กล้าที่จะกลับไป

ภาพยนตร์เรื่อง “Doctor Sleep” สานต่อเรื่องราวของแดนนี่ ทอร์แรนซ์ในช่วง 40 ปีต่อมาหลังจากที่เขาได้พบกับความหลอนที่ Overlook Hotel ใน The Shining ยวน แมคเกรเกอร์, รีเบคก้า เฟอร์กูสัน และนักแสดงหน้าใหม่อย่างไคเลห์ เคอร์แรนมาร่วมแสดงในภาพยนตร์ระทึกขวัญเหนือธรรมชาติ กำกับฯ โดยไมค์ ฟลานากาน จากบทภาพยนตร์ของเขาเองที่อิงมาจากนิยายของสตีเฟ่น คิง

แดน ทอร์แรนซ์ยังคงมีบาดแผลฝังใจจากเหตุการณ์ช่วงวัยเด็กที่โรงแรม Overlook เขาต้องต่อสู้หาทางสงบสติตัวเองให้ได้ แต่ความสงบนั้นพังทลายลงเมื่อเขาได้พบกับ แอบรา เด็กวัยรุ่นที่มีความกล้าและมีพลังวิเศษที่เรียกกันว่า “ไชน์” แอบรารับรู้ได้เลยว่าแดนแบ่งปันพลังนั้นกับเธอได้ เธอจึงตามหาเขาเพื่อให้เขามาช่วยต่อสู้กับโรส เดอะ แฮทและเดอะ ทรู น็อตที่คอยติดตามเธอ ซึ่งจะมาดูดพลังแห่งความบริสุทธิ์ในการปฏิบัติภารกิจที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย

แดนและแอบราได้มาร่วมมือกันอย่างไม่น่าเชื่อเพื่อต่อสู้กับโรสอย่างเอาเป็นเอาตาย ความไร้เดียงสาและความกล้าหาญของแอบราทำให้แดนได้ใช้พลังในตัวเขาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนเขาต้องเผชิญหน้ากับความกลัวและวิญญาณร้ายจากอดีตที่ถูกปลุกขึ้นมา

ภาพยนตร์เรื่อง “Stephen King’s Doctor Sleep” นำแสดงโดยยวน แมคเกรเกอร์ (“Star Wars: Episodes I, II & III,” “T2 Trainspotting”) ในบทแดน ทอร์แรนซ์ รีเบคก้า เฟอร์กูสัน (“Mission: Impossible”, “The Greatest Showman”) ในบทโรส เดอะ แฮท และ ไคเลห์ เคอร์แรนที่มาแสดงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ครั้งแรกในบทแอบรา นักแสดงนำหลักคนอื่นๆ ยังรวมถึงคาร์ล ลัมบลี, ซาห์น แมคคลาร์นอน, เอมิลี่ อลิน ลินด์, บรูซ กรีนวูด, โจเซลิน โดนาฮิว, อเล็กซ์ เอสโซ และ คลิฟฟ์ เคอร์ทิส

อำนวยการสร้างฯ โดยทรีวอร์ มาซี (“Oculus”) และจอน เบิร์ก (“Wonder Woman”) อำนวยการสร้างบริหารฯ โดยรอย ลี, สก็อตต์ ลัมพ์คิน, อาคิวา โกลด์สแมน และ เควิน แมคคอร์มิค

ทีมงานเบื้องหลังของฟลานาแกนนำโดยผู้กำกับภาพ ไมเคิล ไฟมอกนารี (“The Haunting of Hill House”) ผู้ออกแบบฉาก เมเฮอร์ อาห์แมด (“Get Hard”) และเอลิซาเบธ บอลเลอร์ (“Hush”) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เทอร์รี แอนเดอร์สัน (“Den of Thieves”) ประพันธ์ดนตรีโดยเดอะ นิวตัน บราเธอร์ส (“The Haunting of Hill House”)

วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์สนำเสนอภาพยนตร์จาก An Intrepid Pictures/Vertigo Entertainment Production, A Mike Flanagan Film เรื่อง “Stephen King’s Doctor Sleep” จัดจำหน่ายทั่วโลกโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส โดย “Stephen King’s Doctor Sleep” ถูกจัดเป็นภาพยนตร์เรท R เนื่องจากเนื้อหาที่มีความรุนแรงภาพของการนองเลือด ภาษาที่ใช้ ฉากเปลือย และการใช้ยาเสพย์ติด

doctorsleepmovie.com

รายละเอียดการถ่ายทำ

แดน

ผมรู้ว่าความกลัวเป็นแบบไหน แต่จะบอกอะไรให้นะ

คุณอาจพูดว่าก็แค่ไปนอนซะ

ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว หลับซะ

แล้วเดี๋ยวก็ตื่นมาเจอโลกที่สดใสขึ้น

คนไข้

คุณเป็นหมอที่แปลก

แดน

ผมไม่ใช่หมอ

คนไข้

ผมคิดว่าใช่นะ ด็อกเตอร์สลีป

แทบจะไม่เคยเห็นเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวที่อยู่ในยุคร่วมสมัย ซึ่งมีควาน่ากลัวหรือดูเหมือนกับครอบครัวทอร์แรนซ์ที่ประกอบไปด้วยพ่อ แม่ และลูก ตัวละครสำคัญในนิยายตอนที่ 3 ของงสตีเฟ่น คิง เรื่อง The Shining. เรื่องราวต้นฉบับตีพิมพ์เมื่อปี 1977 หนังสือมียอดขายมากกว่า 1 ล้านก็อปปี้ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวการต่อสู้ของตัวผู้แต่งเอง ในช่วงกลางดึกที่น่ากลัวเมื่อคิงต้องอยู่ในห้องหมายเลข 217 ในโรงแรมสแตนลีย์เมืองโคโลราโด เรื่องราวของแจ็ค เว็นดี้ และแดนนี่ ทอร์แรนซ์เป็นผลงานหนึ่งที่มีความเป็นส่วนตัวของคิงมาก ซึ่งไม่ได้มีความน่ากลัวจากสัตว์ประหลาดที่อยู่รอบตัวเรา แต่เป็นปีศาจในชีวิตจริงที่ฝังลึกอยู่ในตัวพวกเราเองต่างหาก

36 ปีต่อมา คิงได้ตีพิมพ์นิยายภาคต่อของเขาที่มีชื่อว่า Doctor Sleep ซึ่งเป็นเรื่องราวของแดน ทอร์แรนซ์ แม้ว่าในเรื่องจะมีทั้งการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวความสยองและความน่าสงสัย แต่ The Shining ก็ได้พาผู้อ่านออกไปผจญภัยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายจากการติดยาเสพย์ติด ส่วนเรื่อง Doctor Sleep จะพาพวกเขากลับไปหาหนทางสว่างอย่างมนุษย์ปกติ มีเรื่องราวของการยอมเสียสละและการไถ่บาปในสิ่งที่เคยทำไว้

ผลงานดัดแปลงของสแตนลีย์ คูบริคปี 1980 เรื่อง The Shining ได้รับคำชมในวงกว้างว่าเป็นหนังสยองยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งตลอดกาล และเป็นตัวอย่างหนึ่งของการผสมผสานระหว่างถ้อยคำของผู้แต่งกับจินตนาการของผู้สร้างภาพยนตร์ โดยภาพยนตร์ของคูบริคอาศัยความสร้างสรรค์จากองค์ประกอบต่างๆ ที่อยู่ในเรื่อง รวมถึงบทสรุปของโรงแรมโอเวอร์ลุคไปพร้อมกับมุมมองต่างๆ ของตัวละครแจ็ค ทอร์แรนซ์ แต่ในท้ายที่สุดทั้งจินตนาการของคิงและคูบริคเกี่ยวกับแจ็คที่ต้องเสียความเป็นตัวของตัวเอง และกลับมามีชีวิตปกติหลังจากที่มีการใช้ยาเสพย์ติดทำให้ทั้งคู่ต่างเกิดความสร้างสรรค์อย่างโดดเด่นขึ้นมา

ผู้สร้างฯ ไมค์ ฟลานาแกนประกาศชัดเจนว่าตัวเองเป็นแฟนผลงานของคิงตั้งแต่ตอนอยู่เกรด 5 ตอนที่เขาเลือกหนังสือของผู้แต่งเล่มแรก ฟลานาแกนเล่าให้ฟังว่า “ตอนนั้นผมยังเด็กมาก แต่เด็กผู้ชายก็เริ่มอ่านหนังสือพวกนั้น แต่ละเล่มทำให้ผม

กลัวอย่างที่ไม่เคยกลัวอะไรมาก่อน และทำให้ผมมองโลกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ผมเลยเริ่มประสบการณ์นี้จากอิทธิพลที่ได้มาจากงานเขียนของคิง คือในฐานะของเด็กขี้กลัวคนหนึ่ง การอ่านเรื่องราวของเขาได้สอนให้ผมมีความกล้าหาญขึ้นมาได้ในช่วงเวลาสั้นๆ จนกลายเป็นบททดสอบของตัวละคร ผมกลายเป็นหนอนหนังสือและพยายามหาแนวทางของตัวเอง แต่ในการทำงานเวลาที่มีคนจ้างให้ผมสร้างหนัง มันก็ยังทำให้ผมรู้สึกหวั่นใจอยู่เหมือนเดิม”

ผู้สร้างฯ ยังจำได้อีกว่าหลายปีหลังจากนั้นตอนที่เขาอยู่ในร้านหนังสือเพื่อหาหนังสือของเขา Doctor Sleep ในวันแรกก็ไม่สามารถหานิยายเล่มนั้นได้แล้ว “จากการหยิบยกเรื่องราวในมุมมองของคิงขึ้นมา และตัดสิ่งที่คูบริคได้เปลี่ยนแปลงไว้ในหนังเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตของครอบครัวทอร์แรนซ์ มันเหมือนกับเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างหยุดไม่ได้ของผู้อ่านคนหนึ่ง สิ่งที่คูบริคได้สร้างสรรค์เอาไว้ในเรื่องราวได้กลายเป็นสิ่งที่มีเอกลักษณ์ ได้กลายเป็นจุดกำเนิดของกระแสนิยมในโลกภาพยนตร์ และเป็นการอ่านนิยายเรื่องนี้โดยตัดเรื่องนั้นทิ้งไปพร้อมกับพาเราไปพบความตื่นเต้นอีกแบบหนึ่ง

“Doctor Sleep ได้ย้อนกลับไปหาหลายเรื่องราว ตั้งแต่ที่นิยายเรื่อง The Shining ไม่มีการสร้างเป็นหนัง” ฟลานาแกนเล่าต่อว่า “มีความสนใจเรื่องการติดยาเป็นพิเศษในระดับของคิง พร้อมกับเรื่องราวของการไถ่บาป ความประทับใจแรกของผมคือ ‘ผมรักเรื่องนี้จัง’ ผมรักตัวละครทั้ง 3 คือแดน แอบรา และโรส เดอะ แฮท ผมรักความแตกต่างระหว่าง The Shining กับ Doctor Sleep ที่มีทั้งเรื่องการติดยาและการกลับมาสู่สภาพปกติ เขาเก็บรายละเอียดหลายอย่างที่น่าสนใจตั้งแต่หนังสือเล่มแรก และทำให้มีพัฒนาการในรูปแบบที่มีความแปลกใหม่

“มีส่วนหนึ่งที่ผมยืนยันได้ว่าผลงานของคิงได้รับการดัดแปลงบนความถูกต้องตรงประเด็น” ฟลานาแกนอธิบายชัดว่า “และมีส่วนที่น่าหลงใหลในหนังของคูบริคด้วย นั่นคือทั้ง 2 ด้านที่ผมมีตอนอยู่ในสมรภูมิการทำงานช่วงแรกของโปรเจ็กต์นี้ แต่ผมพยายามทำให้ทั้งสองฝ่ายมีความสุข ผมคิดว่าถ้าผมทำเพื่อตัวเองได้ ผมก็หวงว่าจะทำมันเพื่อผู้ชมได้เหมือนกัน”

แนวทางสมานฉันท์ในเรื่องข้อมูลที่มีความแตกต่างกันคือ “ต้องเรียนรู้วิธีเดินทางสายกลางระหว่างคูบริคกับคิง เพื่อแสดงความเคารพทั้งสองฝ่ายและสร้างภาพยนตร์แยกเดี่ยวออกมา นั่นคือสิ่งสำคัญตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มครับ” เขากล่าว

ฟลานาแกนรู้ดีว่ามีสิ่งหนึ่งที่สำคัญต่อการทำให้โปรเจ็กต์นี้ดูมีชีวิตชีวา และเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งไหนนั่นคือสตีเฟ่น คิง ผู้ชำนาญด้านความสยองเกิดความสงสัยในช่วงแรกเริ่ม แต่เมื่อผู้สสร้างภาพยนตร์แสดงถึงความกล้าในโปรเจ็กต์นี้ให้เห็นได้อย่างเช็ดเจน มีการผสมผสานระหว่างถ้อยคำที่ตีพิมพ์ออกมากับภาพบนจอ ทำให้คิงรู้สึกว่าตัวเองพลาดบางอย่างไปในจินตนาการของคูบริค ผู้แต่งจึงร่วมเซ็นต์สัญญาด้วยอย่างกระตือรือร้น

สตีเฟ่น คิงเล่าว่า “ผมบอกทุกคนเสมอเรื่องความแตกต่างระหว่างหนังของสแตนลีย์ คูบริคกับหนังสือของผม หนังของเขาลงเอยด้วยความเย็นชา ส่วนหนังสือของผมลงเอยด้วยความตื่นเต้น แต่เรื่องราวของแดน ทอร์แรนซ์ที่มีการพัฒนาขึ้นและมีรูปแบบของตัวเองมันทำให้รู้สึกท่วมท้นหลายความรู้สึก ไมค์ทำให้หนังของคูบริคไปสู่อีกขั้นได้ ทำให้ทุกอย่างมีความตื่นเต้นขึ้น หนังของไมค์มีคุณสมบัติ 2 ข้อคือเป็นผลงานดัดแปลงเรื่อง Doctor Sleep ที่ดี แต่ก็มีฉากที่ยอดเยี่ยมอย่างในหนังของสแตนลีย์ คูบริคเรื่อง ‘The Shining’ ไมค์เคยผ่านงานทุกด้านมาแล้ว บางสิ่งที่อยู่ในหนัง ‘The Shining’ ก็ไม่มีอยู่ในหนังสือผม.. และก็สามารถหาวิธีทำให้มันออกมาลงตัวได้”

ผู้ร่วมงานในทีม

ผู้อำนวยการสร้างฯ เทรวอร์ มาซี่ที่ร่วมงานกับฟลานาแกนมาแล้วหลายเรื่อง และล่าสุดคือซีรีส์เรื่อง “The Haunting of Hill House” ยอมรับว่าตอนแรกต้องอาศัยการโน้มน้าวอยู่บ้างพอเป็นเรื่อง “Doctor Sleep” เขาเล่าถึงตอนนั้นว่า “ความรู้สึกแรกของผมคือ ‘เราควรทำภาคต่อของ “The Shining” หรอ? ความรู้สึกต่อมาที่เกิดขึ้นทันทีคือ ‘เอาเถอะ สตีเฟ่น คิงก็อยู่ตรงนั้น’ นั่น

หมายความว่ามันมีหลักการอยู่ แต่ความยากในการสร้างอยู่ที่มันมีตอนจบของ The Shining อยู่ทั่วโลกหลายแบบ แถมยังมีฉากในหนังที่จบต่างกันไปอีกด้วย ไมค์เคารพในทั้งสองฝ่ายเช่นเดียวกับผม หน้าที่ของเราคือต้องนำ 2 แบบนั้นมาผสมผสานกัน เพื่อสร้างความสุขให้กับผู้ที่รักทั้งคิงและคูบริค และยังต้องรักษาความสนุกสนานเอาไว้ด้วย”

การพบกันครั้งแรกระหว่างผู้อำนวยการสร้างฯ จอน เบิร์กกับฟลานาแกนผิดจากที่ทั้งคู่คาดหวังเอาไว้ ฟลานาแกนได้รับสายที่ชวนมาเรื่องงานในอีกเรื่องหนึ่ง แต่ในการพูดคุยกันกลับกลายเป็นเรื่องคิง “เราเริ่มคุยกันเรื่องความชื่นชอบในสตีเฟ่น คิงจนมาที่เรื่อง Doctor Sleep ได้อย่างรวดเร็ว ผมถามเขาว่าคิดยังไงเรื่องหนังสือ เขาจะเอาหนังสือของคิงกับหนังของคูบริคและเรื่องราวภาคต่อของคิงมารวมกันยังไง เขาเล่าไอเดียหลายอย่างและมีมุมมองที่เหลือเชื่อมากครับ ไมค์ป็นผู้เขียนบทฯ / ผู้กำกับฯ และผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีความสามารถมาก เขามีความเคารพทั้งคิงและคูบริค แถมยังมีการถ่ายทอดเรื่องราวที่ผสมผสานออกมาได้อย่างมีเอกลักษณ์อีกด้วย”

ต้นฉบับเรื่องราวแห่งตำนานของ “Doctor Sleep” ของฟลานาแกนถือเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับนักแสดงนำ ทั้งสองชื่อนั้นทำให้เกิดความกระตือรือร้นจนเอาชนะความไม่เต็มใจตอนเซ็นต์สัญญาร่วมงานในหนังสยองขวัญ/ชวนสงสัยในช่วงแรก ยวน แม็คเกรเกอร์เล่าว่า “เรื่อง ‘The Shining’ ถูกพูดถึงในฐานะของหนังที่น่ากลัวที่สุดในโลก ทำให้ผมไม่กล้าดูจนกระทั่งช่วงวัยรุ่นที่โตมากแล้ว และก็ดูครั้งเดียวด้วยเพราะมันทำให้ผมกลัวสุดขีด ผมไม่ชอบพวกหนังน่ากลัวเลย ไม่ชอบที่ตัวเองต้องดูอะไรแบบนั้น แต่ผมชอบนิยายเรื่อง Doctor Sleep มากครับ ผมอ่านเรื่องนี้หลังจากที่ได้อ่านบทฯ แล้วผมก็กลับไปอ่านเรื่อง The Shining ซึ่งก็รู้สึกสนุกพอกัน น่าจะสนุกกว่าต้นฉบับด้วยซ้ำ เรื่องราวของแดนนี่ทำให้ผมสนุกมาก ในฐานะของนักแสดงผมรู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องราวที่มาที่ไปทั้งหมดนี้”

รีเบ็คก้า เฟอร์กูสันเล่าว่า “ตอนที่ได้รับการเสนอให้มารับบทนี้ ฉันไม่ชอบอะไรที่น่ากลัวแบบนี้เลยค่ะ ไม่อยากรับมือกับอะไรที่ทำให้กลัว ฉันเกลียดตัวตลก เกลียดผีเด็กในหนังสยอง เด็กผู้หญิง 2 คนที่ยืนตรงนั้นและพูดอะไรขึ้นมาพร้อมกันในบรรยากาศที่ชวนขนลุก … มันเป็นอะไรที่หลอนมากค่ะ แต่ฉันก็ชอบเอาตัวเอาไปเจอกับอะไรที่ตัวเองมีข้อสงสัยทุกที แต่ทั้งความหลอนในแบบของสตีเฟ่น คิงและตัวละครที่มีความน่าสนใจนี้มาอยู่ในมือของไมค์แล้ว หนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีการถ่ายทำที่น่าทึ่งมากเท่าที่ฉันเคยร่วมงานมาเลยค่ะ และความน่าตื่นเต้นอย่างหนึ่งของ ‘Doctor Sleep’ คือตอนที่ทุกอย่างมารวมอยู่ด้วยกัน รู้สึกดีมากเลยค่ะที่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วย”

นักแสดงหน้าใหม่อย่างไคเลห์ เคอร์แรนยอมรับว่า “ฉันรู้จักสตีเฟ่น คิงนะคะ หมายถึงฉันเคยได้ยินชื่อเสียงของเขา ก่อนที่เราจะเริ่มถ่ายทำกันฉันมีโอกาสได้ดูหนังสยองของแม่ ตอนนั้นได้ดูเรื่อง ‘The Shining’ มันทั้งน่ากลัวและชวนสงสัย เป็นเรื่องที่ช่วยในการอ้างอิงตัวละครและทำให้เข้าใจความเลวร้ายที่แดนนี่ได้ผ่านพ้นมา… มันทำให้ฉันเข้าใจตัวเขามากขึ้นจริงๆ ค่ะ”

และนั่นคือสิ่งที่สตีเฟ่น คิงต้องการจริงๆ “ผมมีความสุขทุกครั้งเวลาได้ยินการตอบรับในเรื่องความรู้สึก นี่คือสิ่งหนึ่งที่ผมให้ความสนใจ ผมต้องการให้คุณสนใจไปด้วยกัน ผมอยากทำให้คุณรู้สึกคล้อยตาม ความสยองก็เหมือนเส้นสายเดียวที่อยู่บนกีตาร์ ในเรื่องยังมีอะไรอีกหลายอย่าง ผมอยากให้ผู้อ่านได้เจอผู้คนที่เขาจะเข้าใจได้ในฐานะมนุษย์ ทั้งคนที่เป็นเพื่อน คนที่คอยใส่ใจคนอื่น และนั่นคือประเด็นสำคัญที่ทำให้ความสยองยิ่งน่ากลัวมากขึ้น”

บางคนก็เรืองแสงได้ บางคนก็ไม่

แอบรา

(ส่งข้อความ)

สวัสดี

แดน

(ส่งข้อความ)

สวัสดี

ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าแดนนี่ ทอร์แรนซ์คือตัวละครที่ทั้งคอหนังและแฟนหนังสือให้ความสนใจ เขาต้องพบกับความเจ็บปวดที่เลวร้ายตอนเป็นเด็ก โดยแทบทั้งหมดมาจาก แจ็ค พ่อของเขาเอง และเพื่อเป็นการลืมความเจ็บปวดนั้น เขาเลือกที่จะอาศัยสิ่งที่เป็นพิเศษร้ายและแอลกอฮอล์เช่นเดียวกับแจ็ค ทอร์แรนซ์ ในระดับที่แทบจะทำลายชีวิตตัวเอง เพื่อหยุดภาพความทรงจำต่างๆ และการเรืองแสงของตัวเอง หลังจากที่ถึงจุดเลวร้ายสุด เขาวิ่งหนีไปไกลสุดชีวิตพร้อมกับเงินเท่าที่มีติดกระเป๋า หลังจากนั้นการผจญภัยของเขาที่ฟราเซียร์ นิวแฮมเชียร์ จึงได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเต็มตัว

ฟลานาแกนเล่าว่า “แดนทนทุกข์ทรมานกับปัญหาเดียวกับที่พ่อของเขาเจอ เขาติดสุรา มีการใช้ยาเสพย์ติด และมีแนวโน้มจะใช้ความรุนแรงด้วย ซึ่งคุณสมบัติทั้งหมดนั้นทำให้แจ็คกลายเป็นเหยื่อของโรงแรมโอเวอร์ลุคอย่างง่ายดาย โรงแรมนั้นเป็นมรดกตกทอดของแดนและเป็นสิ่งที่กำหนดชีวิตของเขา”

ยวน แม็คเกรเกอร์ดได้ลองคิดดูว่า “การผ่านเรื่องราเลวร้ายแบบนี้ แดนรับมือกับมันมาได้ยังไง? เขาจัดการเรื่องการเรืองแสงและความแตกต่างของตัวเขายังไง? เขาแก้ปัญหาด้วยการดื่มเหล้าแบบเดียวกับที่พ่อทำ จนถึงจุดที่เขาดื่มต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว นั่นคือมุมที่เรียกความสนใจจากผมได้มาก สำหรับบทตัวละครที่มาถึงจุดตกต่ำสุดแบบนั้น ซึ่งหลังจากนั้นแจ็คก็เหมือนกับแดนนี่ที่เลิกกินเหล้าเมายา เขาทำแบบนั้นหลายเดือนก่อนที่จะมารับตำแหน่งที่โอเวอร์ลุค”

ฟลานาแกนเล่าต่ออีกว่า “นี่คือคนที่เราพอจะเข้าใจเขาได้ เขาเป็นคนที่มีจุดอ่อน ต้องรับมือกับปีศาจที่อยู่ในตัว ความกล้าหาญ ความอ่อนแอ และต้องรับมือกับเรื่องราวที่ใหญ่โตเกินตัว แปลว่าเราต้องกรนักแสดงที่เข้าใจเรื่องแบบนั้นได้ดี ยวนแสดงความเป็นมนุษย์ที่มีบาดแผลของแดนออกมาได้ การแสดงของเขาที่ผมชอบคือฉากที่เขาอยู่กับผู้ป่วยในบ้านพัก มันดูดีมากและมีความถ่อมตัว ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ผมเชื่อมโยงได้ถึงเขา ในเรื่องความเป็นมนุษย์ของยวน และจากนักแสดงหนังที่เคยผ่านหนังฟอร์มยักษ์มาแล้ว!”

Finding a safe and welcoming community in the local AA chapter, Danny is led to a post for which he is uniquely suited. แม็คเกรเกอร์เล่าว่า “แดนนี่ปฏิบัติงานตามโรงพยาบาลหรือบ้านพักคนชราตลอด เขามีการใช้แอลกอฮอล์บ้างเป็นบางครั้ง เพราะมันคือสิ่งที่ไม่ทำให้เขารู้สึกแย่ บวกกับนั่นคืองานถนัดของเขาด้วย เมื่อเขาเลิกใช้แอลกอฮอล์จึงเริ่มทำงานในบ้านพัก ที่นั่นทำให้เขาพบว่าตัวเองเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่ใกล้ตาย เขาคุยกับทุกคนเรื่องการข้ามผ่านความตายว่ามันก็

เหมือนกับการหลับใหลที่แสนสบาย เขาช่วยให้ทุกคนผ่านมันไปได้ นั่นคือครั้งเดียวที่เขาจะยอมให้ตัวเองใช้การเรืองแสง และเป็นจุดที่ทำให้เขาได้ฉายาว่าด็อกเตอร์สลีป”

เบิร์กเล่าต่ออีกว่า “เขาพยายามทำทุกทางที่จะไม่สนใจเรื่องแสงของตัวเอง เขาเห็นผีที่โอเวอร์ลุค เขาได้ยินความคิดของคนอื่นๆ ตอนหลังเขายอมรับด้วยซ้ำว่าเห็นซากแมลงวันบนหน้าของแม่ตอนที่สิ้นใจด้วยโรคมะเร็ง มันเกาะกันหนามากจนเขามองไม่เห็นตาของแม่อีกเลย นั่นคือความเจ็บปวดอันยิ่งใหญ่ที่ยากเกินจะแบกรับเอาไว้”

ฟลานาแกนเล่าว่า “แสงของแดนทำให้เขาทรมานตลอด มันทำให้เขาเห็นภาพของเลือดและการเข่นฆ่า มันทำให้เขาเปราะบางจนตกเป็นเป้าหมายของสิ่งชั่วร้าย และด้วยสาเหตุนั้นจึงทำให้เขามองจ้องคนที่ใกล้ตายได้ และรู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร มันกลายเป็นการพลิกความสามารถอย่างสิ้นเชิง ทำให้ชีวิตของเขาและการเรืองแสงมีจุดมุ่งหมายเป็นครั้งแรก และตอนนั้นในหนังสือถือว่าแดน ทอร์แรนซ์เป็นฮีโร่ของผมเลย”

เรื่องของคิงคือสิ่งที่วนเวียนอยู่ในใจคิง เขายอมรับว่า “ตอนผมเขียนเรื่อง Doctor Sleep ผมไม่แตะเหล้าเป็นเวลานานเลย ผมอยากเขียนเรื่องราวของแดนออกมาจากมุมมองนั้น เพราะ..ผมจะไม่พูดว่าตัวเองต่างจาก 2 คนนั้น เพราะมันก็จะดูเป็นการพูดเกินไป แต่ผมมีความแตกต่างและอยู่ในจุดที่ต่างจากผู้เขียน The Shining มาก นั่นคือแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังการเขียนหนังสือ ผมรู้สึกว่าตัวเองมีมุมมองในตัวละครนี้ที่กว้างกว่า แต่ในส่วนอื่นที่ผมไม่อยากแตะต้องคือศีลธรรมเรื่องการดื่มหรือไม่ดื่ม เป้าหมายของผมคือการนำเสนอตัวละครนี้ออกมา และให้ผู้อ่านหรือผู้ชมได้ตัดสินใจเองจากสิ่งที่เกิดขึ้น”

สำหรับตัวละครที่มีความอบอุ่นแม้จะมีจุดอ่อนอย่างแดน ทอร์แรนซ์ คิงได้สร้างตัวละครที่ตรงข้ามกับเขาเช่นเดียวกับที่ฟลานาแกนใส่เอาไว้ในเรื่อง “หนึ่งในศัตรูตัวฉกาจของสตีเฟ่น คิงในช่วงเวลาหลายปีคือโรส เดอะ แฮท เธอมีความ

แตกต่างจากแดน เธอเป็นคนที่เข้าถึงได้ยาก เรื่องราวในอดีตของเธอไม่มีอะไรเลย เธอมีชีวิตมาอย่างยาวนานและสร้างแต่เรื่องเลวร้าย เธอมีความน่าตื่นเต้นในทุกด้านเลยครับ”

โรสเป็นผู้นำกลุ่มที่มีความอมตะซึ่งรู้จักกันในนามทรูน็อต มีการขยายพลังอำนาจโดยอาศัยเหยื่อวัยเด็กที่เรืองแสงได้ จะมีการ “ปล่อยแสง” นั้นออกมาจากเลือดของพวกเขา ซึ่งจะเป็นอาหารของโรสและเหล่าผู้ติดตาม พวกมนุษย์สมัยก่อนยังคงใช้ชีวิตปกติ ไม่เป็นที่จับตามอง ทำตัวเลียนแบบมนุษย์ เป็นนักล่าที่ทำตัวเลียนแบบเหยื่อ แต่ในโลกปัจจุบันนี้ที่มีความแตกต่าง ความซับซ้อน และพัฒนาการสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ทำให้แสงของเด็กมีระดับต่ำลง พวกทรูน็อตจึงเหลือทรัพยากรเพียงน้อยนิด นี่เป็นครั้งแรกในช่วงเวลาอันแสนนานที่พวกเขาต้องหิวกระหาย และมองไม่เห็นอนาคต

มาซี่อธิบายว่า “พวกมันอยู่รอบตัวมานานพอๆ กับที่มีมนุษย์อยู่ ตราบใดที่ยังมีเด็กเรืองแสงได้อยู่บนโลก พวกมันมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนจนยากจะแยกได้ พวกมันอยู่ทุกที่และมีความชั่วร้ายที่ยากจะคาดเดา นั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกมันเป็นภัยอย่างคาดไม่ถึง”

เมื่อเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนจึงทำให้การคัดเลือกนักแสดงเกิดความท้าทาย ฟลานาแกนเล่าว่า “โรส เดอะ แฮทมีความโหดร้ายในแบบที่ตัวร้ายอื่นของคิงเทียบไม่ได้เลย แต่ในตัวเธอก็มีทั้งเสน่ห์ ความมั่นใจ และความน่าหลงใหล น่าดีใจที่เธออยู่มาได้ตั้งนานโดยไม่มีผลลัพธ์อะไรตามมา ทำได้ยังไง?”

หลังจากที่ชื่อของรีเบ็คก้า เฟอร์กูสันเข้ามาสู่การประชุม ฟลานากนและมาซี่จึงได้พบกับเธอผ่านสไกป์ ผู้เขียนบทฯ / ผู้กำกับฯ เล่าว่า “เราหัวเราะกันหนักมากจนเทรวอร์กับผมถึงกับปวดท้องเลย รีเบ็คก้าเป็นคนที่มีเสน่ห์มากเท่าที่ผมเคยเจอมา เธอเข้าใจดีว่าอะไรทำให้ตัวร้ายประสบความสำเร็จ นั่นคือเราต้องทำให้พวกเขาเป็นที่ชื่นชอบ เราอยากทำให้ทุกคนกลัว แต่เราก็อยากให้ทุกคนรู้สึกชอบไปด้วย สำหรับบทโรส เดอะ แฮท เราอยากได้ใครสักคนที่มีทุกสิ่งแบบที่รีเบ็คก้าถ่ายทอดออกมาบน

หน้าจอด้วยความพยายาม โรสเป็นคนสวย ดูยั่วยวน ชวนให้หลงกลง่าย และนั่นคือเจตนาที่แท้จริงของเธอ นั่นคือพลังที่เธอใช้ดึงดูดเราเข้าหา”

เฟอร์กูสันเล่าว่า “หลังจากที่ได้อ่านบทฯ ฉันคิดว่า ‘นี่เป็นบทที่ท้าทายที่สุดตั้งแต่เคยได้รับการเสนอบทเลย’ สิ่งที่ฉันชอบมากคือการดึงส่วนประกอบที่ดูน่ากลัวออกมาค่ะ ความโหดร้ายอย่างไร้ขีดจำกัดและทุกอย่างที่ทำให้เธอกลายเป็นคนโหดเหี้ยม และทำให้เธอดูเหมือนมนุษย์มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้เธอดูอันตรายต่อทุกคนที่อยู่รอบตัวด้วย ทั้งหมดนี้คือการผสมผสานกันระหว่างผลงานของคิงกับการดัดแปลงผลงานของคูบริค เราไม่มีทางปฏิเสธมันได้ลงเลยค่ะ”

เบิร์กยืนยันว่า “เมื่อเราพบว่าโรสมีลักษณะแบบไหน ทั้งอันตราย ร้ายกาจ โหดเหี้ยม ชั่วร้าย ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะแสดงออกมาแบบไหน มันมีทั้งความสดใสและเสน่ห์ในตัวเธอ รวมถึงความเย็นชาด้วย ซึ่งรีเบ็คก้าสามารถถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างน่าทึ่ง”

ในฐานะของนักแสดง เฟอร์กูสันสร้างตัวละครของเธอจากบรรยากาศที่มนุษย์ทั่วไปจะเข้าถึงได้ “สิ่งที่สำคัญสำหรับโรสและทรูน็อต และแทบจะสำหรับทุกคนเลยคือความรัก การได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่ง มันเป็นความรู้สึกพื้นฐาน สิ่งที่ต่างจากเด็กคือการรักษาความรักนั้นไว้ ฉะนั้นสำหรับโรสแล้วจึงเป็นการมอบสิ่งเหล่านั้นเพื่อเด็กๆ เพื่อพวกพ้องของตัวเองที่ขาดความรัก”

เด็กๆ คือสิ่งสำคัญของทิศทางเรื่องราว “Doctor Sleep” เด็กที่มีพรสวรรค์ เด็กที่อยู่กับความเสี่ยง เด็กที่พยายามหาทางของตัวเอง เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งชื่อแอบราเรียกได้ว่าตกอยู่ใน 3 สถานการณ์นั้นในช่วงเวลาเดียวกัน ฟลานาแกนยืนยันว่า “หนึ่งในความสะดุดตาจากมุมมองของผู้เขียนฯ คือนี่ไม่ได้มีเพียงเรื่องราวเดียว มันมี 3 เรื่องที่มาบรรจบกันอย่างงดงาม แอบราไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับพลังวิเศษนี้เลย เธอเรียกมันแค่การเรืองแสงของเธอ ตัวละครทั้ง 2 ได้เผชิญชะตากรรมเดียวกัน ต่างรู้สึกว่าต้องปกปิดเรื่องสำคัญนี้ไว้โดยไร้ความรักจากครอบครัวของตัวเอง”

แม็คเกรเกอร์เห็นด้วยว่า “แดนนี่เรียนรู้การพยายามซ่อนทั้งตัวเองและแสงของเขาตั้งแต่ในช่วงแรก บรรดาภูติผีจากโอเวอร์ลุคเฝ้าติดตามเขา การดื่มเหล้าคือวิธีที่จะหยุดยั้งมันได้ เมื่อแอบราโผล่ขึ้นมากลับเหมือนเป็นการขุดทุกสิ่งที่ตัวเขาพยายามกลบซ่อนมันเอาไว้”

ฟลานาแกนเล่ารายละเอียดว่า “If the raging ego of Rose is the foil for the humility of Dan, the heart of the story และบทที่ท้าทายที่สุดสำหรับการคัดเลือกตัวนักแสดงคือแอบรา นี่เป็นตัวละครที่คิงนำเข้ามาจากเรื่อง The Shining เธอมีพลังเหนือกว่าแดน ซึ่งน่าจะเทียบเท่ากับโรสด้วยซ้ำ แต่พลังของเธอยากจะควบคุม ไม่มีรูปแบบชัดเจน และเธอไม่สามารถเข้าใจมันได้ด้วยตัวเอง”

ในท้ายที่สุดมีนักแสดงวัยรุ่นเกือบ 1,000 รายสนใจบทบาทนี้ แต่ไคเลห์ เคอร์แรนที่มาพร้อมผลงานที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งใหญ่จากการแสดงละครบรอดเวย์เรื่อง “The Lion King” เป็นผู้ได้รับบทบาทนี้ไป

มาซี่เล่าให้ฟังว่า “แอบราเข้ามาพร้อมความหวาดกลัว แต่ก็มีความไร้เดียงสาอยู่ในตัวเธอด้วย คำถามของเราคือเราจะหาคนที่มีคุณสมบัติลงตัวแบบนั้น และเป็นคนที่มาช่วยสร้างความสดใสให้อีวานและรีเบ็คก้าในด้านการแสดงได้ยังไง? ไคเลห์คือคนที่มีความโดดเด่นในทุกด้านนั้น”

ไคเลห์ เคอร์แรนแอบราว่า “เป็นเด็กผู้หญิงที่เข้มแข็งแต่ก็มีความไร้เดียงสาอยู่ในตัว ฉันรู้สึกว่าเธอเป็นคนดีนะคะ เธอเป็นคนพูดจาเปิดเผยและไม่อยากปิดบังเรื่องแสงของเธอ เธอไม่เหมือนกับแดนนี่ เธอมีความเปิดเผยในเรื่องนั้น เธอไม่ได้มองว่ามันเป็นพลังหรือเป็นภาระอะไร สำหรับเธอแล้วมันเหมือนกับการเล่นกล เธอเป็นนักมายากลที่มีเทคนิคพิเศษที่มีเธอรู้เพียงคนเดียว เธอโอเคกับการใช้มันเพื่อช่วยเหลือผู้คน เธอยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อคนที่เธอไม่รู้จักด้วยซ้ำ”

นอกจากความแข็งแกร่งของเธอ ก็ยังมีส่วนที่เธอขาดหายไปจากการที่เธอเติบโตขึ้นมาด้วย เคอร์แรนเล่าว่า “พ่อแม่ของเธอหวาดกลัวเรื่องนั้น กลัวเธอเวลาที่เธอใช้พลัง เธอพยายามจะไม่ใช้ แต่นั่นคือสิ่งที่โดดเด่นในตัวตนของเธอ ซึ่งการซ่อนพลังนั้นมันมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับพ่อแม่ เวลาที่มองหน้าพ่อแม่เธอกลัวที่จะต้องใช้พลัง มันทำให้เธอใจสลาย ฉันคิดว่าตอนที่เธอได้พบกับแดน เหมือนเขามาเติมเต็มช่องว่างในหัวใจของเธอ เธอเรียกเขาว่าลุงแดนนี่ด้วยซ้ำ เพราะเขาทำให้เธอรู้สึกแบบนั้นจริงๆ”

สำหรับเด็กที่เรืองแสงได้ เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไรหรือจะใช้มันอย่างเต็มที่ได้ยังไง ที่ปรึกษาคือสิ่งเดียวที่จะทำให้พวกเขาได้ก้าวสู่โลกที่มีความชัดเจน พร้อมทั้งมีพลังที่เหนือไปอีกขั้น ในเรื่อง The Shining แดนนี่มีดิค ฮอลโลแรนช่วยทำให้เขาเข้าใจพรสวรรค์ของตัวเอง และแอบราก็โชคดีที่เชื่อมโยงกับแดน หนึ่งในตัวละครของคิงที่ไม่ค่อยโชคดีนัก ฟลานาแกนเล่าว่า “ยังมีการยกตัวอย่างที่ปรึกษาคนอื่นและเด็กที่มีพรสวรรค์ในหนังสือของคิง ซึ่งนั่นคือแอนดี้ คนที่โรสตามหาในหนัง เด็กส่วนใหญ่ที่เรืองแสงได้จะกลายเป็นเหยื่อของทรูน็อต แต่บางครั้งพลังของพวกเขาก็แข็งแกร่งมากพอ หรือมีความพิเศษพอที่จะอยู่เหนือน็อตได้ แอนดี้ถูกพวกนักล่าทำร้าย เธอเลยอยากแก้แค้นพวกนักล่า โรสบอกกับเธอว่า ‘ฉันเห็นเธอแล้วฉันเข้าใจเธอ ฉันสอนเธอได้ว่าเธอจัดการกับมันได้ยังไงบ้าง’ นี่คือสิ่งที่มีพลังเวลาพูดกับใครสักคนที่เชื่อว่าพวกเขาไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว เมื่อแอนดี้เข้ามารวมกลุ่ม มันทำให้ผู้ชมได้เรียนรู้พวกที่มีความโหดเหี้ยมจากตัวละครที่เรามีการตอกย้ำ”

เอมิลี่ อลิน ลินด์รับบทแอนดี้ แต่โรสตั้งชื่อใหม่ให้ว่า “สเนคไบท์ แอนดี้” ลินด์เล่าว่า “เธอต้องพบเรื่องวุ่นวายเพราะผู้ชายที่หลอกใช้เธอ การรับบทคนที่ดูร้ายแต่ภายในแฝงไปด้วยความบริสุทธิ์ เหมือนเด็กที่ถูกทำร้ายข้างในลึกๆ ฉันว่าบทนี้มีความน่าสนใจมากค่ะ เมื่อทรูน็อตมีการชุบเลี้ยง พวกเขาก็จะไม่เป็นตัวของตัวเองได้เหมือนเดิมอีกเลย เมื่อมนุษย์มีการกินอะไร

เข้าไปสิ่งนั้นก็จะเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย เช่นเดียวกับการดูดซับพลังอำนาจ ตอนนี้เหยื่อเคราะห์ร้ายเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของเราไปแล้ว ฉันคิดว่ามันเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากค่ะ”

สำหรับผู้มีบาดแผลที่เลือกจะเข้าสู่การกลับคืนสู่สภาพเดิม ต่างก็ต้องการคำชี้แนะในเส้นทางใหม่ที่พวกเขาเลือกเดิน เมื่อก้าวลงจากรถประจำทางที่ฟราเซียร์ แดนนี่ได้พบกับบิลลี่ ฟรีแมน ผู้ที่ฟลานาแกนมองว่า “เป็นตัวละครที่มีความงดงาม เขาทำหน้าที่เหมือนพ่อของแดนในช่วงเวลาที่เขาต้องการ บิลลี่แสดงความอ่อนโยนออกมาให้แดนเห็น ผมคิดว่าหลายคนคงกังวลที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคนที่เคยถูกทำร้าย คลิฟฟ์ เคอร์ทิสรับบทบิลลลี่ และเขาสามารถพลิกเป็นอีกคนที่ต้องสวมบทบาทได้ เขามีทั้งความอบอุ่นและความเมตตาที่แสดงออกมาให้เห็น เขาทำให้เราเห็นภาพว่าจริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร ซึ่งนั่นคือเรื่องการกลับคืนสู่สภาพเดิมนั่นเอง”

เคอร์ทิสเล่าว่า “บิลลี่มีส่วนสำคัญของเมืองนี้ เขามีความเกี่ยวข้องกับทุกคน เขาเป็นคนที่เราฝากฝังลูกหลานไว้ด้วยได้ ผมคิดว่ามันคงน่าสนุกที่ได้ท้าทายเรื่องความเชื่อว่าคนที่ดีและไว้วางใจได้มีหน้าตาแบบไหน เขาเป็นคนมีประวัติและมันก็ปรากฏอยู่บนรูปร่างหน้าตาของเขา ผมคิดว่าทั้งผู้ชมและแดนไม่แน่ใจในตัวเขาตอนที่ได้พบเห็น เขาเป็นคนที่ไว้ใจได้ มีความหนักแน่น และมันเกินกว่าที่จะนึกภาพได้ว่าคนที่อยู่ในช่วงเยียวยาตัวเองจะเป็นแบบไหน ท่าทางที่ดูสบายของเขาทำให้คนอื่นรู้สึกผ่อนคลายไปด้วย”

ขณะที่แดนนี่ยังรู้สึกหลอนจากพวกวิญญาณที่เคยเจอเขาครั้งแรกที่โรงแรมโอเวอร์ลุค เขาบังเอิญพบการมาเยือนของวิญญาณจิตใจดีอย่างดิค ฮอลโลแรน ซึ่งเป็นคนแรกที่อธิบายให้เขาเข้าใจเรื่องการเรืองแสง คาร์ล ลัมบลีมารับบทที่สแคตแมน โครเธอร์ส ลัมบลียอมรับว่า “พอได้ดูหนังแล้วในฐานะของนักแสดงผมก็เกิดสัญชาตญาณ 2 เรื่อง อย่างแรกคือผมอยากแสดงออกมาให้ตรงตามตัวละครเดิม ส่วนอีกอย่างคือผมอยากแสดงออกมาให้ถูกต้องตามการแสดงของเขาโดยที่ไม่ปรับเปลี่ยนอะไร

ผมต้องถ่ายทอดบทดิคออกมาในแบบที่ผมมองขา แต่นั่นก็จะดูไม่เป็นการเคารพสิ่งที่สแคตแมนเคยแสดงเอาไว้ มันมีทั้งทิศทางที่ชัดเจนและสิ่งที่สอดคล้องกับความเป็นจริง เขาเห็นค่าทั้งตัวเองและผู้อื่น แต่สุดท้ายแล้วผมคิดว่าจิตใจของเขาคือสิ่งที่สื่อความเป็นดิค ฮอลโลแรนได้ดีที่สุด แต่ด้วยความสามารถของเขาที่มองเห็นทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง มันกลายเป็นเรื่องที่ท้าทายต่อการเปิดใจของเขา นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาเชื่อมโยงกับแดนนี่ได้ ชีวิตของแดนนี่ส่วนใหญ่ก็มีดิคเพียงคนเดียวที่คอยเป็นหูเป็นตาให้เขาได้”

ฟลานาแกนใส่ใจในทุกบทบาทให้มีความสอดคล้องและดูน่าเชื่อถือตามมุมมองของภาพยนตร์ เขายืนยันว่า “ผมอยากให้นักแสดงใส่ใจเป็นพิเศษในเรื่องการติดต่อกันของมนุษย์ในโลกที่เราไม่ได้คุ้นเคยในแต่ละวัน ซึ่งผมแปลกใจกับสิ่งที่ทุกคนแสดงออกมาในบทของตัวเองมาก”

หลอมโลกทุกใบรวมเป็นหนึ่ง

โรส เดอะ แฮท

อีก 10 ปีนับจากนี้ เธอก็ยังอายุ 15 ปี เป็นเวลานับหลายร้อยปี

เธออาจอายุ 17 ก็ได้ อายุยืน ยังดูเหมือนเด็ก กินแต่ของดี

สำหรับการตัดสินใจอย่างหนักแน่นเรื่องภาพที่ยากจะลืมเลือนของคูบริคในเรื่อง “The Shining” ฟลานาแกนต้องได้รับการอนุญาตเข้าสู่โลกใบนั้น และที่สำคัญคือการเข้าสู่โรงแรมโอเวอร์ลุค

เทรวอร์ มาซี่อธิบายว่า “ผลงานของคูบริคมีความยอดเยี่ยมมากและเปิดโอกาสให้กกับเรา ทำให้เราได้วางแผนสำหรับฉากต่างๆ และได้เข้าถึงฟุตเทจต้นฉบับ ทำให้เราสามารถย้อนกลับไปหาหนังสยองขวัญแห่งความทรงจำเรื่องนี้ได้”

ฟลานาแกนเล่าเสริมว่า “เราอยากได้โอเวอร์ลุคในรูปแบบเดิม ห้อง 237 แบบเดิม แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำความเพอร์เฟ็กต์เหล่านั้นกลับมาสร้างใหม่ ยิ่งพยายามสร้างสิ่งที่เพอร์เฟ็กต์นั้นขึ้นมาใหม่ยิ่งเหมือนเป็นการเลียนแบบมากกว่าการเคารพ เราอยากให้เกียรติผลงานของคูบริค แสดงความเคารพนั้นออกมาโดยที่ไม่ใช่แค่สร้างมันขึ้นมาใหม่ เมื่อรู้ว่ามันอาจมีความแตกต่างยิ่งทำให้เรามีอิสระในการสร้างหนังของเรา ทุกอย่างมันต้องอาศัยความสมดุลอย่างลงตัว”

ฟลานาแกนได้รวบรวมทีมศิลป์ทั้งผู้ร่วมงานคนเก่าอย่างตากล้อง ไมเคิล ฟิมอกนารี และนักแต่งเพลงอย่างพี่น้องตระกูลนิวตัน และผู้ร่วมงานรายใหม่อย่างผู้ออกแบบฉากฯ เมเฮอร์ อาห์แมด และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เทอร์รี แอนเดอร์สัน โดยผู้สร้างฯ ได้เล่าว่า “ในเรื่องนี้ผมได้ร่วมงานกับหลายครอบครัวของผม ที่พูดแบบนั้นเพราะผมได้ร่วมงานกับทีมงานเดิมหลายทีมที่ร่วมงานกับผมมตั้งแต่เรื่อง ‘Oculus’ ซึ่งส่วนใหญ่ร่วมงานกันมาตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม หนึ่งในผู้ร่วมงานสำคัญในอาชีพของผมคือตากล้อง ไมเคิล ฟิมอกนารี นี่เป็นโปรเจ็กต์ที่ต้องใช้ความพยายามสูงมาก เราต้องมีความร่วมมือกัน มันต้องมีทั้งความงดงามและมีความคุ้นเคยของสถานที่”

ทีมงานฝ่ายออกแบบได้วางแผนสร้างแต่ละส่วนด้วยความพยายาม ฟุตเทจจากหนังต้นฉบับมีส่วนช่วยให้ทีมงานของฟลานาแกนทำงานได้อย่างลงตัว กองถ่ายต้องใช้โรงถ่าย 4 แห่งใน Blackhall Studios ที่แอตแลนต้า เพื่อสร้างฉากที่เป็น

บรรยากาศภายในหนังหลายโลกขึ้นมา ทีมงานใช้พื้นที่ในการก่อสร้างฉากมากกว่า 86,000 ตารางฟุต (มีขนาดเกือบเท่า 1½ สนามฟุตบอล) ฉากต่างๆ ในเรื่อง The Shining ใช้เวลาสร้างถึง 2 ปี แต่ในเรื่อง Doctor Sleep ใช้เวลาเพียง 6 สัปดาห์

ระหว่างการถ่ายทำให้เป็นไปตามกำหนดเวลา ผู้สร้างภาพยนตร์ต้องอาศัยเทคนิคการซ้อนฉากเหมือนตุ๊กตารัสเซีย ทำให้ฉากต่างๆ ซ้อนเข้าไปอยู่ในอีกฉากหนึ่ง เมื่อถ่ายฉากหนึ่งเสร็จสิ้นแล้วก็จะมีฉากใหม่โผล่ขึ้นมาในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง เหมือนจิ๊กซอว์ที่มีขนาดใหญ่ของ “การก่อสร้างและการรื้อถอน” ต้องมีการวางแผนล่วงหน้าอย่างใหญ่โตในช่วงก่อการถ่ายทำ และต้องอาศัยการร่วมมือประสานงานกันระหว่างการถ่ายทำไปด้วย

ฟลานาแกนอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “นอกจากนั้นแล้วเรายังต้องสร้างโลกอีก 3 ใบขึ้นมา ต้องมีการสร้างบรรยากาศรอบตัวของแดน แอบรา และโรสอันงดงาม โดยเฉพาะโลกของโรสที่ทำให้เราสนุกมากกับโปรเจ็กต์นี้

“แต่ผมก็ต้องยอมรับ” เขากล่าวต่อว่า “นั่นเป็นสิ่งพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งแรกตอนที่ไมเคิลกับผมก้าวเข้าไปในฉากโอเวอร์ลุค พวกเราอยากรู้มากว่ามันจะออกมาเป็นแบบไหน และเราก็อยู่กับมันมาทั้งชีวิต พวกเราเป็นคนรักหนังทั้งคู่ การได้เดินเข้าไปในนั้นทำให้เรากลายเป็นเด็กไปเลย ความรู้สึกแบบนั้นก็เกิดขึ้นกับเทรวอร์เหมือนกัน เขาเป็นผู้อำนวยการสร้างฯ ที่มีประสบการณ์โชกโชน เขาก็มีอาการเดียวกันตอนที่เดินเข้าไปในโคโลราโดเลาจ์ พอเราผ่านการทำงานอย่างหนักในวันนั้น เราก็พากันขับรถวนรอบฉาก”

ยวน แม็คเกรเกอร์เล่าว่า “เราใช้พื้นที่ตลอดทั้งเลาจ์ ตั้งแต่มุมหนึ่งขึ้นไปจนถึงบันไดด้านบนของอีกฝั่ง ที่นั่นมีพื้นที่สำหรับการทำงานที่วิเศษมาก แต่สำหรับผมมันคือการย้อนกลับไปหาตัวละครด้วย ผมเล่นหนังสยองขวัญไม่ได้ ทำได้แค่แสดงบทบาทแบบมนุษย์ออกมา หน้าที่ของผมคือต้องแสดงออกมาให้สมจริงดูน่าเชื่อถือ ต้องนึกภาพสิ่งที่ผมเคยเจอหรือจินตนาการ

สิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยเจอ ส่วนการสร้างโลกที่ดูน่าทึ่งขึ้นมาเป็นหน้าที่ของไมค์ นอกเหนือจากการถ่ายทอดเรื่องราวแล้ว ซึ่งเขาทำออกมาได้อย่างงดงามมาก”

จอน เบิร์กเล่าว่า “แค่นั่งอยู่ในฉากโรงแรมโอเวอร์ลุค เราก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่าง อาจจะไม่ใช่ภูตผีปีศาจ แต่อาจเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่มาถึงก่อนเรา มันรู้สึกหลอนและชวนสยอง รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของคูบริคและคิง รวมถึงความเป็นไมค์ ฟลานาแกนอีกหลายอย่างอยู่ในสถานที่แห่งนั้น… มันมีชีวิตขึ้นมาอย่างงดงามมาก”

เทอร์รี แอนเดอร์สันต้องรับผิดชอบเรื่องเสื้อมาที่เลือกเอาไว้จำนวนมากจากเรื่อง “The Shining” รวมถึงเสื้อผ้าสำหรับตัวละครใหม่ด้วย เขาเล่าว่า “การนำสิ่งต่างๆ ในหนังกลับมาสร้างใหม่คือเรื่องที่น่าสนุกมาก แทบจะต้องเจาะลึกรายละเอียด เพราะเมื่อเราเริ่มสร้างสิ่งต่างๆ เราจะรู้สึกเหมือนตัวเองเข้าข่ายอัจฉริยะ มันก็น่ากลัวเหมือนกันนะครับ”

ฟลานาแกนยังทำหน้าที่ลำดับภาพในเรื่อง “Doctor Sleep” ของเขาเองด้วย รีเบ็คก้า เฟอร์กูสันจำได้ว่า “ไมค์เอาหนังสือของเขามาให้ดู ในนั้นจะมีฉากทั้งหมดของเขา เขามีการเตรียมตัวมาอย่างดีมาก ทั้งมุมกล้องและฉากต่างๆ เขาต้องการให้ตัดต่อออกมาแล้วเป็นแบบไหน มันอาจทำให้นักแสดงบางคนกลัวและคิดว่า “ฉันมาทำอะไรตรงนี้เนี่ย? ฉันจะสร้างสรรค์อะไรในเรื่องได้บ้าง?’ แต่การเตรียมตัวมาอย่างรัดกุมไม่ได้มีผลต่อความสร้างสรรค์เลย มันยังมีพื้นที่ให้เราได้ออกไปสำรวจ แม้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เขาเตรียมการณ์ไว้ เขาก็เปิดโอกาสให้เราได้สร้างสรรค์ตัวละครด้วย”

แม็คเกรเกอร์กล่าวเสริมว่า “ไมค์มีความเข้าใจดีมากว่าฉากแบบไหนที่เขาต้องการถ่ายทอดเรื่องราว และเขามีภาพของหนังทั้งเรื่องโผล่ขึ้นมา เขามีความชำนาญด้านการถ่ายทอดสิ่งที่เขาต้องการถ่ายทอดเรื่องราวมากครับ”

บางฉากก็ต้องอาศัยความรอบคอบอีกขั้นหนึ่งของการถ่ายทำ ฟลานาแกนอธิบายว่า “ฉากหนึ่งที่มีความสำคัญมากในหนังสือ คือฉากของแบรดลีย์ เทรวอร์ รับบทโดยจาค็อบ เทร็มเบลย์ นี่คือจุดเปลี่ยนของเรื่องราวที่สะเทือนใจมาก สภาพการ

ตกเป็นเหยื่อของเขาเพราะทรูน็อตได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ซึ่งมันต้องเป็นเช่นนั้น มันเป็นเรื่องหนึ่งที่ยากมากจากที่ได้อ่านบทมา และแน่นอนว่าต้องเป็นอะไรที่ยากสำหรับการถ่ายทำอีกอย่างหนึ่งด้วย”

เทรมเบลย์ปรากฏตัวขึ้นเพื่อแสดงฉากนั้นด้วยตัวเอง ในเทคแรกเขาทำให้ทุกคนในฉากรู้สึกตื่นเต้น ฟลานาแกนและทีมงานทึ่งกับสิ่งที่เห็นบนจอมอนิเตอร์ ทีมงานและนักแสดงอีกหลายคนพากันถอยหลังไปตั้งหลัก เทรมเบลย์แสดงทุกอย่างออกมาอย่างมืออาชีพ แต่ก็มีความเป็นเด็กวัย 12 ขวบอยู่ในตัว เขารีบปัดฝุ่นตัวเองและยกมือขึ้นมาไฮไฟฟ์กับพ่อ ฟลานาแกนเล่าว่า “เขาทำให้เราทุกคนแปลกใจมาก เรารู้ว่าฉากนั้นต้องออกมาดีแน่ รู้สึกดีใจมากที่มีเขามาร่วมฉากอีกครั้ง ดูเขาสนุกไปกับมัน มีทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกโอเคกับการถ่ายทำฉากนั้น”

เฟอร์กูสันแสดงความคิดเห็นว่า “บางคนถามผมว่า ‘คุณคิดว่าในการแสดงฉากนั้นจะออกมาเป็นแบบไหนผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมเป็นนักแสดงมืออาชีพและเราต้องรับผิดชอบหน้าที่ของเรา พอเราได้ยินคำว่า ‘แอคชั่น!’ ผมเห็นจาค็อบเตรียมพร้อมที่จะทำอะไรหลุดโลก เขาเริ่มสูดหายใจลึกๆ จากนั้นก็ส่งเสียงร้องออกมา ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองปากสั่น เหมือนมีอะไรติดอยู่ในคอ และน้ำตาก็เริ่มไหลอาบแก้ม ผมต้องปาดน้ำตาเพื่อเข้าฉากนั้น ผมไม่เคยรู้สึกช็อคกับการแสดงอะไรเลย ผมกลับไปหาคนที่เคยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับผมและตอบเขาไปว่า ‘ผมคิดผิด’ ช่วงเวลานั้นทำให้ผมได้เรียนรู้หลักในการแสดง”

ดนตรีของนิว เทอร์เรน

การจับคู่ระหว่างบรรยากาศในหนังกับบรรยากาศทางเสียง ฟลานาแกนได้กลับไปขอความช่วยเหลือจากพี่น้องนิวตันอย่างแอนดี้ กรัช และ เทย์เลอร์ นิวตัน สจ๊วตอีกครั้งเพื่อเพลงประกอบภาพยนตร์ ฟลานาแกนเล่าว่า “สิ่งหนึ่งที่คูบริคได้ฝากเอาไว้ซึ่งเป็นเอ็ฟเฟ็กต์อันยอดเยี่ยมในเรื่อง ‘The Shining’ คือการใช้เพลงประกอบภาพยนตร์และการออกแบบซาวด์ที่สร้าง

บรรยากาศชวนหลอน แม้แต่ในฉากที่ไม่มีอะไรทำให้เราหวาดผวาได้ แต่เราก็รู้สึกไม่สบายใจสักเท่าไหร่เพราะเสียงที่ได้ยิน มันสำคัญมากที่ ‘Doctor Sleep’ ต้องมีจุดเด่นเป็นของตัวเอง แต่เราก็อยากย้อนกลับไปหาความรู้สึกบางอย่างที่คูบริคเคยสร้างเอาไว้เหมือนกัน”

ทั้งคู่เริ่มแต่งเพลงด้วยการทำงานที่ต่างจากแนวทางปกติ มีการใช้เสียงจากธรรมชาติรอบตัวและดนตรีอัลเทอร์เนทีฟเพื่อสร้างเพลงประกอบขึ้นมา สจ๊วตได้เล่าว่า “ในช่วงแรกมีการพูดคุยกันเรื่องเมโลดี้และรายละเอียดก่อนที่จะเริ่มแต่งจริง เราอยากให้มีซาวด์ที่ไม่เหมือนใคร”

ในช่วงเริ่มแรกของแต่ละโปรเจ็กต์ นิวตันจะทำการหาข้อมูลเรื่องเครื่องดนตรีและซาวด์ที่สอดคล้องกับเรื่องราว กรัชได้เล่าว่า “เราได้พบกับ พอล เดรเชอร์ ผู้คิดค้น/นักดนตรีผู้สร้าง Hurdy Grandé [เฮอร์ดี้ เกอร์ดี้รุ่นใหญ่ที่มีการดัดแปลงขึ้นมาอย่างมีเอกลักษณ์] มันทำให้เกิดเสียงทุ้มที่มีความต่ำและกลายเป็นเสียงที่มีเอกลักษณ์ของทรูน็อต ฟังแล้วจะนึกถึงผู้เดินทางจากรุ่นก่อนพวกนี้ขึ้นมาเลย”

นอกจากนั้นแล้วพี่น้องนิวตันยังอีโอเลียนฮาร์ปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งตั้งอยู่ที่ตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย การบันทึกเสียงของฮาร์ปจะปรับตามเครื่องดนตรีที่ใช้ควบคู่กันในการแต่งเพลง “เสียงของมันทำให้นึกถึงอะไรหลายอย่างในหนังสือของคิง” พวกเขากล่าว

นักแต่งเพลงยังเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับคลื่นลมครั้งสำคัญในซานฟรานซิสโก ซึ่งเหตุการณ์วันนั้นทำให้เกิดอุปกรณ์ที่บันทึกเสียงการเคลื่อนไหวของลม พวกเขายังใช้เครื่องดนตรีจากอีกหลายวัฒนธรรมในดนตรี เพื่อสร้างสีสันและเรียกความสนใจโดยใช้เสียงอีกด้วย

สจ๊วตสรุปว่า “การร่วมงานกับไมค์ถือเป็นการแต่งเพลงที่ไม่เหมือนครั้งไหนเลย เขาให้เรามีทั้งเวลาและโอกาสในการเล่าเรื่องราวหรือตัวละคร ไม่ใช่แค่การอัดเสียงดนตรีเข้าไปในหนัง เขาทำให้เรามีโอกาสสร้างลูกเล่นหลายอย่าง หนังแนวนี้จะทำให้ดูตกใจจนสะดุ้งก็ได้ แต่ผลงานของไมค์เต็มไปด้วยความรู้สึกและเราก็ได้ประโยชน์จากตรงนั้นไปด้วย”

กรัชกล่าวเสริมว่า “ในหนังของเขามีความคิดสร้างสรรค์มากมาย คุณจะมีความจดจำทั้งเรื่องสับสนและเรื่องสยองไปพร้อมๆ กับความเงียบและความงดงาม ผลงานของเขาสะท้อนถึงชีวิตอย่างแท้จริง มันไม่ใช่แค่แนวของเรื่อง มันมีความซับซ้อนกว่านั้น”

มีเรื่องราวชีวิตที่ทำให้แนวของหนุ่มไมค์ ฟลานาแกนคล้ายกับผลงานของสตีเฟ่น คิง ฟลานาแกนยืนยันว่า “คิงมีความชำนาญในการเล่าเรื่องราวของคนที่มีความแตกต่าง คนที่รู้สึกโดดเดี่ยวเพราะความแตกต่างของตัวเอง ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาแค่ต้องการความเข้าใจและอยากอยู่ในสายตา นั่นคือสิ่งสำคัญในชีวิตของเราไม่ว่าเราจะปิดบังเอาไว้หรือแสดงออกให้เห็น และต้องออกไปเผชิญกับโลกที่น่ากลัว มันเป็นเรื่องที่เราเรียนรู้ตั้งแต่ตอนยังอายุน้อย และคิงถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างลึกซึ้ง”

สตีเฟ่น คิงอธิบายว่า “หากเราอยากเป็นที่สนใจ เราไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร เราสามารถแสดงทุกอย่างออกมาได้ หหากเราอยากขีดเขียนอะไร เราก็แค่เอาผลงานของเราให้คนอื่นดู เราใส่ความมั่นใจไปกับมันได้ สิ่งที่เลวร้ายสุดที่อาจเกิดขึ้นได้คือการมีคนพูดว่า ‘ฉันไม่ชอบมันเลย’ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่สุดในโลก.. มันไม่ใช่การถูกไม้แหลมแทงไปโดนตาซะหน่อย”

ไมค์ ฟลานาแกนกล่าวปิดท้ายว่า “ผมหวังว่าเรื่องราวประเด็นนั้นจะปรากฏให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง เพราะมีช่วงเวลาสำคัญที่แดนได้ให้คำแนะนำแอบรา คล้ายกับคำแนะนำของดิค ฮอลโลแรน โดยแดนได้พูดว่า ‘ครั้งแรกที่เจอเธอ ฉันบอกแล้วว่าเธอควรจะซ่อนตัว หมอบเอาไว้ ระวังจะมีใครเห็นแสง ฉันคิดผิดจริงๆ’ ประเด็นสำคัญคือยิ่งโลกมีความน่ากลัวแบบนี้ เต็มไปด้วยความอยุติธรรม มีความน่ากลัวเกิดขึ้นได้ เรายิ่งต้องเรืองแสงออกไป ส่องแสงอกไปให้เห็นเพราะยังมีคนอื่นที่เป็นเหมือนเรา เรา

ต้องทำให้โลกนี้มีความน่ากลัวน้อยลง สร้างสมดุลให้สิ่งต่างๆ ผมคิดว่านั่นคือบทสรุปของประเด็นทั้งหมดในเรื่องราวของคิง ‘ต้องส่องแสงออกมา’”

—DOCTORSLEEP—

ข้อมูลภาพยนตร์  Doctor Sleep – ลางนรก 
เข้าฉาย 6 พฤศจิกายน ในโรงภาพยนตร์

รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.facebook.com/DoctorSleepMovieThailand

https://tickets.doctorsleep-thai.com