจเป็นคนที่พวกเขาไม่คิดว่าจะได้พบ” ผู้เขียนกล่าว “และเมื่อคุณตอบรับคำเชิญนั้น ผมคิดว่าความหมายและความสุขของมันจะกลายเป็นเรื่องส่วนตัวอย่างมาก”
เบรนแดน เฟรเซอร์
นักแสดง |
เบรนแดน เฟรเซอร์สามารถเปลี่ยนบทบาทในจากภาพยนตร์อิสระไปสู่ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ได้อย่างราบรื่น โดยเบรนแดน เฟรเซอร์ยังคงได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างกว้างขวางสำหรับความสามารถรอบด้านและแรงบันดาลใจของเขาจากการแสดงและสายตาที่เฉียบแหลมในการเลือกเนื้อหาที่กระตุ้นความคิด |
เมื่อเร็วๆ นี้ เฟรเซอร์แสดงร่วมกับดอน ชีเดิลและเบนิซิโอ เดล โทโรใน No Sudden Move ของสตีเวน โซเดอร์เบิร์กสำหรับHBOMax และสามารถเห็นเขาได้ในซีรีส์ยอดนิยมของ HBOMax/DC Entertainment เรื่อง Doom Patrol; เรื่องเล่าอาชญากรรมเรื่องLineof Descent; ซีรีส์สิบตอนเรื่องProfessionals; The Secret of Karma; The Poison Rose; Trust ซีรีส์กวีนิพนธ์ FX ที่เขาแสดงประกบโดนัลด์ ซัทเทอร์แลนด์และฮิลารี สแวงก์; และCondor
ผลงานอื่นๆ ได้แก่ รายการทีวีที่ชนะรางวัลของ Showtime เรื่อง The Affair, The Field และมินิซีรีส์ของ A&E เรื่อง Texas Rising นำแสดงโดยบิล แพ็กซ์ตัน, เรย์ ลิออตตา, เจฟฟรีย์ ดีน มอร์แกน และโอลิเวียร์ มาร์ติเนซ เฟรเซอร์เคยแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Gimme Shelter ประกบโรซาริโอ ดอว์สันและวาเนสซา ฮัดเจนส์; พากย์เสียงตัวละครในภาพยนตร์แอนิเมชั่นสองเรื่องให้บท Scorch Supernova ในเรื่องEscape from Planet Earth ของ The Weinstein Company; เรื่อง The Nut Jobs ของ Open Road Films แสดงร่วมกับวิล อาร์เน็ตต์และแคทเธอรีน ไฮเกิล; และ Whole Lotta Sole หนังตลกเกี่ยวกับการปล้นที่กำกับโดยเทอรี่ จอร์จ ซึ่งเบรนแดนแสดงและรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้าง ในปี 2008 เฟรเซอร์มีช่วงฤดูร้อนที่เหลือเชื่อในบ็อกซ์ออฟฟิศจากการเปิดตัว Journey to the Center of the Earth ในรูปแบบ 3 มิติของ Newline/Warner Bros. ซึ่งเขาแสดงและรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้าง โดยทำรายได้ในประเทศไปแล้วกว่า 100 ล้านเหรียญ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นไลฟ์แอ็กชันเรื่องแรกที่ถ่ายทำในรูปแบบ 3 มิติทั้งหมด ผลงานอื่นๆ ได้แก่ Inkheart, GI Joe: The Rise Of the Cobra, The Air I Breathe, George of the Jungle, Furry Vengeance, Extraordinary Measures, Looney Tunes: Back in Action, Bedazzled, Monkey Bone, Blast From the Past, Dudley Do-Right Mrs. Winterbourne, Encino Man, School Ties, With Honors, Airheads, The Scout, and The Twilight of the Golds เบรนแดนแสดงภาพยนตร์อินดีหลายเรื่องที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรอบทศวรรษที่ผ่านมา รวมถึงภาพยนตร์ออสการ์เรื่อง Crash ของ Lionsgate ที่กำกับโดยพอล แฮกกิส; ภาพยนตร์โดยฟิลลิป นอยซ์เรื่อง The Quiet American ที่สร้างจากภาพยนตร์ทริลเลอร์ชื่อเดียวกันในปี 1955 ของเกรแฮม กรีน; และเรื่อง Gods and Monsters ของบิลล์ คอนดอน ประกบเซอร์เอียน แมคเคลเลนและลินน์ เรดเกรฟ
เฟรเซอร์เป็นที่รู้จักมากที่สุดจากบทบาทของเขาในภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องMummyของUniversal ในบท Rick O’Connell, The Mummy ภาพยนตร์แอ็คชั่นยอดฮิต/ผจญภัยสยองขวัญในปี 1999 ของสตีเฟน ซอมเมอร์ส ซึ่งเป็นการดัดแปลงอย่างยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์สยองขวัญคลาสสิกปี 1932 โดยเบรนแดนรับบทเป็นชาวอเมริกันที่รับใช้ในกองทหารต่างชาติฝรั่งเศสที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการสำรวจทางโบราณคดีของอังกฤษและความลับโบราณที่พวกเขาเปิดเผย ในปี2001 เฟรเซอร์กลับมาร่วมงานกับซอมเมอร์และราเชล ไวสซ์ ดาราคู่ขวัญในภาพยนตร์ภาคต่อเรื่อง The Mummy Returns ในปี 2008 Universalเปิดตัว Mummy 3: Tomb of the Dragon Emperor
เบรนแดน เฟรเซอร์ (ต่อ) เบรนแดนเปิดตัวบนบรอดเวย์โดยนำแสดงในภาพยนตร์ตลกเรื่องEllingที่สร้างจากนวนิยายภาษานอร์เวย์
นักแสดง ของIngvar Ambjørnsen รายชื่อผลงานละครที่หลากหลายของเฟรเซอร์รวมถึงการปรากฏตัวที่Lyric Theatreที่
Shaftesbury Avenueในลอนดอน ในโปรดักชั่นWest End ของ เทนเนสซี วิลเลียมส์ เรื่องCat on a Hot Tin Roof
เบรนแดนยังได้รับคำชมอย่างสูงจากผลงานของเขาในฐานะนักเขียนที่วิตกกังวลใน Four Dogs and a Bone at
the Geffen Playhouse ของจอห์น แพทริค แชนลีย์ ซึ่งเขาแสดงร่วมกับมาร์ติน ชอร์ต, ปาร์กเกอร์ โพซีย์ และเอ
ลิซาเบธ เพอร์กินส์ ให้แก่ผู้กำกับลอว์เรนซ์ แคสแดน
เบรนแดนเกิดในอินเดียนาโพลิสและเติบโตในยุโรปและแคนาดา เขาอุทิศตนเพื่อฝึกฝนฝีมือการแสดงตั้งแต่อายุ 12 ปี และเริ่มแสดงละครเวทีเมื่อครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในลอนดอน เขาเข้าเรียนมัธยมปลายที่ Upper Canada College ในโตรอนโต และได้รับรางวับ BFA สาขาการแสดงจาก Actor’s Conservatory, Cornish College of the Arts ในซีแอตเติล
ฮง เชา ฮง เชาเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีจากบทบาทของเธอในภาพยนตร์ของค่ายParamount เรื่อง Downsizing
นักแสดง (ปี2017, ผกก. อเล็กซานเดอร์ เพย์น) โดยรับบทเป็น Ngoc Lan Tran หญิงพิการชาวเวียดนามและนัก
เคลื่อนไหวทางการเมือง สำหรับการแสดงนี้ของเธอ เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ
สาขาการแสดงยอดเยี่ยมโดยนักแสดงสมทบหญิง, รางวัล Screen Actors Guild Award® สำหรับการแสดง
ยอดเยี่ยมโดยนักแสดงสมทบหญิง และรางวัลอื่นๆอีกมากมายสำหรับนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม
ก่อนDownsizing เธอปรากฏตัวในซีรีส์ทางโทรทัศน์เรื่อง Treme และภาพยนตร์เรื่อง Inherent Vice ของ
Warner Bros. (2014 ผกก. พอล โทมัส แอนเดอร์สัน) เธอปรากฏตัวในฐานะดารารับเชิญในซีรีส์โทรทัศน์
หลายเรื่อง รวมถึง Bojack Horseman ของ Netflix และ Big Little Lies ของ HBO และอื่นๆอีกมากมาย
การแสดงของเธอในDriveways(ปี 2019 กำกับโดย แอนดรูว์ อาห์น)ซึ่งฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลภาพยนตร์Tribecaทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากFilm Independent Spirit Awardsปี 2020
ปัจจุบัน สามารถเห็นเชาได้ในซีรี่ส์WatchmenของHBO และซีรี่ส์HomecomingของAmazon เรื่องต่อไปสำหรับเธอคือภาพยนตร์ค่ายA24สองเรื่อง The Whale(ผกก. ดาร์เรน อาโรนอฟสกี)ประกบ เบรนแดน เฟรเซอร์ และShowing Up(ผกก.Kelly Reichardt)ประกบ ไมเคิล วิลเลียมส์ รวมถึงเรื่องThe MenuของSearchlight(ผกก. Mark Mylod) ฮงยังคงยุ่งมากเพราะเพิ่งมีผลงานเรื่องAsteroid City(ผกก.เวส แอนเดอร์สัน)และซีรีส์เรื่องThe Night Agentของเน็ตฟลิกซ์
เชาเกิดกับพ่อแม่ชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทยหลังจากหนีออกจากเวียดนามในช่วงปลายทศวรรษ1970 หลังจากเติบโตในนิวออร์ลีนส์ เชาเข้าเรียนวิชาเอกภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัยบอสตันและมุ่งสู่อาชีพนักแสดง
เซดี้ ซิงก์
นักแสดง ไท ซิมคินส์ นักแสดง |
เซดี้ ซิงก์ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในโลกแห่งความบันเทิงเรียบร้อยแล้ว เธอเริ่มต้นอาชีพที่บรอดเวย์ด้วยการรับบทนำในเรื่องAnnieที่กลับมาทำใหม่ในปี2013 จากนั้นเธอก็แสดงประกบเฮเลน มิร์เรนในภาพยนตร์เรื่องThe Audienceที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโทนี่ กำกับโดยสตีเฟน ดัลดรีในปี2017
เซดี้เข้าร่วมทีมนักแสดงในซีรีส์ยอดฮิตของเน็ตฟลิกซ์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างStranger Thingsในปี2017 ซึ่งเธอรับบทเป็นแม็กซ์ เด็กสาวที่ย้ายมายังฮอว์กินส์พร้อมเรื่องราวอันซับซ้อนและน่าสงสัยควบคู่ไปกับนักแสดงที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี ปัจจุบันสามารถรับชมเธอได้ในซีซั่นที่สี่ของซีรีส์ฮิตนี้ทางเน็ตฟลิกซ์ เธอยังได้แสดงในภาพยนตร์ของLionsgateเรื่องThe Glass Castle ซึ่งสร้างจากนวนิยายขายดีของJeannette Wallsในปีเดียวกันนั้น โดยเธอแสดงเป็นโลรี่ในวัยเด็กร่วมกับนาโอมิ วัตส์ และ วูดดี้ ฮาเรลสัน ล่าสุดเธอได้แสดงในFear Street 2ของเน็ตฟลิกซ์ และจะได้เห็นเธอในภาพยนตร์ของดาร์เรน อาโรนอฟสกีเรื่องThe Whaleต่อไป เธอยังได้แสดงในซีรีส์ยอดฮิตของช่องNBCเรื่องAmerican Odysseyร่วมกับAnna Friel และเป็นแขกรับเชิญในโชว์ทางทีวีหลายเรื่อง เช่น Unbreakable Kimmy Schmidt, Blue Bloods และ The Americans นอกจากนี้ เธอยังแสดงประกบอลิซาเบธ มอสและลีฟ ชไรเบอร์ในChuck ซึ่งฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลภาพยนตร์ทริเบกาในปี 2017 ไท ซิมคินส์ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองอย่างรวดเร็วในฐานะนักแสดงภาพยนตร์ที่เป็นที่ต้องการอย่างมาก ตอนที่เขาอายุ 18 ปี ซิมป์กินส์ได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่ดีที่สุดในฮอลลีวูด อาทิ |
สตีเวน สปีลเบิร์ก, แซม เมนเดส, เจมส์ วาน, พอล แฮกกิส, รีด โมราโน และโคลิน เทรวอร์โรว์
ต่อไปจะได้เห็นไทในภาพยนตร์เรื่องThe Whaleของดาร์เรน อาโรนอฟสกีกับค่ายA24 ประกบเบรนแดน เฟรเซอร์และเซดี ซิงก์ เขายังจะแสดงเป็นนักแสดงนำในผลงานการกำกับเรื่องแรกของแพทริก วิลสันเรื่องInsidious 5 ซึ่งติดตามตัวละครของเขาจากภาพยนตร์สองภาคแรกและจะเข้าฉายในเดือนกรกฎาคมปีหน้า นอกจากนี้ เขายังเพิ่งเสร็จสิ้นการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องThe Re-Education of Molly Singer ซึ่งแสดงประกบบริตต์ โรเบิร์ตสันและไจม์ เพรสลี
นอกจากนี้ ไทยังได้แสดงในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลถึงสองเรื่อง ประกบไบรซ์ ดัลลาส ฮาวเวิร์ดและคริส แพรตต์ในภาพยนตร์ฮิตถล่มทลายของยูนิเวอร์แซลเรื่องJurassic World ก่อนหน้านั้น เขาได้แสดงประกบโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ในIron Man 3ของดิสนีย์/มาร์เวล ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับแปดตลอดกาล ไทเปิดตัวครั้งแรกในภาพยนตร์โดยสตีเว่น สปีลเบิร์กเรื่องWar of the Worldsที่นำแสดงโดยทอม ครูซและดาโกต้า แฟนนิ่ง และยังแสดงในดราม่าแนวจิตวิทยาเรื่องMeadowlandประกบโอลิเวีย ไวลด์, อลิซาเบธ มอส และลุค วิลสัน ซึ่งฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลภาพยนตร์ทริเบก้าปี2015และได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชม
ซาแมนต้า มอร์ตัน
นักแสดง |
ซาแมนต้า มอร์ตัน นักแสดงหญิงชาวอังกฤษที่คว้ารางวัลหลายรางวัลได้รับความสนใจจากนานาชาติเป็นครั้งแรกในปี1997 โดยนำแสดงในภาพยนตร์เรื่องUnder the Skinของแครีน แอดเลอร์ ทำให้เธอได้รับรางวัลนักวิจารณ์ภาพยนตร์บอสตันจากสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม |
เธอได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังอย่าง Woody Allen(Sweet and Lowdown, 1999), Lynne Ramsay (Morvern Callar, 2002), Steven Spielberg (Minority Report, 2002), Jim Sheridan (In America, 2002), Michael Winterbottom (Code 46, 2003), Shekhar Kapur (Golden Age, 2007), Harmony Korine (Mister Lonely, 2007), Anton Corbijn (Control, 2007), Charlie Kaufman (Synecdoche, New York, 2008), David Cronenberg (Cosmopolis 2012), Andrew Stanton (John Carter, 2012), Spike Jonze (Her, 2013) และ David Yates (Fantastic Beasts and Where to Find Them, 2016) มอร์ตันได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดสองครั้ง ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลBAFTAสองครั้ง และในปี2550เธอได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากการแสดงบทMyra Hindley ฆาตกรเด็กผู้ฉาวโฉ่ในภาพยนตร์NBC/Channel 4เรื่องLongford ในปี2009มอร์ตันเปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกด้วยเรื่องThe Unloved ซึ่งเป็นภาพยนตร์กึ่งอัตชีวประวัติที่สร้างจากเรื่องราวระบบการดูแลเด็กของอังกฤษ คว้ารางวัลBAFTA Television Awardสาขาละครเดี่ยวยอดเยี่ยม เมื่อเร็วๆนี้ มอร์ตันได้แสดงในรายการทีวียอดนิยมของHulu/BBCเรื่องHarlots และเรื่องThe Walking Deadที่ได้รับรางวัลจากAMC ซึ่งเธอรับบทอัลฟ่า วายร้ายตัวเด่น ในปี2020 ซาแมนต้าได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมBAFTAจากผลงานของDominic Savageเรื่อง I Am Kirsty เธอเพิ่งเสร็จสิ้นการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องSave the Cinema
ในฤดูใบไม้ร่วงนี้เธอจะปรากฏตัวในละครย้อนยุคเรื่องThe Serpent Queenของช่องStarz และละครแนวจิตวิทยาเรื่องThe Whaleของดาร์เรน อาโรนอฟสกี และเรื่องShe Sai
ดาร์เรน อาโรนอฟสกี
ผู้กำกับ, โปรดิวเซอร์ |
ผู้สร้างภาพยนตร์ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ด ดาร์เรน อาโรนอฟสกีเกิดและเติบโตในบรู๊คลิน
เขาเป็นหัวหน้าของ Protozoa Pictures ในไชน่าทาวน์ที่นิวยอร์ก |
ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเขาเรื่อง The Whale สำหรับค่ายA24 นำแสดงโดย เบรนแดน เฟรเซอร์, เซดี้ซิงก์, ฮง เชา และ ซาแมนต้า มอร์ตัน
อาโรนอฟสกีเขียนบทและกำกับ Mother! ปี2017 นำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ และฮาเวียร์ บาร์เด็ม ก่อนหน้านั้น อาโรนอฟสกีสร้างภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง “Noah” ในปี 2014 ที่นำแสดงโดยรัสเซลล์ โครว์, เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี และแอนโธนี ฮอปกินส์
ในปี 2010 อาโรนอฟสกีได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์อินดีเรื่องเรื่อง Black Swan ที่นำแสดงโดยนาตาลี พอร์ตแมน ผู้ซึ่งได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากการแสดงของเธอ เรื่องThe Wrestler ในปี 2008 ที่นำแสดงโดย มิคกี้ รูค และได้รับรางวัล Golden Lion สำหรับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์เวนิส ก่อนหน้านั้นเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการยกย่องและได้รับรางวัล ได้แก่ The Fountain (2006), Requiem for a Dream (2000), และ π (1998)
ในฐานะโปรดิวเซอร์ภายใต้สังกัด Protozoa ของเขา อาโรนอฟสกีรับผิดชอบเรื่อง Jackie ซึ่งคว้าสามรางวัลออสการ์, ภาพยนตร์เรื่อง Some Kind of Heaven’ ซึ่งฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2020, เรื่อง Serendipity ของศิลปิน Prune Nourry ซึ่งฉายรอบปฐมทัศน์โลกที่ เทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินปี 2019 เรื่อง Pacified ซึ่งคว้ารางวัลสูงสุด Golden Shell จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติซานเซบาสเตียน เรื่อง Catch the Fair One’ ซึ่งฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลภาพยนตร์ทริเบกาปี 2021 ซึ่งคว้ารางวัล Audience Award และสารคดีเรื่อง The Territory ที่ฉายรอบปฐมทัศน์ ในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2022 และได้รับรางวัลทั้ง Audience Award และ Special Jury Award for Craft ในประเภท World Cinema Documentary
โปรเจคต่อไปคือ เขาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างเรื่อง The Good Nurse ที่นำแสดงโดยเจสสิก้า แชสเทนและเอ็ดดี้ เรดเมย์น และดัดแปลงจากผลงานชิ้นเอกของออคตาเวีย บัตเลอร์ Kindred จาก FX
อาโรนอฟสกีเป็นผู้อำนวยการสร้างซีรีส์สารคดี 6 ตอนเรื่อง Welcome to Earth, ซีรีส์เรื่อง One Strange Rock ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมี่ และเรื่อง Limitless ที่นำแสดงโดยคริส เฮมส์เวิร์ธเรื่อง National Geographic
หนังสือเล่มแรกของเขชื่อเรื่อง Monster Club ที่เขียนขึ้นสำหรับผู้อ่านระดับมัธยมต้นจะวางจำหน่ายในวันที่ 13 กันยายน
แซมูเอล ดี. ฮันเตอร์
ผู้เขียนบท เจเรมี ดอว์สัน โปรดิวเซอร์ |
ซามูเอล ดี. ฮันเตอร์เติบโตในมอสโกว รัฐไอดาโฮ และอาศัยอยู่ที่นิวยอร์ค เขาเป็นผู้ได้รับทุน MacArthur “Genius Grant” ประจำปี 2014 จากผลงานในฐานะนักเขียนบทละคร บทละครของเขา ได้แก่ The Whale (รางวัล Drama Desk Award, รางวัล Lucille Lortel Award สำหรับบทละครดีเด่น, GLAAD Media Award, Drama League ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล Best Play และ Outer Critics Circle ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลละครยอดเยี่ยม), A Case for the Existence of God (New York Drama Critics ‘ Circle Award สาขาบทละครยอดเยี่ยม), A Bright New Boise (รางวัล Obie, การเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Drama Desk สาขาบทละครยอดเยี่ยม), Greater Clements (เสนอชื่อเข้าชิง Drama Desk สาขาบทละครยอดเยี่ยม, รางวัล Outer Critics Circle Honoree), ลูอิสตัน/คลาร์กสตัน (การเสนอชื่อเข้าชิง Drama Desk สาขาบทละครยอดเยี่ยม ), The Few, A Great Wilderness, Rest, Pocatello, The Healing, and The Harvest และอื่นๆ เขาเป็นผู้รับรางวัลนักเขียนไวทิงและได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยไอดาโฮ เขาเป็นนักเขียนและโปรดิวเซอร์ของ Baskets รายการทางFX ทั้งสี่ซีซัน ผลงานของเขาผลิตนอกบรอดเวย์คือร่วมกับ Lincoln Center Theatre, Playwrights Horizons, LCT3, Signature Theatre, Page 73, Clubbed Thumb และ Rattlestick Playwrights Theatre และที่อื่นๆ บทละครของเขาอำนวยการสร้างโดย Theatre Royal Bath, Dallas Theatre Center, Seattle Rep, Denver Center for the Performing Arts, Woolly Mammoth, South Coast Rep และ Victory Gardens เป็นต้น กวีนิพนธ์บทละครของเขาสองเล่มมีอยู่ใน TCG Books ส่วนเล่มที่สามกำลังจะตามมา เขาเป็นสมาชิกของ New Dramatists และ Resident Playwright ที่ Signature Theatre ที่นิวยอร์ก เขาจบปริญญาด้านการเขียนบทจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก, The Iowa Playwrights Workshop และ Juilliard
เจเรมี ดอว์สันเริ่มต้นอาชีพภาพยนตร์โดยออกแบบลำดับชื่อเรื่องสำหรับภาพยนตร์เปิดตัวของดาร์เรน อาโรนอฟสกีเรื่องπ ก่อนที่จะก้าวไปสู่การได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด และลูกโลกทองคำ |
เขาเพิ่งเสร็จสิ้นการผลิตในฐานะผู้อำนวยการสร้างAsteroid City ของเวส แอนเดอร์สัน รวมถึงบทประพันธ์ของโรอัลด์ ดาห์ลเรื่อง The Wonderful Story Of Henry Sugar และ Two More ของแอนเดอร์สัน ผลงานที่โดดเด่นก่อนหน้านี้ของเขา ได้แก่ The French Dispatch, ภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง Isle Of Dogs, The Grand Budapest Hotel (ซึ่งได้รับรางวัลลูกโลกทองคำประจำปี 2014 สาขาภาพยนตร์ตลกหรือเพลงยอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 9 รางวัล รวมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยม), Me and Earl and the Dying Girl ของ Fox Searchlight (คว้าทั้งรางวัล Grand Jury และ Audience Award จากเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2015) รวมถึง Moonrise Kingdom ของแอนเดอร์สัน, Fantastic Mr. Fox และ The Darjeeling Limited (ฐานะผู้อำนวยการสร้างร่วม) ดอว์สันเริ่มสานสัมพันธ์ต่อเนื่องกับเวส แอนเดอร์สันเมื่อเขาทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลวิชวลเอฟเฟกต์ใน The Life Aquatic With Steve Zissou และยังออกแบบวิชวลเอฟเฟกต์และแอนิเมชันสำหรับภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมถึง Frida ของ จูลี่ เทย์มอร์, Requiem For A Dream ของอาโรนอฟสกี และ The Fountain
อรี แฮนเดล
โปรดิวเซอร์ |
อรี แฮนเดลสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านประสาทวิทยาศาสตร์ และได้ตีพิมพ์บทความสี่ฉบับเกี่ยวกับการควบคุมระบบประสาทของการเคลื่อนไหวของตาแบบsaccadic เขาออกจากสถาบันการศึกษาเพื่อเป็นประธานของProtozoa Pictures ซึ่งเขาได้เป็นนักเขียนในภาพยนตร์เรื่อง The Fountain และ Noah; โปรดิวเซอร์เรื่องMother! และJackie; ผู้อำนวยการสร้างเรื่อง Some Kind of Heaven, White Boy Rick, Noah, Black Swan, Catch The Fair One และ The Territory และเป็นผู้ร่วมอำนวยการสร้างเรื่อง The Wrestler เขาเป็นผู้อำนวยการสร้างในซีรีส์วิทยาศาสตร์ของเนชั่นแนลจีโอกราฟิกเรื่อง One Strange Rock และ Welcome to Earth และทำงานอย่างภาคภูมิในคณะกรรมการขององค์กรเล่าเรื่อง The Moth มาเกือบยี่สิบปี |
แมทธิว ลิบาทีค
ผู้กำกับภาพ |
แมทธิว ลิบาทีค ผู้กำกับภาพที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ด ผลงานของเขาครอบคลุมหลากหลายประเภท แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการปรับให้เข้ากับภาพยนตร์สไตล์ใดก็ได้ของเขา |
ปัจจุบันเขาอยู่ระหว่างการผลิตเรื่อง Maestro ของแบรดลีย์ คูเปอร์ และเพิ่งเสร็จสิ้นงานเรื่อง The Whale สำหรับสตูดิโอA24 ซึ่งเขาได้ร่วมงานกับดาร์เรน อาโรนอฟสกี ผู้ทำงานร่วมกันเป็นประจำ
นอกจากการถ่ายทำ Don’t Worry Darling ร่วมกับผู้กำกับโอลิเวีย ไวลด์แล้ว พวกเขายังร่วมงานกันในหนังสั้นเรื่อง Wake Up ซึ่งฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2020
ก่อนหน้านี้ ลิบาทีคเคยถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Prom และภาคแยกของ Suicide Squad, Birds of Prey ของไรอัน เมอร์ฟี ซึ่งมาร์โก ร็อบบี้กลับมารับบทเป็นฮาร์ลีย์ ควินน์ อาชญากรสาวคลั่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เรตอาร์ที่ได้ออกฉายในโรงภาพยนตร์เรื่องแรกของจักรวาลDCที่แยกออกมา
เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ด และ American Society of Cinematographers จากผลงานการกำกับเรื่องแรกของแบรดลีย์ คูเปอร์เรื่อง A Star is Born ที่นำแสดงโดยเลดี้ กาก้า และเรื่อง Native Son ให้กับผู้กำกับราชิด จอห์นสัน ซึ่งฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2019
ลิบาทีคถ่ายภาพผลงานการกำกับเรื่องแรกของอาโรนอฟสกีเรื่องPi ตามมาด้วยRequiem of the Dream; The Fountain และภาพยนตร์เรื่องBlack Swan ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมและทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรก, เรื่องNoah และเรื่องMother! ที่นำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์
นอกจากนี้ เขายังถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Straight Outta Compton ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง เช่นเดียวกับ Iron Man และ Iron Man 2 ซึ่งเป็นการเริ่มสไตล์ที่โดดเด่นสำหรับแฟรนไชส์ของมาร์เวล
มาร์ค ฟรีดเบิร์ก
นักออกแบบโปรดักชั่น |
รากฐานด้านวิจิตรศิลป์ในยุคแรกๆของมาร์ค ฟรีดเบิร์กเป็นรากฐานสำหรับงานออกแบบสำหรับภาพยนตร์ที่ตามมาทั้งหมดของเขา เขาเริ่มต้นอาชีพของเขาในนิวยอร์กโดยทำงานเกี่ยวกับผลงานแนวคลาสสิก เช่น In the Soup ของ อเล็กซานเดอร์ ร็อคเวล (รางวัลโดยผู้ชมที่ซันแดนซ์) และ The Ballad of Little Joe ของ แม็กกี้ กรีนวอลด์
ฟรีดเบิร์กได้ร่วมงานกับนักสร้างหนังอิสระมากมาย อาทิ: เฮิร์บ การ์ดเนอร์ (I’m Not Rappaport), มิรา แนร์ (Kama Sutra: A Tale of Love), อั่ง ลี่ (The Ice Storm, Ride with the Devil, Long Halftime Walk ของ Billy Lynn), ท็อดด์ เฮย์เนส (Far From Heaven, Wonderstruck), จิม จาร์มุช (Paterson, Coffee and Cigarettes, Broken Flowers), เอ็ด แฮร์ริส (Pollock) และชาร์ลี คอฟแมน (Synecdoche, New York) ปี2004 มาร์คร่วมมือกับ เวส แอนเดอร์สัน เพื่อสร้างThe Life Aquaticร่วมกับSteve Zissou และต่อมาคือThe Darjeeling Limited เขาได้ร่วมงานกับจูลี่ เทย์มอร์ ผู้มีชื่อเสียงในเรื่องAcross the Universe และThe Tempest มาร์คมีโอกาสสนุกกับการร่วมงานกับเมล บรูคส์ (ผู้สร้าง) และแกร์รี มาร์แชล (จาก Runaway Bride, New Year’s Eve) ในปี2011 มาร์คออกแบบให้ Mildred Pierce ของท็อดด์ เฮย์น (ซึ่งเขาได้รับรางวัลเอมมี่อวอร์ดสาขากำกับศิลป์ดีเด่น) หนึ่งในภาพยนตร์ที่มาร์คภูมิใจที่สุดที่ได้ร่วมงานคือเรื่องSelma ของAva DuVernay มาร์คเพิ่งเสร็จสิ้นการออกแบบเรืีองThe Whale ให้กับดาร์เรน อาโรนอฟสกี ซึ่งเขาเคยได้สร้างมหากาพย์เรื่องNoahด้วย ผลงานล่าสุดอื่นๆ ได้แก่ Joker ของ ท็อด ฟิลลิปส์ และการร่วมงานกับ แบร์รี่ เจนคินส์ รวมถึง If Beale Street Could Talk, The Underground Railroad และภาคต่อของ Lion King ที่กำลังจะมาถึง |
โรเบิร์ต ไพโซชา
นักออกแบบโปรด |
โรเบิร์ต ไพโซชา เป็นนักออกแบบงานสร้างในนิวยอร์กซึ่งทำงานด้านภาพยนตร์เป็นหลัก The Whale เป็นการร่วมงานครั้งแรกของเขากับดาร์เรน อาโรนอฟสกีและProtozoa Pictures โรเบิร์ตเพิ่ง |
เสร็จสิ้นการออกแบบหนังระทึกขวัญเรื่องBlack Flies กับผู้กำกับชาวฝรั่งเศส Jean-Stéphane Sauvaire ผลงานการกำกับศิลป์ของโรเบิร์ต ได้แก่ Dead Ringers, The Underground Railroad, Joker, John Wick 2 & 3, Ocean’s 8, If Beale Street Could Talk, Wonderstruck, Billy Lynn’s Long Halftime Walk (Morocco Unit), Teenage Mutant Ninja Turtles, The Tempest, Across The Universe และ The Darjeeling Limited โรเบิร์ตรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับA24
แอนดรูว์ ไวส์บลัม
นักตัดต่อ |
แอนดรูว์ ไวส์บลัม ได้ร่วมงานกับดาร์เรน อาโรนอฟสกีในภาพยนตร์เรื่อง Mother!, Noah, The Wrestler และ Black Swan ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดสาขาการตัดต่อยอดเยี่ยม ผลงานของเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลBAFTA และEddie Award รวมถึงรางวัลการตัดต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์บอสตันอีกด้วย พวกเขาเริ่มทำงานร่วมกันในเรื่องThe Fountain ซึ่งไวส์บลัมทำหน้าที่ตัดต่อวิชวลเอฟเฟกต์
เขายังทำงานเป็นประจำร่วมกับเวส แอนเดอร์สัน โดยเริ่มด้วยเรื่องThe Darjeeling Limited เขายังคงร่วมงานในFantastic Mr. Fox, Moonrise Kingdom, Isle of Dogs และ The French Dispatch ซึ่งทั้งสี่เรื่องได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล American Cinema Editors (ACE)/Eddie Award ปัจจุบันไวส์บลัมกำลังร่วมตัดต่อสองโปรเจ็กต์ให้กับแอนเดอร์สัน ได้แก่ Asteroid City และ The Wonderful Story of Henry Sugar และอีกมากมาย เมื่อเร็วๆนี้ ไวส์บลัมได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดสาขาการตัดต่อยอดเยี่ยมจากเรื่อง tick, tick… BOOM! ของ ลิน-มานูเอล มิแรนด้า ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลAmerican Cinema Editors (ACE)/Eddie Award
ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆที่ตัดต่อโดยไวส์บลัม ได้แก่ The Eyes of Tammy Faye ของ Michael Showalter; เรื่อง Alice Through the Look Glassของเจมส์ โบบิน, ผลงานของ Zal Batmanglij เรื่อง The OA and The East, Young Adult ของ Jason Reitman(เข้าชิง ACE Eddie), Broken EnglishของZoe Cassavetes และตอนนำร่องของซีรีส์โทรทัศน์เรื่องSmash(เข้าชิง ACE Eddie) กำกับโดย ไมเคิล เมเยอร์
เขาทำงานในกองบรรณาธิการของภาพยนตร์เรื่องต่างในฐานะผู้ช่วยตัดต่อและตัดต่อวิชวลเอฟเฟ็กต์มานานกว่าสิบ เช่น A Dirty Shame ของจอห์น วอเตอร์ส และเซซิล บี. เดเมนเต็ด, ภาพยนตร์โดย ไบรอัน เดอ พัลมา เรื่อง Femme Fatale และ Snake Eyes, Grace of My Heart ของแอลลิสัน แอนเดอร์ส, The School of Rock ของ Richard Linklater และChicagoของ Rob Marshallที่ได้รางวัลออสการ์หลายสาขา |
แดนนี่ กลิกเคอร์
นักออกแบบเครื่องแต่งกาย |
The Whale เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของแดนนี่ กลิกเคอร์และดาร์เรน อาโรนอฟสกี ซึ่งเขาเคยออกแบบเครื่องแต่งกายให้ใน mother! |
แดนนี่เพิ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลPrimetime Emmy® Award สาขาการออกแบบเครื่องแต่งกายดีเด่นจากผลงานเรื่อง Angelyne ที่นำแสดงโดย เอมมี่ รอสซั่ม เกี่ยวกับเรื่องราวของHot Pinkผู้โดดเด็ดบนบิลบอร์ดที่ลอสเองเจลิสในยุค80 เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอคาเดมีอวอร์ดและรางวัลCostume Designers Guild Excellenceสำหรับหนังย้อนยุคจากผลงานเรื่อง Milk ของGus Van Sant ที่นำแสดงโดยฌอน เพนน์ ผู้ซึ่งได้รับรางวัลอคาเดมีอวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากบทHarvey Milk
แดนนี่ กลิกเคอร์ (ต่อ) นอกจากผลงานเรื่องMilkแล้ว แดนนี่ยังสนุกกับการเป็นหุ้นส่วนผู้ใกล้ชิดกับGus Van Santให้แก่
นักออกแบบเครื่องแต่งกาย ภาพยนตร์ ได้แก่ Restless, The Sea of Trees และ Don’t Worry, He Won’t Get Far on Foot นำแสดงโดย จัวคิม ฟีนิกซ์,โจนาห์ ฮิล และ รูนี่ มารา
รางวัลเกียรติยศอื่นๆ ได้แก่ รางวัล Costume Designers Guild Excellenceสำหรับภาพยนตร์ร่วมสมัยจากผลงานเรื่องTransamerica และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงจากผลงานเรื่องUp in the Air ซึ่งกำกับโดยเจสัน ไรต์แมน ผู้ที่เขาร่วมงานด้วยบ่อยครั้ง ซึ่งเขาได้ออกแบบเครื่องแต่งกายสำหรับGhostbusters Afterlife, Thank You for Smoking, Labor Day และ The Front Runner ที่นำแสดงโดย ฮิวจ์ แจ็คแมน
ผลงานที่โดดเด่น ได้แก่ Bad Times at the El Royale ของ Drew Goddard; Andrew HaighของHBOที่กพลังมองหาผู้กำกับ; สองโปรเจ็กต์ร่วมกับอลัน บอลล์ ได้แก่ ตอนนำร่องของTrue Blood ซีรีส์แวมไพร์ยอดฮิตของHBO และภาพยนตร์เรื่องTowelhead; On The Road ที่กำกับโดยWalter Salles; และ Love&MercyของBill Pohlad
ร็อบ ไซมอนเซ็น ร็อบ ไซมอนเซ็น เป็นนักแต่งเพลงเดี่ยว ศิลปินเดี่ยว และผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มนักแต่งเพลง The
นักแต่งดนตรีประกอบ Echo Society เขาได้ปูเส้นทางดนตรีของเขาเองผ่านการศึกษาและทดลองหลายปี จนได้สร้างสรรค์เสียงดนตรีที่เคารพจารีตดั้งเดิมและออกสำรวจแนวทางใหม่
การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนักแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ของเขาเริ่มต้นขึ้นด้วยผลงานเพลงของเขาสำหรับภาพยนตร์อินดี้เรื่องWestenderที่ได้รับความสนใจจากนักแต่งเพลงไมเคิล แดนนา ด้วยความร่วมมือกับแดนนาในเวลาต่อมา ร็อบได้ร่วมแต่งเพลงเพิ่มเติมให้กับ Moneyball และ Life of Pi และร่วมประพันธ์ดนตรีประกอบสำหรับ 500 Hundred Days of Summer ผลที่ตามมาคือเขาได้รับความสนใจจากผลงานเพลงของเขาจนทำให้ The Hollywood Reporter จัดอันดับให้เขาเป็นหนึ่งในชั้นยอด”
ตั้งแต่นั้นมา ไซมอนเซ็นได้ร่วมงานกับผู้กำกับ ดาร์เรน อาโรนอฟสกี (The Whale), ชอว์น เลวี (The Adam Project), เจสัน ไรต์แมน (Ghostbusters: Afterlife, Tully), จูเลีย ฮาร์ต (Stargirl, Fast Colour), เกร็ก เบอร์แลนติ (Love, Simon), เกวิน โอ’คอนเนอร์ (The Way Back), เบ็นเน็ตต์ มิลเลอร์ (Foxcatcher), มาร์ก เวบ (500 Days of Summer, Gifted) และ เฮนรี จูสท์ และ แอเรียล ชูลมาน (Nerve) เพลงของเขาได้รับการขนานนามว่า “ถูกปรับเทียบอย่างสมบูรณ์แบบ” โดยNew York Times, “ละเอียดอ่อน” และ “ซับซ้อน” โดยนิตยสารVariety และ “เข้มข้น” โดยThe Hollywood Reporter
ความทุ่มเทในการแสดงออกทางศิลปะของไซมอนเซ็นมีมากกว่างานภาพยนตร์ เขาได้ร่วมก่อตั้งThe Echo Society เพื่อเชื่อมโยงและสร้างแรงบันดาลใจให้กับชุมชนลอสแอนเจลิสด้วยการแสดงสดและภาพและเสียงแบบอินเทอร์แอคทีฟเฉพาะสถานที่
แมรี่ เวอร์เนิยว ผู้กำกับการคัดเลือกนักแสดงผู้นีัได้คัดเลือกนักแสดงมาแล้วกว่า400เรื่อง ด้วยความสามารถในการคัด
ผู้กำกับการคัดเลือกนักแสดง เลือกนักแสดงและผู้สร้างภาพยนตร์ของเธอ เธอพัฒนาและมีความสุขกับความสัมพันธ์ในการทำงานที่
ยาวนานกับผู้กำกับที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น ดาร์เรน อาโรนอฟสกี, เครก กิลเลสปี, เดวิด โอ. รัสเซลล์,
ไรอัน จอห์นสัน, เดวิด เอเยอร์, แซม เลวินสัน, ริค โรมัน วอห์, โรเบิร์ต โรดริเกซ และโอลิเวอร์ สโตน
ในปี 2013 แมรี่ได้รับรางวัลArtios Awardจากการแคสติ้งเรืีองSilver Linings Playbook และได้รับการ
เสนอชื่อเข้าชิงจากเรื่อง A Star Is Born, Deadpool II และ Cruella นอกจากนี้ แมรี่ยังได้รับรางวัลArtios
Award จาก Euphoria, FreeRayshawnของQuibi และ Knives Out ในปี 2022 แมรี่ได้รับการเสนอชื่อเข้า
ชิงรางวัลเอ็มมี่สองครั้งจากผลงานของเธอในซีซั่นที่2ของEuphoria และ Pam&Tommy ซีรีส์ที่ได้รับ
การยกย่อง Betty Maeคือบริษัทของแมรี่ที่ตั้งชื่อตามความรักที่มีต่อแม่และยายของเธอ
ลินด์ซีย์ เกรแฮม อาฮาโนนู ลินด์ซีย์ เกรแฮม อาฮาโนนู ผู้กำกับการคัดเลือกนักแสดงเริ่มอาชีพของเธอในฐานะนักศึกษาฝึกงานกับแมรี่
คัดเลือกนักแสดง เวอร์เนียวในปี2005 ที่บริษัทชื่อดังBetty Mae, Inc.ของแมรี่
ด้วยความหลงใหลในนักแสดงและความรักในภาพยนตร์มาตลอดชีวิต เธอจึงได้รับเกียรติให้ร่วมงานกับ
แมรี่พร้อมกับผู้มีวิสัยทัศน์ที่มีความสามารถมากมาย เช่น ดาร์เรน อาโรนอฟสกี, เคร็ก กิลเลสปี, เดวิด โอ.
รัสเซลล์, เดวิด เอเยอร์, ริค โรมัน วอห์, แบรดลีย์ คูเปอร์ และสเป็ค+กอร์ดอน ในปี2013 แมรี่และลินด์เซย์
ได้รับรางวัลArtios Awardจากการคัดเลือกนักแสดงเรื่องSilver Linings Playbook และได้รับการเสนอชื่อเข้า
ชิงร่วมกันในภาพยนตร์เรื่องA Star Is Born นอกจากนี้ เธอยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA ในปี
2021 ในสาขาPromising Young Woman และเพิ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่จากผลงานของเธอ
ในซีรีส์ที่ได้รับการยกย่องเรื่องPam&Tomm
เครดิต
ทีมงาน
กำกับโดย Darren Aronofsky
เขียนโดย Samuel D. Hunter
จากบทประพันธ์ของ Samuel D. Hunter
ผู้อำนวยการสร้าง Jeremy Dawson
Ari Handel
Darren Aronofsky
เอ็กซ์คิวทีฟโปรดิวเซอร์ Scott Franklin
Tyson Bidner
กำกับภาพโดย Matthew Libatique, ASC, LPS
ออกแบบโปรดักชั่น Mark Friedberg
Robert Pyzocha
ตัดต่อโดย Andrew Weisblum, ACE
ออกแบบเครื่องแต่งกาย Danny Glicker
ดนตรีประกอบ Rob Simonsen
ออกแบบแต่งหน้าเทียม Adrien Morot
ดูแลการสร้างโดย Brendan Naylor
Jeff Robinson
Dylan Golden
คัดเลือกนักแสดงโดย Mary Vernieu, C.S.A.
Lindsay Graham Ahanonu, C.S.A.
นักแสดง
ชาร์ลี: Brendan Fraser
เอลลี่: Sadie Sink
โทมัส: Ty Simpkins
ลิซ: Hong Chau
แมรี่: Samantha Morton
คนส่งของ: Sathya Sridharan